หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เรียนอย่างไรให้ได้ A


วันนี้ (30 พ.ย.2551) ผมได้เรียนวิชาการวัดและประเมินคุณภาพ กับ ดร.สมชัย ชินะตระกูล ที่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี ในระหว่างการสอนช่วงหนึ่ง อาจารย์ได้เล่าให้ฟังถึงเคล็ดลับ “เรียนอย่างไรให้ได้ A” ซึ่งท่านมักจะสอนและแนะนำแก่นักศึกษาเสมอตั้งแต่การเข้าเรียนชั่วโมงแรก เคล็ดลับนี้ท่านเคยเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ในคอลัมน์การศึกษามาแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่า เคล็ดลับการเรียนอย่างไรให้ได้ A มีง่ายๆ 5 ประการ ซึ่งผมได้พยายามเรียบเรียงจากการเล่าของท่าน แล้วมาเขียนเพิ่มเติมตามความเข้าใจของตัวเอง ดังนี้
  1. เข้าเรียนทุกครั้ง การเข้าเรียนทุกครั้งจะทำให้เราสามารถติดตามบทเรียนได้ครบถ้วน ได้ฟัง ได้คิด ได้ยิน ได้จด ถึงแม้จะเข้าใจบ้างหรือไม่เข้าใจบ้าง ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างเข้าไปเก็บไว้ในส่วนของความทรงจำได้
  2. เรียนอย่างเข้าใจ ในระหว่างการเรียนขอให้เรียนให้เข้าใจ หากไม่เข้าใจให้ถามครูอาจารย์ที่สอน หากไม่เข้าใจอีกอาจต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม อ่านหนังสือประกอบ ในเรื่องนั้นๆ และบางครั้งการเรียน การติวไปพร้อมกับเพื่อนๆ หรือการเรียนเป็นกลุ่มกับเพื่อน จะก่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นได้
  3. ทำงานอย่างน้อยเท่าที่อาจารย์สั่ง เมื่ออาจารย์หรือครูผู้สอนสั่งให้ทำงานหรือมอบหมายการบ้านให้ทำ นั้นแหละคือ การมอบหมายให้เราฝึกฝนเพื่อเตรียมที่จะสอบในวิชานั้นๆ เพราะฉะนั้น ต้องทำงานหรือการบ้านที่อาจารย์สั่งอย่าขาดตกบกพร่อง อย่างน้อยก็เท่าที่ครูหรืออาจารย์สั่ง ถ้าทำได้มากกว่ายิ่งดี เช่น ครูให้ทำแบบฝึกหัด 3 ข้อ แต่เราฝึกทำเพิ่มเองอีก 2 ข้อก็ได้
  4. อ่านทบทวนเสมอ เมื่อมีเวลาว่างหมั่นอ่านทบทวนหนังสือ หรือบันทึกที่เราจดไว้เสมอ ระหว่างการอ่านไม่ควรดูโทรทัศน์หรือดูละครควบคู่ไปเพราะจะทำให้เสียสมาธิ แต่อาจจะฟังเพลงเบาๆ ได้ หลังจากอ่านทบทวนจบในแต่ละเรื่องควรปิดหนังสือ แล้วลองเขียนทบทวนสิ่งที่เราจำได้ลงในกระดาษ
  5. ก่อนสอบอ่านหนังสือทบทวนทั้งหมดอย่างน้อย 3 รอบ การอ่านทบทวนนี้สามารถอ่านแบบผ่านได้ ที่ต้องให้ครบอย่างน้อย 3 รอบ เพราะจะทำให้เกิดภาพและความทรงจำในสมอง แต่ถ้าให้ดี อ่านทบทวนครบ 5 รอบจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด
ในสูตรการเรียนอย่างไรให้ได้ A ทั้ง 5 ประการนี้ อาจารย์บอกว่าบุตรของตนเองและนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์หลายคนได้นำไปใช้แล้วได้ผลจริง แม้ว่าบางวิชาจะไม่ได้ A อาจจะเป็น B หรือ B+ ไปบ้างก็ตาม แต่ผลการเรียนเฉลี่ยก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ใครที่อ่านแล้ว ดูน่าจะเป็นวิธีง่ายๆ แต่พอนำไปปฏิบัติจริงคงจะไม่ง่ายเท่าใดนัก หากไม่ควบคุมตัวเองให้ดี ลองทำดูนะครับ

*****************************

ได้รับการเผยแพร่ต่อใน Unigang.com (http://unigang.com/Article/7152)







วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เปลือยธาตุแท้ “ทักษิณ” ที่มีต่อ “สถาบัน”!?!




เช้าวันนี้ (27 พ.ย.2551) ผมได้จัดการ upload ข้อมูลในเว็บไซต์ข่าวราชบุรีออนไลน์ (http://www.hctvtoyou.com/) ตามปกติ และเผอิญได้ไปอ่านหัวข้อรายงานพิเศษที่หน้าเว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ เรื่อง เปลือยธาตุแท้ "ทักษิณ" ที่มีต่อ "สถาบัน" เขียนโดย คุณอมรรัตน์ ล้อถิรธร และ post ไว้บนเว็บไซต์ เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2551 18:16 น. เห็นว่า คุณอมรรัตน์ฯ เรียบเรียงได้ดีมาก ผมจึงได้คัดลอกมาไว้ยัง Blog แห่งนี้ เพื่อช่วยเผยแพร่อีกทางหนึ่ง ดังมีข้อมความดังต่อไปนี้ เมื่อพูดถึง “ทักษิณ ชินวัตร” คนที่รักทักษิณ อาจเห็นแต่ด้านดีที่พวกตนได้ประโยชน์ โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมทั้งหลาย บางคนอาจไม่สนใจว่าทักษิณจะทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ ขอเพียงเขาช่วยให้พวกตนอยู่ได้-มีตังค์ใช้
แต่สำหรับคนที่เกลียดทักษิณ คือ พวกที่ยอมไม่ได้ที่ผู้นำประเทศ ไร้ซึ่งคุณธรรม-จริยธรรม แถมทุจริตใช้อำนาจมิชอบเอื้อประโยชน์ให้ตนและพวกพ้อง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเชื่ออยู่ว่า ทั้งคนที่รักและเกลียดทักษิณจะรู้สึกไม่ต่างกัน คือ เทิดทูนสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด หากผู้ใดจาบจ้วง-ล่วงเกิน เราจะไม่ให้อภัยต่อบุคคลนั้น
คำถาม คือ ตลอด 4 ปีมานี้ (2548-2551) “ทักษิณ” ได้กระทำการที่กระทบต่อสถาบันนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในและต่างประเทศ คำถามคือ คนที่พร่ำบอกว่า “รักในหลวง” ได้ทำอะไรเพื่อปกป้องพระองค์บ้าง? และคนที่รักทักษิณ ยังรู้สึกดีกับนักโทษชายผู้นี้อยู่หรือ? ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทั่งหมดอำนาจลงหลังถูกรัฐประหารยึดอำนาจ จวบจนปัจจุบันที่เปลี่ยนสถานะเป็นนักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี นอกจากไม่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้แสดงอะไรที่ยืนยันถึงความจงรักภักดีดังที่ปากพร่ำบอกแล้ว กลับเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีอาการหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยพูดจาก้าวล่วงหรือมีพฤติกรรมเสมือน “ตีตนเสมอสถาบัน” ลามไปสู่การ “ดึงสถาบันลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง” เพื่อเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมืองของตน และล่าสุด ถึงขั้นเริ่มเดินเกม “ต่อรอง” กับสถาบันแล้ว! เพื่อเป็นการยืนยัน ลองมาไล่เรียงพฤติกรรมและคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่สังคมเห็นว่าไม่บังควรและส่อก้าวล่วงพระมหากษัตริย์กันดูว่ามีอะไรบ้าง
เริ่มด้วย กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นประธานทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2548 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควร เพราะนอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะแต่งกายไม่สุภาพ(ไม่ใส่ชุดปกติขาว)แล้ว ยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่น โดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่คุกเข่าให้ พ.ต.ท.ทักษิณกรวดน้ำ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณพยายามอ้างความชอบธรรมในการทำบุญดังกล่าว โดยนำ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ และนายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมขณะนั้น มายืนยันว่า การเข้าไปทำบุญในวัดพระแก้วดังกล่าวได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว แต่ภายหลัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะผู้ดำเนินรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์”ในขณะนั้น ได้นำเอกสารหลักฐานออกมาแฉว่า รัฐบาลทักษิณชิงจัดงานทำบุญดังกล่าวก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระบรมราชานุญาตลงมา 1 วัน(จัดงานวันที่ 10 เม.ย.แต่หนังสือที่ทรงมีพระบรมราชานุญาตลงวันที่ 11 เม.ย.) ซึ่งรัฐบาลทักษิณ พยายามดิ้นต่อโดยอ้างว่า สำนักราชเลขาธิการได้แจ้งด้วยวาจาทางโทรศัพท์แล้วว่า ทรงมีพระบรมราชานุญาต ส่วนหนังสืออย่างเป็นทางการจะตามมาภายหลังวันประกอบพิธีทำบุญ (พิจารณาดูละกันว่าฟังได้หรือไม่?)
กรณีทำบุญประเทศในวัดพระแก้วยังบั่นทอนจิตใจคนไทยไม่หาย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ก้าวล่วงสถาบันซ้ำอีกด้วยการพูดจาบจ้วงเบื้องสูงในงาน "นายกฯ พบแท็กซี่" ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2548 ในงานดังกล่าว นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะหลุดคำหยาบคายหลายคำ เช่น คำว่า “แม่ง” , “ตายห่า” แถมยังลงท้ายประโยคด้วยคำว่า “วะ” อยู่หลายครั้งแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังประกาศด้วยความมันในอารมณ์เพื่อยืนยันถึงความจงรักภักดีที่ตนมีต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยว่า “ถ้าผมไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี” “…บางช่วงนี่นะ ให้คนนั่งแท็กซี่ บอกว่าเนี่ยผมกำลังเหลิงจะเป็นประธานาธิบดี ปัดโธ่! เป็นแค่นี้เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว ทุกวันนี้อยู่ด้วยจิตรับผิดชอบ แล้วเอะอะอะไรก็ แหม! หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่! ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี”
หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณพูดจาบจ้วงสถาบันในงาน “นายกฯ พบแท็กซี่”ได้ไม่นาน ครอบครัว “ชินวัตร” ก็ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กของสิงคโปร์ โกยเงินเข้ากระเป๋าทันที 7.3 หมื่นล้าน การขายหุ้นดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็น “จอมโกหก” เพราะยืนยันมาตลอดว่าจะไม่มีการขายหุ้นดังกล่าว แต่ยังพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไร้จริยธรรมและใช้อำนาจโดยมิชอบ เพราะมีการออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อการขายหุ้นของตน(แก้กฎหมายให้ต่างชาติถือครองหุ้นในกิจการโทรคมนาคมได้เพิ่มขึ้นจาก ไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 49% เพื่อให้ตนขายหุ้นดังกล่าวออกไปได้ 49%) แถมการขายหุ้นได้ 7.3 หมื่นล้าน ยังไม่เสียภาษีให้รัฐสักบาท นั่นจึงเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้หลายภาคส่วนในสังคมออกมาเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณลาออก แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยืนยันไม่ยุบสภา-ไม่ลาออก แถมประกาศผ่านรายการวิทยุ “นายกฯ คุยกับประชาชน” เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2549 ในลักษณะจาบจ้วงและตีตนเสมอสถาบันกษัตริย์อีก โดยยืนยันว่า คนที่จะให้ตนลาออกได้มีคนเดียว คือ พระเจ้าอยู่หัว “คนที่จะให้ผมออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ ไม่ต้องหลายคนเลย คนเดียวให้ออกได้เลย นั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบผม รับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่นอน” ไม่เพียงคำพูดดังกล่าวที่ทำให้คนไทยไม่สบายใจ แต่ยังมีภาพบาดใจเกิดขึ้นตามมาอีก เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณไปพบประชาชน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วมีประชาชนจำนวนมากถือธงที่มีคำว่า “ทรงพระเจริญ” มาโบกสะบัดต้อนรับและให้กำลังใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่ามกลางกระแสสังคมที่เรียกร้องให้ลาออก หลังถูกหลายฝ่ายตำหนิเรื่องการนำธงดังกล่าวมาต้อนรับ รัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณพยายามอ้างว่า ชาวบ้านนำธงดังกล่าวมาเอง ไม่ได้มีการจัดให้ตามที่มีข่าว พร้อมยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีก แต่ภายหลังก็ยังเกิดซ้ำอีกหลายครั้ง
แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะยืนยันไม่ยุบสภา-ไม่ลาออก แต่สุดท้ายก็แค่คำโกหกเหมือนเรื่องขายหุ้นที่โกหกว่าจะไม่ขาย โดย พ.ต.ท.ทักษิณประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2549 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์จากหลายฝ่ายในสังคมว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้สภาเป็นเครื่องมือหนีปัญหา ทั้งที่ปัญหาอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว สภาไม่ได้มีปัญหา แต่กลับถูกยุบ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคพวกจะได้กลับเข้ามามีอำนาจใหม่ สร้างความไม่พอใจให้พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์-ชาติไทย-มหาชน จึงบอยคอตด้วยการไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549 กระทั่งพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณทุจริตเลือกตั้งด้วยการจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครแข่ง เพื่อเลี่ยงเกณฑ์ 20% แต่ก็ไม่สามารถทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกทุกพื้นที่ได้ จึงมีการเลือกตั้งใหม่ซ้ำอีกในหลายเขต แถม กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ก็เอาใจพรรคไทยรักไทย ให้ผู้สมัครเวียนเทียนลงสมัครข้ามเขตได้ และก่อนที่การเลือกตั้งดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยก้าวสู่เผด็จการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงลงมาดับวิกฤตเลือกตั้งดังกล่าว โดยทรงเห็นว่าวิกฤตเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤตที่สุดในโลก เพราะการเลือกตั้งพรรคเดียวเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และทรงฝากความหวังให้ศาลศาลทั้ง 3 ศาล(ศาลปกครองสูงสุด-ศาลฎีกา-ศาลรัฐธรรมนูญ) ช่วยกันแก้วิกฤตเลือกตั้ง กระทั่งภายหลังพรรคไทยรักไทยและพรรคเล็กที่ตัวเองจ้างเริ่มเข้าสู่กระบวนการของการตรวจสอบ (รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่แม้ไม่ได้ลงเลือกตั้ง แต่ก็ถูกพรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าจ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย) และในที่สุดอัยการได้ส่งเรื่องยุบพรรค(5 พรรค คือ ไทยรักไทย ประชาธิปัตย์ และอีก 3 พรรคเล็ก) ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในวันที่ 27 มิ.ย.2549 ปรากฏว่า หลังพรรคไทยรักไทยถูกอัยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคได้แค่ 2 วัน (29 มิ.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณก็ออกอาการไม่พอใจ-ฟาดงวงฟาดงากล่าวหา “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ว่าเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย โดย พ.ต.ท.ทักษิณพูดเรื่องนี้ต่อที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ โดยอ้างว่า ปัญหาบ้านเมืองที่วุ่นวาย เป็นเพราะหลายคนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง หลายคนไปยุ่งหน้าที่ของคนอื่น หลายคนไม่มีอำนาจหน้าที่ แต่ชอบไปสั่งการในเรื่องของคนอื่น ทำให้วุ่นวายไปหมด “ความวุ่นวายมันเกิดจากหลายอย่าง อย่างหนึ่งเนี่ย เมื่อใด เป็นทฤษฎีบริหารเลยนะ เมื่อใดองค์กรตามปกติถูกองค์กรที่อยู่นอกระบบครอบงำหรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกตินั้นวุ่นวาย หรือถ้าจะแปลเป็นไทยชัดๆ ก็คือ วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวาย องค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป” คำพูดดังกล่าวทำให้หลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ ฝ่ายค้าน และประชาชนทั่วไป ต่างรู้สึกข้องใจ พร้อมจี้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณพูดให้ชัดว่าใครคือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่ได้ยินได้ฟังคำพูดดังกล่าว อดรู้สึกไม่ได้ว่า ผู้ที่ถูก พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวหา อาจไม่ใช่บุคคลธรรมดา พ.ต.ท.ทักษิณจึงไม่กล้าเผยชื่อ กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณถูกยึดอำนาจและใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้พูดถึง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” อีกครั้ง ระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นที่ประเทศสิงคโปร์ (วันที่ 15 ม.ค.2550) แต่เขาก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดีว่า “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”หมายถึงใคร เพียงแต่บอกว่า หมายถึงใครบางคนที่คอยปัดแข้งปัดขาไม่ให้ตนสามารถสั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ทำงานในสิ่งที่ควรทำได้
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า คำให้สัมภาษณ์ฉบับเต็มของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ผ่านซีเอ็นเอ็น มีการขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักของประเทศไทยเลิกพูดถึงอดีต เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความสามัคคีในชาติ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า ตนต้องการเห็นการนิรโทษกรรมสำหรับคนไทยทุกคน มันถึงเวลาที่จะต้องปรองดองกัน และเรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ผ่านซีเอ็นเอ็น ทำให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ทนไม่ได้ เพราะรู้สึกว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดเพื่อสื่อให้ต่างชาติเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องอยู่นอกประเทศ “ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นใครเลวทรามเท่ากับคุณทักษิณเลย คือบังอาจมาก การที่คุณพูดแบบนี้ คุณกำลังส่อปฏิกิริยาบางอย่าง ส่อความหมายบางอย่างให้ต่างชาติเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการไล่คุณออกไป เหมือนกับคุณกำลังมาขอพระราชทานอภัยโทษ หรือคล้ายๆ กับว่าถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลืมเรื่องเก่าๆ ไปเสีย เรื่องก็จบ แล้วเรื่องใหม่เรามาสมานฉันท์กัน เลวมาก เป็นคนเลวจริงๆ ผมเกิดมา ผมไม่เคยเจอ”
นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดพาดพิงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านสื่อระดับโลกอย่างซีเอ็นเอ็นแล้ว ยังมีกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังบทความที่ไม่บังควรด้วย คือ กรณีที่หนังสือพิมพ์ดิเอเชียน วอลล์สตรีท เจอร์นัล-นิตยสารดิ อิโคโนมิสต์ และนิตยสารนิวสวีก ได้ตีพิมพ์บทความวิพากษ์วิจารณ์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเปรียบเทียบว่า “การบริหารด้านเศรษฐกิจของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ “ทักษิโณมิกส์” ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากประเทศต่างๆ มากกว่า “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” เพราะได้รับการพิสูจน์แล้ว”
เหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังบทความดังกล่าว เพราะเขาอยู่ระหว่างเดินสายประเทศต่างๆ และตระเวนให้สัมภาษณ์สื่อ โดยถึงกับลงทุนจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังของสหรัฐฯ อย่างน้อย 2 บริษัทเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเขา และทำให้เขาได้ให้สัมภาษณ์สื่อของประเทศต่างๆ อย่างที่ต้องการ ขนาดบุคคลระดับองคมนตรี นพ.เกษม วัฒนชัย ยังเผย(31 ม.ค.50)ว่า “เวลานี้มีคนพยายามนำกระแสพระราชดำรัสที่รับสั่งเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงไปวิเคราะห์ และเอาไปทำความเข้าใจผิด ซึ่งบางคนตั้งใจเข้าใจผิดเพื่อโจมตีปรัชญานี้ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เพราะมีคนจ้างให้เขียนโจมตีเพื่อเทียบกับระบบทักษิโณมิกส์” ทั้งที่จริงๆ แล้ว ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น แม้แต่อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ นายโคฟี่ อันนัน ยังชื่นชมและขอเข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้ว นอกจากนี้โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) ยังได้แสดงความชื่นชมยอมรับด้วยการแจ้งว่าจะนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่ใน 166 ประเทศทั่วโลก!
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณยังคงพูดพาดพิงสถาบันไม่เลิก โดยได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 1 ก.พ.2550 ในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 โดยเมื่อไทม์ถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่า “คุณอ้างว่าคุณและพรรคไทยรักไทยได้รับความนิยมอย่างสูง(จากประชาชน) แต่ทำไมไม่ค่อยมีเสียงต่อต้านการรัฐประหารจากสาธารณชนเท่าไหร่? ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “มันก็เหมือนกับการทำรัฐประหารในอดีตของไทยที่ผ่านมา 17 ครั้ง ตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกตกใจ จากนั้นพวกเขาจะเริ่มแสดงความวิตกกังวล แล้วจึงเริ่มยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่(การรัฐประหาร) ได้รับการรับรองจากองค์พระมหากษัตริย์ พวกเขาอยู่ในกรอบระเบียบมากๆ พวกเขาเชื่อฟัง…”
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดพาดพิงสถาบันอีกครั้งระหว่างโฟนอินเข้ามายังรายการ “ครอบครัวความจริงวันนี้สัญจร”ที่สนามราชมังคลากีฬาสถานเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยบอกว่า “...เขาสั่งจำคุกผม 2 ปี อายุความ 10 ปี แสดงว่าเขาอยากให้ผมอยู่ข้างนอก 10 ปี ถามพี่น้องจะให้เขาเก็บผมไว้นานขนาดนั้นไหมครับ ...มันต้องการจัดการกับคนคนเดียว โดยเอากระบวนการยุติธรรมให้ยุติความเป็นธรรมทั้งหมด ...ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหมครับ”
ด้านนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตแกนนำ นปก.ผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้” ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน รีบรับลูกคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการอ้างว่า การพึ่งพระบารมีและการอาศัยพลังของพี่น้องประชาชนเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับประเทศนั้น ถือเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบัน บวกกับพลังรากหญ้า เรียกว่า “ราชประชาสมาศัย” ซึ่งก็ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการใช้คำดังกล่าว เพราะ “ราชประชาสมาศัย” น่าจะหมายถึงการร่วมมือกันระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชนในประเด็นที่เป็นเรื่องส่วนรวมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม มิใช่ประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือประโยชน์ของนักโทษที่หนีคดีจำคุก
ขณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน แปรเจตนาของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ว่า “นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา”ว่า หมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณต้องการขอให้มีการพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งก็เกิดคำถามตามมาจากนักวิชาการด้านกฎหมายและประชาชนทั่วไปว่า ในเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงออกถึงการไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมด้วยการกล่าวโจมตีศาล แถมไม่ยอมกลับมารับโทษจำคุก แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะขอพระราชทานอภัยโทษได้อย่างไร?
ด้านสภาทนายความ ได้ออกแถลงการณ์ (7 พ.ย.) สรุปผลการพิจารณาคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่โฟนอินดังกล่าว โดยชี้ว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล และเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษ เพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชน” นั้น ไม่เพียงเป็นการยกพลังของประชาชนให้เท่ากับพระราชอำนาจในการอภัยโทษขององค์พระประมุข แต่ยังเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษอย่างชัดเจน หมายความว่า หากองค์พระประมุขไม่วินิจฉัยอย่างเช่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการ พ.ต.ท.ทักษิณก็จะใช้พลังของประชาชน
ด้านนายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้จัดการรายการ “ความจริงวันนี้” เริ่มเดินหน้ากดดันให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการประกาศผ่านรายการ “ครอบครัวความจริงวันนี้สัญจร” ที่วัดสวนแก้วเมื่อวันที่ 23 พ.ย. ให้ประชาชนช่วยกันเขียนไปรษณียบัตรขอให้มีการพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณสัก 5 ล้านคนหรือ 10 ล้านคน โดยไม่สนว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ปัญหาตกหนักอยู่กับสถาบันหรือไม่
ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาส่งสัญญาณต่อรอง-กดดันให้มีการพระราชทานอภัยโทษให้ตัวเองอย่างชัดเจน ด้วยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ อาราเบียน บิซิเนส ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)เมื่อวันที่ 24 พ.ย. โดยนอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะกล่าวโจมตีประเทศอังกฤษที่ถอนวีซ่าตนและคุณหญิงพจมานว่าไม่เคารพค่านิยมเรื่องประชาธิปไตยแล้ว เขายังพูดถึงเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวเองได้กลับประเทศไทยว่า ขึ้นอยู่กับ “ในหลวงและประชาชน” ว่า ต้องการให้เขากลับหรือไม่ โดยบอกว่า “ผมคิดว่าหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่า พวกเขาอยู่อย่างยากลำบากและต้องการให้ผมช่วย ผมก็จะกลับไป หากในหลวงทรงเห็นว่าผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็จะอยู่ที่นี่(เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)ทำธุรกิจไป”


ฟังคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว รู้สึกอย่างไร? อย่าว่าแต่ประชาชนจะทนไม่ได้เลย แม้แต่สื่อมวลชนหลายๆ สำนักยังต้องแสดงความรู้สึกผ่านพาดหัวข่าวดังกล่าว เช่น หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ(ฉบับวันที่ 25 พ.ย.2551) พาดหัวข่าวนี้ว่า “ทักษิณ”เอาอีก เอ่ยถึงในหลวง ขณะที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์วันเดียวกัน พาดหัวว่า “ทักษิณ”เหิมหนัก ต่อรองสถาบัน จากนั้นก็โปรยเข้าเนื้อข่าวว่า “น.ช.ทักษิณ เหิมหนัก ดึงเบื้องสูงลงสู่เกมหวังเอาตัวรอด ปากพล่อย บอก “ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงเห็นว่าผมมีประโยชน์ ผมจะกลับไป แต่หากทรงรู้สึกว่าผมไม่มีค่าอะไร ก็จะอยู่ที่ดูไบทำธุรกิจ”
ได้เห็นพฤติกรรมและคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่พาดพิงสถาบันมาครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด 4 ปีมานี้(2548-2551) ยังเชื่อได้หรือว่า บุคคลผู้นี้จงรักภักดีดังที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ เคยการันตี ยังเชื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณได้หรือที่การันตีว่า พี่ภรรยาไม่เคยก้าวล่วงเบื้องสูง ยังเชื่อคำสรรเสริญเยินยอของทาสรักทักษิณอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ได้หรือ ในเมื่อนายวีระก็เป็นเพียงอดีตผู้ต้องขังที่หมิ่นสถาบันและปัจจุบันก็ยังเป็นผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันซ้ำอีก ...นาทีนี้ อยากถามดังๆ ว่า คนไทยที่ปากบอกว่า “รักในหลวง” และผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายที่พร่ำบอกว่า จะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังหลับอยู่หรือไร จึงไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องสถาบันกันบ้าง!!

อมรรัตน์ ล้อถิรธร : 26 พฤศจิกายน 2551 18:16 น.

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ตรรกะแห่งอำนาจ



หากวันนี้ พวกเรายังนิ่งดูดาย แยกแยะไม่ออกว่า อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ในวันข้างหน้าเมื่อเสียประเทศไทยไปแล้ว ...ลูกหลานของพวกเราคงจะต้องร้องเพลงว่า “วิญญาณพวกหนูจะร้อง ไอ้ปู่ ย่า จัญไร....”
จากเหตุการณ์ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลมาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.2551 จนกระทั่งเหตุการณ์สุกงอมถึงขั้นปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อคืนวันที่ 25 พ.ย.2551 ที่ผ่านมา คำพูดที่เรามักจะได้ยินเป็นประจำจากบรรดาผู้บริหารบ้านเมือง นักการเมือง ข้าราชการนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ซึ่งให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ และวิทยุ ว่าการกระทำเช่นนี้ ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่น เศรษฐกิจของประเทศสูญเสีย ธุรกิจการท่องเที่ยวเสียหาย ตลาดหุ้นตก ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายในสายตาสังคมโลก ฯลฯ

ผมมีความรู้สึกว่า ทำไม พวกเราทั้งหลาย ต้องพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติเสมอ ทำไมประเทศไทยต้องพึ่งพาชาวต่างชาติ ต้องใส่ใจต่อความรู้สึกของชาวต่างชาติ โดยไม่ใส่ใจต่อความรู้สึกของคนในประเทศไทยกันเอง ที่กำลังจะถูกระบอบทักษิณและนักการเมืองชั่ว เข้าครอบงำอำนาจในบ้านในเมือง ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แบ่งแยกประเทศ และมุ่งหวังที่จะสถาปนาตัวเองเป็นประมุของค์ใหม่

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตัดสินใจ ยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา ยึดทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่ดอนเมือง และขณะนี้คือ การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งพันธมิตรฯ ก็รู้ดีว่ามันจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านต่อเมืองอย่างมหาศาล แต่พันธมิตรฯ ก็จำเป็นต้องทำ เพราะเป็นปมยุทธศาสตร์ที่สามารถเขย่าบัลลังก์ของรัฐบาลทรราชสมชาย วงศ์สวัสดิ์ได้

ยังมีประชาชนในสังคมไทยอีกหลายคนที่ไม่ได้ติดตามเหตุการณ์เหล่านี้ ไม่เคยรู้ถึงสาเหตุว่า ทำไม? และไม่เคยสนใจอะไรต่ออะไรเลยในสังคม ยกเว้นชีวิตของตัวกูเอง ปากท้องของกูเอง ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงตัวเอง คนทั้งหลายเหล่านี้ยังคงมีชีวิตโดยปกติ ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ไม่รู้เรื่องราวว่า ประเทศชาติกำลังเกิดอะไรขึ้น นอกจากไม่รู้แล้ว ปากก็ยังเที่ยวกร่นด่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่าเป็นพวกที่น่ารำคาญ ก่อความวุ่นวาย ก่อความเสียหายให้แก่ประเทศ

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมกันอย่างยืดยาวมานานกว่า 180 วัน ทุกคนต้องเสียสละทั้งเวลา กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังแห่งความศรัทธา ช่วยกันบริจาคข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มเพื่อใช้ในการชุมนุม นอกจากนั้นยังมีวีรชนที่ต้องเสียสละในการชุมนุมไปแล้วถึง 4 คน บาดเจ็บพิการอีกหลายร้อยคน จากการใช้กำลังของตำรวจสลายการชุมนุมและลอบยิงระเบิดเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลระหว่างการชุมนุม ถ้าวันนี้ ไม่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รู้หรือไม่ว่า บ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็มี 2 เหตุการณ์ ที่พอเชื่อได้ว่าต้องเกิดขึ้นแน่ คือ

1.การเข้าครองอำนาจการบริหารประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ ของนายทักษิณ ชินวัตร วงศาคณาญาติ พรรคพวก และบริวารชั่ว เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติให้แก่ตนเองและพรรคพวก ทำลายประชาชนให้อ่อนแอ สร้างพฤติกรรมวัตถุและบริโภคนิยม จูงใจให้ประชาชนมีหนี้สินมากขึ้น จนในที่สุดประชาชนก็จะเป็นทาสรับใช้ระบอบทุนนิยมสามานย์ของตัวเอง เพื่อการครอบครองประเทศไทยอย่างถาวร
2.สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสถาบันที่ประชาชนคนไทยเคารพสักการะ เป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ อยู่คู่กับชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด ถูกจาบจ้วง หมิ่นสถาบัน และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกล้มล้าง โดยขบวนการของ นายทักษิณฯ วงศาคณาญาติ พรรคพวก และบริวาร

สาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายเช่นวันนี้ เพราะมีสาเหตุมาจาก นายทักษิณ ชินวัตร ได้นำ ตรรกะแห่งอำนาจ มาใช้ และพยายามเผยแพร่ตรรกะนี้ ไปยัง วงศาคณาญาติ พรรคพวกและสาวก จนกระทั่ง ทำให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ โงหัวไม่ขึ้น ชื่นชมอยู่กับอำนาจและผลประโยชน์ หลงใหลในลาภยศสรรเสริญ ทำอย่างไรๆ ข้าฯ ก็จะไม่ยอมลงจากอำนาจ แม้ว่าหมดความชอบธรรมก็ตาม
ตรรกะแห่งอำนาจ เป็นตรรกะที่เกี่ยวข้องกับ อำนาจ การแสวงหา และผลประโยชน์ ซึ่ง 3 สิ่งนี้จะหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปโดยไม่มีวันจบ จุดเริ่มต้นเกิดจากการหาวิธีการว่า “ทำอย่างไร จึงจะได้มาซึ่งอำนาจ” ในเบื้องต้นอาจเริ่มจากอำนาจเล็ก ๆ ก่อน เช่น สท. ส.อบต. สจ. นายก อบต. นายกเทศบาลฯ นายก อบจ. ฯลฯ เมื่อได้มาซึ่งอำนาจแล้วก็ใช้อำนาจ “แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง” แล้วแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งไปใช้แสวงหาอำนาจใหม่ต่อซึ่งใหญ่กว่าเดิม หลังจากได้อำนาจใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมแล้ว ก็แสวงหาผลประโยชน์เช่นเดิม แล้วแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งไปใช้แสวงหาอำนาจใหม่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก ตรรกะแห่งอำนาจนี้ จึงหมุนเวียนเรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้น
หากตรรกะแห่งอำนาจ หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ อย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ที่ผู้ใช้ตรรกะแห่งอำนาจนี้ จะได้รับอย่างเห็นได้ชัด คือ อำนาจที่เคยเป็นอำนาจขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นเป็นอำนาจขนาดใหญ่ ผลประโยชน์ที่เคยได้น้อยๆ ก็กลายเป็นผลประโยชน์ที่ได้มากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นผลประโยชน์มหาศาล ดังแสดงไว้ในภาพด้านล่าง

เหตุการณ์วุ่นว่ายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทุกคนต้องใช้วิจารญาณคิดให้ดีว่า สาเหตุเกิดจากใคร? ระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่ทำทุกอย่างเพื่อนายทักษิณ ชินวัตร และตัวกูเอง กับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำทุกอย่างเพื่อการปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมิได้ทำเพื่อตัวเองแต่อย่างใด ความเดือดร้อนเสียหายที่เกิดขึ้นในครานี้ เป็นเพียงความเสียหายชั่วคราว ซึ่งทุกคนควรที่จะยอมรับมันโดยดุษฎี เพราะสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากตัวพวกท่านทุกคนนั่นเอง ที่ไม่สนใจเรื่องราวของการบ้านการเมือง ปล่อยปละละเลยให้คนไม่ดีเข้าไปปกครองชาติบ้านเมือง
อย่าไปใส่ใจมากนักกับระบบทุนนิยมเสรีของชาวต่างชาติ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พยายามพร่ำสอน ตักเตือน และเผยแพร่ให้พสกนิกรชาวไทยทุกคนได้เข้าใจและนำไปปฏิบัตินั่นแหละ คือ เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เรา ไม่ต้องใส่ใจต่อสายตาหรือความรู้สึกของชาวต่างชาติมากจนเกินไปนัก และยังเป็นเครื่องมือที่จะต่อต้านระบบทุนนิยมเสรี หรือระบบทุนสามาลย์ ได้
เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจทำให้ประเทศไทยมีบาดแผลบ้าง แต่เราก็จะสามารถรักษามันให้หายได้ภายในเร็ววัน แต่หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไขอะไรเลย แผลอาจจะลุกลามจนกระทั่งกลายเป็นมะเร็ง แล้วมันจะรักษาไม่หาย....หากวันนี้ พวกเรายังนิ่งดูดาย แยกแยะไม่ออกว่า อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ในวันข้างหน้าเมื่อเสียประเทศไทยไปแล้ว ...ลูกหลานของพวกเราคงจะต้องร้องเพลงว่า “วิญญาณพวกหนูจะร้อง ไอ้ปู่ ย่า จัญไร....”
วันนี้..ขณะนี้...ท่านทำอะไรอยู่...
ชาติชาย คเชนชล : 26 พ.ย.2551

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หมาเห่าขโมย เจ้าของบ้านกลับเกลียดหมา


วันนี้ วันที่ 23 พ.ย.2551 ซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้นัดรวมพลที่ทำเนียบรัฐบาลครั้งใหญ่ เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการและทรรราชย์ ของนายสมชาย วงศ์วัสดิ์ โดยกำหนดว่าเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแบบม้วนเดียวจบ หากแพ้ก็ยกประเทศไทยให้เหล่าทรราชย์เลย

ผมได้ติดตามความคืบหน้าการชุมนุมในเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ เลยไปเห็นข่าวที่ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติและกวีซีไรต์ ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ในทำเนียบ เมื่อเวลา 19.25 น.ของวันที่ 22 พ.ย.2551 ซึ่งเหมือนกับเป็นปลุกขวัญและให้กำลังใจแก่ผู้ชุมนุม ซึ่งน่าสนใจมาก ผมจึงนำมาเขียนไว้ใน Blog นี้เพื่อบันทึกไว้เป็นความทรงจำ

ท่านเนาวรัตน์ฯ ได้ร่วมบรรเลงเพลงขลุ่ยพร้อมขับขานบทกวีสลับกับการปราศรัย และเผยว่าเป็นการตัดสินใจเรื่องความถูกผิดที่ชัดเจนที่สุด และตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเลือกข้างผิด แต่ประหลาดใจกับสถานการณ์ มีหมาเห่าขโมยที่เข้าบ้าน เจ้าของบ้านกลับมาเกลียดหมา ด่าหมา และยังระบุถึงชัยชนะของพันธมิตรฯ อยู่ที่การสู้เพื่อคนทั้งประเทศ ขณะที่อีกฝ่ายสู้เพื่อคนๆ เดียว

ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เริ่มสะกดผู้ชุมนุมด้วยการเป่าขลุ่ยเพลง "คนทำทาง" โดยมีวงดนตรีร่วมบรรเลง สลับกับการอ่านบทกวี เมื่อจบเพลง ท่านได้ปราศรัยว่า
"นี่เป็นการตัดสินใจที่ตนคิดว่าอะไรผิดอะไรถูกชัดเจนที่สุด สถานการณ์วันนี้แปลกประหลาดมากๆ มีบ้านหลังหนึ่ง มีขโมยกำลังเลาะรอบบ้าน บางตัวเข้ามาในบ้านแล้ว หมาเห่า หมาบ้านเราเห่า เจ้าของบ้านกลับมารำคาญเสียงเห่า เจ้าของบ้านกลับมาด่าหมา แทนที่จะด่าขโมย จนกระทั่งหมาโดนตีโดนเตะ เจ้าของบ้านกลับมาเกลียดหมา มองไม่เห็นขโมย มันเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์อย่างนี้
ขโมยนั้น มันคุกคามบ้านเรา ตั้งแต่มีโจรอยู่ข้างนอกบ้าน และมีหัวขโมยแก๊งขโมยอยู่ในบ้าน แล้วก็ยังมีนักตีชิงวิ่งราวทางการเมือง และก็มีนักย่องเบาทางการเมืองอีก เราเป็นเจ้าของบ้านหรือเปล่า แล้วก็มาเกลียดหมา หมามันอาจจะขี้เรื้อน เยี่ยวรดรุ่มร่ามไปบ้าง แต่หมามันเห่าขโมย ครับ และหมาพวกนี้ มันจะตายหรือมันจะอยู่ก็ไม่รู้ แต่มันจะได้ปลอกคอหรือ มันไม่ได้หวังปลอกคอ มันก็ยังเป็นหมาอยู่
ผมเชื่อในพลังของความถูกต้องและความดี วันนี้ ผมจึงออกมา”

หลังจากนั้นได้เป่าขลุ่ยเพลง "คนดี" แทรกด้วยการอ่านบทกวี "เป็นมนุษย์" เมื่อเพลงจบ "เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์" ได้ปราศรัยว่า ชัยชนะไม่ได้ชี้ขาดในสนามรบ ชัยชนะไม่ได้ชี้ขาดในสนามรบ ชัยชนะชี้ขาดด้วยความเป็นธรรมและความถูกต้อง ผมเขียนหนังสือ เล่นดนตรี ตั้งแต่ 14 ตุลาฯ มาจนถึงวันนี้ ผมไม่เคยเลือกข้างผิดเลยครับ ไม่มีการตื่นตัวทางการเมืองครั้งไหนจะยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้
มันเป็นปรากฏการณ์การต่อสู้ระหว่าง 2 กลุ่ม คือ 1.ผู้ตื่นตัวทางการเมือง 2. ผู้หลับใหลทางการเมือง ผู้หลับใหลทางการเมืองนั่นแหละเป็นเหยื่อทางการเมือง ผมจึงบอกว่าไม่ประหลาดใจเลยที่ขโมย ผู้ตีชิงวิ่งราว นักย่องเบาทางการเมือง พวกนี้เป็นเหยื่อทางการเมืองทั้งนั้น
หลังจากนั้น"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์"ได้เป่าขลุ่ยและร่วมร้องเพลง "นางนวล" เพื่อเป็นการให้กำลังใจผู้ชุมนุม โดยก่อนเริ่มเพลงได้บอกว่า บ้านเมืองของเรา มาถึงจุดที่ต้องจำแนกให้ชัดเจน ตนเคยเขียนบทกลอนบทหนึ่งว่า
"ปัญญาชนคนชั้นกลาง ยังใบ้เบื้อ คนรากหญ้าเป็นเหยื่อทุกหย่อมหญ้า เผด็จการ เบ็ดเสร็จ เผด็จสภา ปล้นประชาธิปไตยไปทุกครั้ง"
หลังจากนั้น"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์"ได้กล่าวปราศรัยอีกครั้งว่า "มีคำถามง่ายๆ ว่า เราสู้นี้เพื่อใคร สู้เพื่อพวกแกนนำพันธมิตรฯ หรือ เปล่าเลย ถ้าสู้เพื่อพวกแกนนำพันธมิตรฯ ผมไม่สู้ครับ เราสู้เพื่อใคร ถามตัวเองให้ดี นั่นแหละคือชัยชนะ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเขาสู้เพื่อใคร เขาสู้เพื่อคนๆ เดียว ใช่ไหมครับ ขณะที่เราสู้เพื่อคนเป็นแสนเป็นล้าน คนของประเทศนี้ ชัยชนะอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง เหมือนที่บอกว่า เราเป็นหมาเห่าขโมย เราไม่ได้สู้เพื่อปลอกคอหมา ใช่ไหมครับ เรื่องราวนี้จบไปแล้ว เราก็ยังเป็นหมา ที่คอยจะเฝ้ายาม คอยจะเห่าขโมยอยู่นั่นแหละ"
ช่วงสุดท้าย "เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์"ได้เป่าขลุ่ยและร้องเพลง "ส่งใจสู่ใจ" โดยก่อนเริ่มเพลงได้บอกว่า "พวกเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เคยเปลี่ยนสีแปรธาตุ" และเมื่อเพลงจบแล้ว ได้บอกว่าเมื่อมีโอกาสจะมาให้กำลังใจอีกครั้ง และเอาใจช่วยตลอดเวลา

เป็นมนุษย์

ก่อนจะเป็นอะไรในโลกนี้
ทั้งเลวทรามต่ำดีถึงที่สุด
ก่อนจะสวมหัวโขนละครชุด
คุณต้องเป็นมนุษย์ก่อนอื่นใด


คุณจะต้องรู้จักการเป็นมนุษย์
ไม่ใช่ชุดเครื่องแบบที่สวมใส่
ไม่ใช่ยศตำแหน่งแกร่งฉไกร
หากแต่เป็นหัวใจของคุณเอง


ใจที่มีมโนธรรมสำนึก
ใจที่รับรู้สึกตรึกตรงเผง
ใจที่ไม่ประมาทไม่ขลาดเกรง
ใจที่ไม่วังเวงการเป็นคน


เมื่อนั้นคุณจะเป็นอะไรก็ได้
เป็นผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ทุกหน
มโนธรรมสำนึกรู้สึกตน
ต้องตั้งตนให้เป็น คือ เป็นมนุษย์!


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พฤ ๑๓/๑๑/๕๑


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ (สืบค้นเมื่อ 23 พ.ย.2551)
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000138518