หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีใหม่ 2554 ขอให้ค้นหาสิ่งดีดีในตัวคุณให้พบ You can shine.

A duck tries to fly.
And a deaf tries to play violin.
Close your eyes. You will see.

ผมชมโฆษณาชิ้นนี้ทีไร รู้สึกน้ำตาซึมทุกที วันนี้วันที่ 26 ธ.ค.2553 เหลือเวลาอีก 5 วันก็จะขึ้นปีใหม่แล้ว คือ ปีพุทธศักราช 2554  กว่า 50 ปีที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ผมมุ่งหวัง  ยังไม่สำเร็จอีกหลายเรื่องเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะผมยังหาพลังที่ซ่อนเร้นในตัวเองไม่พบ หรืออาจยังพยายามน้อยไปก็เป็นได้  "เด็กคนนี้ถึงแม้จะหูหนวกและเป็นใบ้ แต่ด้วยความมุุ่งมั่น มานะพยายาม เธอก็สามารถเล่นไวโอลินได้สำเร็จ ดั่งที่ใจเธอมุ่งหวัง" เธอสามารถค้นหาสิ่งดีดีๆ และพลังที่ซ่อนเร้นในตัวเธออกมา "She can shine."

เวลา..มันก็เดินของมัน..ไปข้างหน้าเสมอ ผ่านวัน.. ผ่านเดือน.. ผ่านปี...  แต่มันกลับทำให้เวลาในชีวิตของเรามันสั้นลง   มีเรื่องราวอีกกี่เรื่องที่เรายังทำไม่เสร็จ  และมีเรื่องราวอีกกี่เรื่องที่รอให้เราทำในปีหน้า...คิดแล้วบางที่มันก็รู้สึกเบื่อหน่าย...เพราะเรื่องราวบางเรื่อง แทบจะเป็นเรื่องราวที่ไร้สาระ..หาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย..

ลองนั่งทบทวนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชีวิตของเราได้สร้างเรื่องราวดีดีเอาไว้บ้างหรือปล่าว เรื่องราวอะไรที่มันทำให้เรารู้สึกชื่นชมและภูมิใจ กับที่ทำงาน? กับครอบครัว? กับเพื่อนฝูง? กับญาติมิตร? กับสังคม หรือแม้แต่กับประเทศชาติ?....หากใครยังคิดไม่ออกสักเรื่อง...ก็ลองตั้งสติกันใหม่ ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าในปีหน้าเราจะพยายามทำอะไรที่ดีดีให้ได้สักเรื่องหนึ่ง..ก็ยังดี....

คนเราไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรีทุกคน ทุกคนมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีในตนเอง แต่ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ดีดีอยู่ในตัวเองมากกว่าสิ่งที่ไม่ดี  จงกำจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปเสีย และค้นหาสิ่งที่ดีในตัวเราให้พบ ค้นหาพลังที่ซ่อนเร้นในตัวเราให้พบ แล้วเผยสิ่งเหล่านั้นออกมา...และให้สิ่งที่ค้นพบนี้..นำพาเราไปสู่ความมุ่งหวังที่เราต้องการให้จงได้...."จงฝันให้ไกล และเดินไปให้ถึง"

"ก่อนปีใหม่นี้ จงพยายามค้นหาสิ่งดีดี ในตัวคุณให้พบ แล้วเผยมันออกมา "
You can shine.

สวัสดีปีใหม่ 2554
สุชาต  จันทรวงศ์

ขอขอบคุณ Thai Pantene television commercial
ที่มาโฆษณา : http://www.youtube.com/watch?v=Um9KsrH377A

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หากขาดคนปิดทองหลังพระจริงๆ แล้วจะทำอย่างไร


การทำงานด้วยใจรัก..ต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ
แม้จะไม่มีใครรู้ ใครเห็น..ก็ไม่น่าวิตก
เพราะผลสำเร็จนั้น..จะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง
ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ
การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด
ว่าที่จริงแล้ว..คนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก
เพราะเห็นว่าไม่มีใครเห็น
แต่ถ้าทุกคน...พากันปิดทองแต่ข้างหน้า
ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย
พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้

******************************

"หากไม่มีใครปิดทองหลังพระ พระจะงามทั้งองค์ได้อย่างไร" คำพูดนี้ ผมมักจะใช้ปลอบใจลูกศิษย์ลูกหา เพื่อนร่วมงาน และคนในครอบครัว อยู่เสมอในขณะที่พวกเขาท้อแท้ใจและชอบบ่นว่า "ทำดีแล้วไม่มีใครเห็น"  แต่แท้ที่จริงแล้ว ในหลวงของเรา พระองค์ได้ทรงสั่งสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2506 แล้ว ซึ่งปรากฏในพระบรมราโชวาทพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ตอนนั้นผมเพิ่งอายุได้ 2 ขวบเท่านั้นเอง

วันนี้ ในทัศนะส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าคนที่ทำงานแบบปิดทองหลังองค์พระ นับวันจะเริ่มน้อยลง เพราะเห็นว่ามันไม่ค่อยเจริญ สู้พวกที่ปิดทองหน้าพระไม่ได้  ดังนั้นพวกนี้จึงกลายเป็นพวกที่ไม่ยอมปิดทองพระเลย อยู่นิ่งๆ ดีกว่า ไม่สั่งก็ไม่ทำ เพราะเกิดอาการท้อแท้ เสียขวัญ

เนื่องจากความเป็นสื่อมวลชน ผมจึงได้มีโอกาสสัมผัสเรื่องราวเบื้องหลังลึกๆ ของโครงการและกิจกรรมหลายอย่างที่หน่วยงานต่างๆ จัดทำขึ้น  ล้วนแล้วมักจะทำงานแบบสร้างภาพลักษณ์ที่สวยงามมากกว่าความมีคุณภาพ  เสมือนกับการปิดทองแต่หน้าพระ ใครพบใครเห็นก็รู้สึกสวยงามไว้ก่อน  แต่เบื้องหลังแล้วสุดแสนที่จะสับสน สั่งแต่ไม่มีคนทำ สั่งแต่ไม่มีใครร่วมมือ สั่งแต่ไม่มีใครประสานงาน สั่งแต่ไม่มีงบประมาณให้ งานสำเร็จแบบแกนๆ เอาในวินาทีสุดท้ายทุกที เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพราะคนที่เคยปิดทองหลังพระ เขาไม่ทำแล้วนั่นเอง

น่าแปลก ขณะที่เงินเดือนและงบประมาณต่างๆ มีมากขึ้น มันน่าจะดี  แต่ทำไมลูกน้องในหลายหน่วยงานจึงขวัญต่ำและยากจนลง ข้าราชการทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจ และครู ชิงลาออกก่อนเกษียณกันเป็นว่าเล่น จนต้องระงับเอาไว้ เหตุเพราะเขาเหล่านั้นคงเกิดอาการเบื่อหน่าย แต่ถามว่าเบื่อหน่ายเรื่องอะไรบ้าง เช่น
  • ครู ลาออกเพราะเบื่อผู้อำนวยการ 
  • ครู ลาออกเพราะเบื่อการประเมินคุณภาพ ต้องจัดทำเอกสารหลักฐานวุ่นวายมากมายไปหมด
  • ข้าราชการลาออก เพราะไม่ได้รับความยุติธรรมจากเจ้านาย เจ้านายไร้ธรรมาภิบาลในการปกครอง บริหารงานแบบสมบัติผลัดกันชม มีแต่พวกกู พวกมึง แต่ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชา
  • ข้าราชการลาออก เพราะมองไม่เห็นความเจริญในตำแหน่งหน้าที่การงานของตน
  • ฯลฯ
ในสมัยก่อน คนเหล่านี้ อุตส่าห์สมัครสอบแข่งขันกับคนหลายร้อยพันคน เพื่อเข้ามาเป็นข้าราชการ แต่ตอนนี้กลับชิงลาออกก่อนเกษียณ...จึงต้องหันมาตั้งคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น....เราเข้าใจในเรื่อง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ อย่างแท้จริงหรือไม่...ทั้งๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด 

สังคมวันนี้ มีพวก Wallpaper เสนอหน้าถ่ายรูปทุกงานอยู่มากมาย แต่คนที่ทำงานเก่ง ชอบที่จะอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ชอบที่จะปิดทองหลังพระ คนเหล่านี้กำลังจะหมดไป ...เพราะคนเหล่านี้เริ่มท้อแท้ สิ้นหวัง ขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน...เหมือนไฟที่กำลังจะมอดลง เพราะไม่มีเชื้อไฟ...

วันหนึ่ง หากขาดคนปิดทองหลังพระจริงๆ  เราก็คงต้องกลับพระเสีย เพื่อให้ข้างหลังกลายเป็นข้างหน้า และให้ข้างหน้ากลายเป็นข้างหลัง
แล้วเราจะทำเช่นนั้นได้หรือ?

จุฑาคเชน  : 22 ธ.ค.2553

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 22 ฉบับที่ 380 ประจำเดือนมกราคม พุทธศักราช 2554 หน้า 3

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เด็กนักเรียนต่างชาติในราชบุรี

เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2553 ณ มุมเล็กๆ ในตลาดเมืองทอง อ.เมือง จ.ราชบุรี ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมกิจกรรม "วันสิทธิเด็กสากล" ซึ่งมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือที่เรียกย่อๆ ว่า LPN (Labour Rights Pormotion Network Foundation) สำนักงานราชบุรี เป็นผู้จัดขึ้น (ซึ่งจริงๆ แล้ววันสิทธิเด็กสากลนี้ องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ใน วันที่ 20 พ.ย.ของทุกปี แต่ LPN จัดกิจกรรมล่วงหน้าก่อน)

ตอนแรกผมไม่ทราบเลยว่า งานนี้คืองานอะไรกันแน่ เห็นเพื่อนๆ ที่เป็นครูบอกว่าเป็น "งานวันเด็กชาติพม่า"  และไม่เคยทราบเลยว่า จ.ราชบุรี มีมูลนิธิ LPN นี้ทำงานอยู่ด้วย แต่หลังจากได้พูดคุยกับคุณสมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการองค์กร LGN แล้วจึงพอทราบได้ว่า 

กิจกรรมวันนี้จัดขึ้นให้กับเด็กนักเรียนชาวต่างชาติในราชบุรี  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวพม่า ส่วนมอญ กะเหรี่ยง ก็มีอยู่บ้าง เด็กเหล่านี้อพยพตามพ่อแม่ที่มาใช้แรงงานอยู่ในพื้นที่ จ.ราชบุรี  มีตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงระดับประถมศึกษา ส่วนมัธยมศึกษาก็มีอยู่บ้างเล็กน้อย โดยเด็กเหล่านี้เรียนอยู่ในโรงเรียนของรัฐบาลนี้แหละ อย่างเช่นในราชบุรี ก็มี ร.ร.วัดดอนแจง ร.ร.วัดเขางูสันติธรรม ร.ร.วัดใหม่นครบาล ร.ร.เขาถ้ำกุญชร และ ร.ร.ชุมชนตะโกล่าง เป็นต้น สอบถามหัวหน้าสำนักงาน LPN ราชบุรี จึงพอทราบว่า จำนวนเด็กนักเรียนต่างชาติ ในพื้นที่ จ.ราชบุรี มีอยู่ประมาณ 200 กว่าคน

จากการพูดคุยกับหลายฝ่าย (เท่าที่มีเวลาในขณะนั้น) พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเรียนของเด็กต่างชาติเหล่านี้ ก็คือ
  1. ไม่ค่อยมีโรงเรียนที่จะรับเด็กเหล่านี้เข้าไปเรียน (อาจเพราะไม่อยากได้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ) ทั้งๆ ที่เด็กเหล่านี้ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเหมือนเด็กนักเรียนไทยทั่วไป  การประสานงานเพื่อหาโรงเรียนให้เด็กๆ เหล่านี้เรียน จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก 
  2. ปัญหาพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ค่อยเข้าใจ และไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ในการที่จะเอาลูกหลานของเขาไปเรียนในโรงเรียนของไทย
  3. ปัญหาการย้ายที่ทำงานบ่อยๆ ของพ่อแม่ ทำให้การเรียนไม่ต่อเนื่อง พอไปทำงานที่ใหม่บางครั้งเด็กเหล่านี้ก็ไม่ได้เรียนต่อ
  4. ปัญหาการเรื่องการออกผลการศึกษาให้แก่เด็กเหล่านี้ เพื่อนำไปเรียนต่อในโรงเรียนแห่งใหม่ ยังไม่เป็นที่ยอมรับ
  5. ปัญหาเรื่องการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้แก่เด็กต่างชาติเหล่านี้ในการเรียนร่วมกับนักเรียนไทย   
  6. ปัญหาเรื่องงบประมาณในการรับ-ส่งเด็กนักเรียน ซึ่งปัจจุบัน มูลนิธิ LPN จะจัดหารถตะเวนรับ-ส่งนักเรียนต่างชาติเหล่านี้จากสถานที่พักของพ่อแม่ผู้ปกครองไปยังโรงเรียน  เงินค่าจ้างรถรับ-ส่ง ก็เก็บมาจากพ่อแม่ผู้ปกครอง (ที่พอจ่ายได้) ผสมกับเงินของมูลนิธิ LPN ที่มี บางครั้งหากระยะทางไกลมากเกินไปก็ไม่สามารถจัดรถรับ-ส่งให้เด็กเหล่านี้ได้  (เพราะโรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมรับเด็กนักเรียนต่างชาติเหล่านี้เข้าเรียน)
ในช่วงเวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์ มูลนิธิ LPN ยังอุตส่าห์นำเด็กต่างชาติเหล่านี้มารวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ฝึกทักษะการอยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นการช่วยให้คุณภาพชีวิตของเด็กต่างชาติเหล่านี้ ดียิ่งขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

กิจกรรม  "วันสิทธิเด็กสากล" ในวันนี้ ถึงแม้จะเป็นงานเล็กๆ ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมากมาย และไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเท่าใดนัก  งบประมาณก็มีจำนวนจำกัด  แต่ผมคิดว่า "ถึงมันจะเล็ก มันก็มีค่ายิ่งใหญ่มาก ในใจของเด็กต่างชาติที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้

ขอขอบคุณและขอเป็นกำลังใจให้คนทำงานใน มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ทุกคน

ชมภาพชุดกิจกรรมวันสิทธิเด็กสากล (ราชบุรี)

เขียนโดย จุฑาคเชน : 19 พ.ย.2553

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 21 ฉบับที่ 379 ประจำเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2553 หน้า 3

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้าราชการเลว 25 ประเภท

ผมรู้สึกหดหู่ เพราะได้ยินเรื่องราวต่างๆ ของข้าราชการไทย (ที่ไม่ค่อยดีนัก) จากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์และสื่อต่างๆ  และในฐานะที่ผมก็เป็นข้าราชการคนหนึ่ง รู้สึกอาย... พอดีได้ไปอ่านเรื่องราวของข้าราชการเลว 25 ประเภท เลยเอามาเขียนดู เผื่อจะได้สบายใจบ้าง
  1. นั่งไม่ติดเก้าอี้
  2. ออกท้องที่เป็นประจำ
  3. งานไม่ทำเอาแต่คุย
  4. หน้ามุ่ยตลอดวัน
  5. ฟาดฟันเพื่อนร่วมงาน
  6. หย่อนยานเป็นพ่อพระ
  7. เอาชนะระราน
  8. ชอบซุกงานตลอด
  9. บ่นออดจูู้จี้
  10. หลบหนีผู้คน
  11. สนใจแต่ความชอบ
  12. ไม่มอบแบ่งงาน
  13. ตั้งตัวการแบ่งพวก
  14. งานลวกปล่อยปละ
  15. คอยจังหวะคอรัปชั่น
  16. ประพฤติพาลจอมกระล่อน
  17. หย่อนยานศีลธรรม
  18. ชอบนำเผด็จการ
  19. อภิบาลพวกพ้อง
  20. พี่น้องก้าวกาย
  21. ไม่สบายตลอดปี
  22. เป็นหนี้เกินตัว
  23. ขาดตัวประสานงาน
  24. วิทยาการล้าหลัง
  25. หวังกำลังใจ
ข้อมูลนี้เอามาจากหนังสือบันทึกศรีทอง เล่ม 2 ของนายแพทย์พนัส พฤกษ์สุนันท์ ซึ่งท่านพิมพ์แจกจ่ายตอนท่านเกษียณอายุราชการ เมื่อปี พ.ศ.2553 นี้เอง

จริงจริง...แล้ว ผมว่ามีมากกว่า 25 ประเภทนะ..ลองเขียนเพิ่มเติมดูก็ได้

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การจัดการความรู้ในโลกไซเบอร์ (Cyber Knowledge Management-CKM)

บทความนี้ เขียนขึ้นตามความคิดและความเข้าใจของผมเอง 

ที่มาของภาพ
http://www.oknation.net/blog/lostinspace/2008/08/17/entry-1
ในสังคมปัจจุบันทุกคนคงต้องยอมรับว่า "โลกไซเบอร์" เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการทำงาน  การติดต่อสื่อสาร  การส่งผ่านข้อมูล  การค้นหาข้อมูล การเผยแพร่ข่าวสาร กิจกรรมความรู้ การเชื่อมโยงผู้คนในสังคมเข้าด้วยกัน รวมทั้งการทำธุรกรรมต่างๆ ทางด้านการเงิน การพาณิชย์ และธุรกิจการค้า มีข้อมูลความรู้จำนวนมากมายมหาศาลปลิวว่อนอยู่ในโลกไซเบอร์ ทั้งลับเฉพาะบุคคล ลับเฉพาะองค์กร หรือเป็นสาธารณะ 

การจัดการความรู้ในโลกไซเบอร์ (Cyber Knowledge Management) ของปัจเจกบุคคล  องค์กร และหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ  ที่จะสามารถนำไปสู่การแข่งขัน และนำไปสู่ความสำเร็จ ตามคำนิยามที่ว่า "ความรู้คืออำนาจ"  (Knowledge is Power)  

พลเมืองในโลกไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา และคนทำงาน  หากต้องการหาข้อมูลใดๆ เพื่อมาตอบโจทย์หรือคำถามของตนเอง คงหนีไม่พ้น การใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลต่างๆ จากเว็บไซต์ (Search Engine) เช่น Google, MSN, Yahoo, Bing, Ask เป็นต้น จนกระทั่งเกิดคำกล่าวที่ว่า "หากค้นหาใน Google ไม่พบ แสดงว่าสิ่งนั้นไม่มีในโลกนี้"

ปัจจุบัน การจัดการความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวมนุษย์ (Tacit Knowledge) นักจัดการความรู้ก็พยายามแปลงมันให้ออกมาเป็นความรู้ที่แจ้งชัด (Explicit Knowledge) ในรูปแบบของหนังสือ นิตยสาร วารสาร แผ่นพับ สิ่งตีพิมพ์ สื่ออิเลคทรอนิกส์ สื่อมัลติมีเดีย เว็บไซต์ Blog ฯลฯ เป็นต้น รูปแบบต่างๆ ที่ว่านี้ บางรูปแบบไม่สามารถนำไปใช้ในโลกไซเบอร์ได้ ดังนั้น กระบวนการในนำรูปแบบเหล่านี้ไปเผยแพร่ในโลกไซเบอร์ ผมจึงเข้าใจว่ามันคือ "การจัดการความรู้ในโลกไซเบอร์"  (Cyber Knowledge Management-CKM) นั่นเอง ดังนั้นกระบวนการก็น่าจะเป็นดังนี้

Tacit Knowledge ---> Explicit Knowledge ----> Cyber Knowledge

ผมยกตัวอย่างว่า ถ้าพิมพ์หนังสือฉบับหนึ่ง จำนวน 1,000 เล่ม แล้วแจกจ่ายไปตามห้องสมุดต่างๆ ความรู้ในหนังสือฉบับนั้นก็คงมีอยู่ 1,000 แห่งเท่านั้น  แต่ถ้าเราสามารถจัดการความรู้ในหนังสือเล่มนั้นให้อยู่ในรูปแบบของ Cyber Knowledge เช่น ทำเป็น E-book หรือ จัดทำเป็นรูปแบบ PDF, Word  แล้วดำเนินการเผยแพร่ไปในเครื่องมือต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกไซเบอร์แล้ว ความรู้ในหนังสือฉบับนั้นก็จะสามารถแบ่งปันให้แก่ผู้คนได้อย่างมหาศาล

ปัจจุบัน การจัดการความรู้ในโลกไซเบอร์ หรือการพยายามที่จะสร้างความรู้ในรูปของ Cyber Knowledge ของคนไทย ในความคิดเห็นของผม คิดว่ามีจำนวนน้อยมาก เท่าที่สังเกตเป็นการส่วนตัวพบว่าอาจจะมาจากสาเหตุหลายประการ ดังนี้
  • คนไทยชอบถ่ายทอดความรู้แบบเล่าต่อๆ กันมา ไม่ค่อยชอบเขียน ไม่ค่อยชอบบันทึก
  • คนไทยไม่กล้าเขียน กลัวจะอายในสำนวน ถ้อยคำ และชอบคิดว่า "ตัวเองไม่มีภูมิปัญญาพอที่จะเขียน"
  • คนไทยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือบันทึกต่างๆ ในโลกของไซเบอร์ และยังกลัวที่จะเรียนรู้มันอีกด้วย
  • ฯลฯ
เครื่องมือในโลกไซเบอร์ทุกวันนี้ มันทันสมัยมากและมันติดตัวอยู่กับคนตลอดเวลา อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ ที่สามารถทำได้สารพัดเรื่อง เช่น รับ-ส่งอีเมล์ ข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายคลิบวีดีโอ เชื่อมโยงไปยังเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) จัดการสื่อต่างๆ (Social Media) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่หากเรามองในสังคมส่วนใหญ่ของไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในหมู่บรรดา เด็กนักเรียน นักศึกษา เยาวชน และวัยรุ่น  แล้ว ลองสังเกตว่าข้อมูลที่มีอยู่ในโลกไซเบอร์ ส่วนใหญ่ เด็กเหล่านั้นนำความรู้มาใช้ หรือ นำความไร้สาระมาใช้ และ ใครจะตอบได้ว่า ความรู้ที่ปลิวว่อนอยู่ในโลกไซเบอร์นั้น มีความรู้หรือความไร้สาระมากกว่ากัน ดังนั้น การจัดการความรู้ในโลกไซเบอร์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะสร้างความรู้ให้มากกว่าความไร้สาระ 

"ทำอย่างไรจะให้เด็กและเยาวชนของเรา รู้จักไช้  FaceBook , Hi5, Twitter, MSN  อย่างมีสาระมากกว่าความไร้สาระ" นี่ก็คือส่วนหนึ่งที่ผมคิดว่ามันน่าจะมีการจัดการความรู้ในโลกไซเบอร์ (Cyber Knowledge Management-CKM) แต่จะทำอย่างไรนั้น...ก็คงต้องคิดกันต่อไปละครับ...

จุฑาคเชน
19 ต.ค.2553

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 21 ฉบับที่ 378 ประจำเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2553 หน้า 3


วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมและอบรม

เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ "บันทึกศรีทอง"  เล่ม 2 ของนายแพทย์พนัส  พฤกษ์สุนันท์ นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กรมอนามัย อดีตผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ 4 ราชบุรี ซึ่งท่านพิมพ์แจกในโอกาสเกษียณอายุราชการ  ท่านได้เขียนคำจำกัดความของศัพท์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมและอบรม ไว้สั้นๆ เข้าใจง่าย ผมจึงถือโอกาสคัดลอกนำมาไว้ในบล็อกนี้ เพื่อเผยแพร่ต่อไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งคำศัพท์เหล่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆ ฝ่าย ลองอ่านดูนะครับ

คำระบุกรอบแนวคิดการประชุม (Words emphasize concept of meeting)
  1. Assembly  หมายถึง กลุ่มคน ชมรม สมัชชา หรือสมาคม ที่มาร่วมประชุมกันเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรื่องเดียวเท่านั้น เช่น การฟังบรรยายเฉพาะประเด็นจากผู้เชียวชาญ (Speaker) การประชุมเรื่องสุขภาพแห่งชาติเป็นต้น
  2. Caucus หมายถึง การประชุมของสภาผู้แทน หรือพรรคการเมือง หรือคณะกรรมการท้องถิ่นระดับหัวหน้า เพื่อกำหนดนโยบายหรือคัดเลือกผู้สมัครแข่งขัน คำนี้ใช้เฉพาะกับการเมืองและเป็นการประชุมปิดเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
  3. Congress หมายถึงการประชุมอย่างเป็นทางการระหว่างผู้แทนองค์กรต่างๆ เช่น การประชุมองค์กรแพทย์นานาชาติ ซึ่งอาจมีการประชุมหลายครั้งต่อเนื่องกันไป และคำนี้ยังใช้กับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการออกกฏหมายของชาติด้วย
  4. Conferrence หมายถึง การประชุมที่มีการอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมอง หรือประสบการณ์เป็นหลัก ไม่เน้นทฤษฎี ผู้เข้าร่วมประชุมมีได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปถึงหลายพันคน โดยมีประเด็นที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน รวมถึงการประชุมปรึกษาหารือกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเพื่อเตรียมจัดประชุมที่เป็นทางการ
  5. Convention หมายถึง การประชุมของกลุ่มวิชาชีพเดี่ยวกันเท่านั้นคนอื่นไม่เกี่ยว (A conferrence of members of profession.) หรือเป็นการประชุมอย่างเป็นทางการของนักการเมือง (A large formal assembly ; "political convention".) และยังหมายถึงข้อตกลงทางการทูตระหว่างประเทศ (An international diplomacy agreement)
  6. Summit หมายถึง การประชุมระหว่างผู้นำประเทศ หรือระหว่างผู้บริหารขององค์กรตั้งแต่ 2 ประเทศ หรือ 2 องค์กรขึ้นไป

Conferrence
ที่มาของภาพ
http://www.devoxx.com/display/JV08/Conference
 คำที่ระบุประเด็นในการเรียนรู้ (Words emphasize the idea of learning)
  1. Course หรือ ชุดการเรียน หมายถึง ชุดการบรรยายหรือบทเรียนที่มีความต่อเนื่อง
  2. Consortium หมายถึง การประชุมเฉพาะกิจ ชั่วครั้งชั่วคราว ในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ผู้เข้าร่วมประชุมมีหลายวิชาชีพ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมหรือโครงการนั้นๆ มาพูดคุยกัน และยังหมายถึงการรวมตัวของหน่วยงานเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างเป็นการเฉพาะ
  3. Seminar หมายถึง การประชุมกลุ่มเล็กๆ เพื่ออภิปรายในประเด็นเฉพาะ ทั้งนี้ต้องมีผู้มีอำนาจในการตัดสินใจร่วมการประชุมและนำผลการประชุมไปใช้ เช่น การประชุมของนักศึกษาร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำโครงงานหรือวิทยานิพนธ์ เป็นต้น
  4. Training หมายถึง กระบวนการเตรียมคนเข้าสู่งาน หรือสร้างพฤติกรรม หรือทักษะที่ต้องการตามมาตรฐาน โดยการสั่งสอน การฝึกปฏิบัติ และการประเมินผล
  5. Tutorial หมายถึง การสอนงานอย่างเข้มข้นให้กับบุคคลหรือนักศึกษา 1-2 คน หรือกลุ่มเล็กๆ ในห้วงเวลาหนึ่ง
  6. Workshop หมายถึง การอภิปรายและฝึกปฏิบัติในหัวเรื่องเฉพาะ หรือ สมาชิกกลุ่มมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และเจตคติต่อหัวเรื่องนั้นๆ หรือการประชุมที่สร้างความรู้ความเข้าใจอย่างเข้มข้นและเน้นการแก้ปัญหา

Seminar
ที่มาของภาพ
http://www.ccagr.com/content/view/56/143/

คำที่ระบุรูปแบบของการแลกเปลี่ยนข่าวสารความรู้ (Words emphasize the style of information exchange)
  1. Forum หมายถึง การประชุม การเสวนา หรือบรรยายที่ผู้ฟังมีส่วนร่วม กลุ่มเล็กๆ ประมาณ 20 คน แต่บางครั้งอาจมีจำนวนมาก รวมถึงเวทีสาธารณะที่เปิดสำหรับคนทั่วไปเข้าร่วมอภิปราย
  2. Panel หมายถึง กลุ่มของผู้ที่ได้รับการคัดเลือก ให้มาอภิปรายต่อหน้าผู้ฟัง ผู้ฟังไม่มีส่วนร่วม จนกว่าผู้อภิปรายทุกคนจะได้พูดหมดแล้ว จึงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามหรือร่วมอภิปราย นอกจากนั้นยังหมายถึงกลุ่มคณะกรรมการตัดสินการประกวด
  3. Symposium หมายถึง กลุ่มของผู้รู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เสนอมุมมองในหัวข้อที่กำหนดหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้องตามลำดับทีละคน โดยทั่วไปมักเกี่ยวกับการวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นในงานวิจัยที่ผู้วิจัยนำเสนอ
  4. Focus group discussion หมายถึง การอภิปรายกลุ่มเล็กๆ 6-8 คน มักใช้ในการเก็บข้อมูลการวิจัย มีเกณฑ์การเลือกคนเข้ากลุ่ม ใช้คำถามเป็นแนวทางอภิปราย โดยมี Moderator เป็นผู้ยิงคำถาม มีเทคนิคให้กลุ่มออกความเห็น มีคนบันทึกเทป หรือจดบันทึก อาจมีการเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น น้ำดื่ม อาหารว่าง ของชำร่วย

Symposium
ที่มาของภาพ
http://web.sma.nus.edu.sg/smaconnect/issue0401/Symposium%20Extravaganza.asp
ที่มาข้อมูล
พนัส  พฤกษ์สุนันท์. (2553). บันทึกศรีทอง เล่ม 2 : ศูนย์อนามัยที่ 4 ราชบุรี. แจกจ่ายเมื่อ 9 ก.ย.2553 ในโอกาสเกษียณอายุราชการ. (หน้า 28-30)

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สิ่งเก่าๆ ที่ไร้ประโยชน์ต้องเปลี่ยนสักที

วันนี้ ผมรู้สึกเบื่อหน่ายมากที่วันๆ หนึ่ง ทั้งโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ชอบเอาเรื่องราวที่เป็นขยะสังคม มาทำข่าวจนมากเกินไป นอกจากนั้น ยังมีเรื่องราวของการเมืองน้ำเน่า การทะเลาะเบาะแวงแย่งชิงอำนาจ ภัยพิบัติซ้ำซากที่ไม่เคยได้ปรับปรุงแก้ไข พอวัวหายก็ล้อมคอกกันทีหนึ่ง ถ้าปวดหัวก็ให้ยากินกันไป แต่ไม่หาสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้ปวดหัว ลองฟังเรื่องราวบางส่วนดูนะครับ ว่ามันน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน
  • พรรคการเมือง เอาแต่เรื่องของผลประโยชน์ของพรรค เรื่องอำนาจ เรื่องโควต้ารัฐมนตรี ลืมเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน ข้าวก็ยาก หมากก็แพง หนี้สิ้นท่วมท้น   
  • เดินสายปรองดอง ให้ทุกฝ่ายหันมายกโทษ อภัยให้กัน ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครเผาบ้านเผาเมือง เข่นฆ่าคนไทยเมื่อ 19 พ.ค.2553 ที่ผ่านมา
  • นักการเมืองคนนี้ก็ออกมาว่า คนนั้น นักการเมืองคนนั้นก็ว่าคนนี้ บางทีก็โต้ตอบกันไปมา ทะเลาะเบาะแว้งกัน แกนนำเสื้อแดง ก็สาวไส้ แฉกันเอง ศึกวันแดงเดือด
  • ระเบิดป่วนเมือง เป็นรายวัน เดี๋ยวที่โน่น เดี๋ยวที่นี่..ไม่เคยจับได้สักกะที เมื่อจับไม่ได้ แน่นอนมันก็จะระเบิดอีก เพราะมันรู้แล้วว่าไม่มีทางจับมันได้...เกียรติ์ตำรวจของไทย..
  • คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยก็ทำงานกันไป ไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไหร่ จบแล้วจะมีใครทำตามหรือปล่าวก็ไม่รู้ น่าเสียดายเวลาและเงินที่ต้องเสียไป
  • พรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบหรือไม่ หากยุบ ใครเล่าจะมาเป็นนายกตัวสำรอง มีการปีนเกลียวกันเอง อยากเป็นนายกกันทั้งนั้น  ขนาดรองนายกฯ ยังต้องลงไปเลือกตั้ง เป็น ส.ส.เลย
  • การโยกย้ายข้าราชการประจำอย่างไม่เป็นธรรม  เพื่อเอาพรรคพวกตัวเองมาเป็น มาเพื่อสร้างและปกป้องผลประโยชน์ให้ตนเอง
  • การคอรับชั่นในกระทรวง ทบวงกรมต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย
  • สินบน 100 ล้าน ที่ลานจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ น่าอายจริงๆ
  • พวกข้าราชการชอบเขียนโครงการร้อยแปด พันเก้าโครงการ เพื่อผลาญเงินเล่น บางโครงการก็ไร้ค่าแทบหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย  "โครงการเยี่ยม ปฏิบัติแย่" ก็มี "โครงการแย่  จัดฉากเยี่ยม" ก็มี และ "โครงการแย่ ปฏิบัติก็แย่" ก็มี
  • ดารานักร้อง ไร้จริยธรรม ไร้ศีลธรรม มั่วเซ็กส์  แล้วออกมาเรียกร้องให้สังคมเห็นใจ แทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม
  • น้ำท่วม ดินถล่ม ก็โทษว่าดันไปตัดไม้ทำลายป่ากัน ทุกคนก็รู้แล้วว่า มันมีคนตัด แต่ไม่ทำอะไร ชอบเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เดี๋ยวภัยหนาวก็จะมาเยือนอีกแล้ว ก็คงต้องหาผ้าห่มไปแจกกันอีก
  • ชาวบ้านบุกรุกที่ดินของหลวง  บุกแล้วก็มาเรียกร้องขอสิทธิ์ทำกิน ให้ทุกคนเห็นใจ...ก็รู้แล้วเป็นที่ของหลวง แล้วไปบุกรุกทำไม หลวงก็รู้แต่ทำไมไม่ห้ามตั้งแต่แรก ปล่อยปะละเลยให้เขาทำกิน พอลงหลักปักฐานแล้ว ใครเขาจะยอมออกไป
  • ประเทศไทยน่ากลัวมาก เพราะมีนักรบที่ถูกฝึกพิเศษ  มาเตรียมก่อวินาศกรรมในประเทศไทย  บางคนก็บอกว่าเรื่องจริง บางคนก็บอกว่าเรื่องไม่จริง แล้วอะไรคือ ความจริง
  • บรรดานักการเมือง ตั้งแต่ระดับบน ถึงล่าง เอาแต่เงินมาสร้างถนน สร้างตึก เพราะเห็นเม็ดเงินค่าหัวคิวชัดเจนเป็นกอบเป็นกำ มีตั้งแต่ 10% ถึง 30%   แต่หากเอาเงินมาสร้างคุณภาพคนแล้ว ไม่เห็นอะไรเพราะต้องใช้เวลา...คนไทยถึงได้โง่อยู่อย่างนี้..และก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป...
  • รัฐบาลก็เอาแต่จะสร้างอุตสาหกรรม จนลืมผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น มาบตาพุด โครงการเซาน์เทิร์นซีบอร์ด แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล ปล่อยสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย ฯลฯ
  • นโยบายเรียนฟรี เรียนดี 15 ปี ทำให้โรงเรียนยอดนิยมร่ำรวยขึ้น เพราะเห็นเม็ดเงินจากหัวของเด็กกันชัดๆ ขยายห้องเรียนกันเป็นว่าเล่น (ทั้งๆ ที่ไม่มีครูจะสอน เพราะลาออกก่อนเกษียณกันหมด)  โรงเรียนเล็กๆ กลับค่อยๆ ตายไปทีละนิด เพราะเด็กลดลง ย้ายไปอยู่โรงเรียนยอดนิยมดีกว่า   
  • ประเทศไทยกำลังปฏิรูปการศึกษารอบสอง แต่เด็กๆ กลับยังมั่วที่จะสอบ GAT/PAT เสียเงินสอบกันไม่รู้กี่ครั้ง เสียเงินเรียนพิเศษ กวดวิชา เพื่อจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยยอดนิยม แล้วเด็กที่ไม่มีเงินจะทำอย่างไร
  • เด็กคนนี้เรียนสายสามัญไม่ไหว ต้องเรียนสายอาชีพ สายอาชีวะ แต่พอจบมาแล้วทำงานไม่เป็น ไม่มีบริษัทฯ ห้างร้านไหน เขาจ้าง เขารับ  จะไปเป็นเด็กปั๊มน้ำมันก็อาย (เด็กปั็มเดี๋ยวนี้จึงมีแต่พม่าและกะเหรี่ยง)  จะเปิดร้านทำธุรกิจเองก็เองก็ทำไม่ได้ เพราะคิดไม่เป็น ฝีมือก็ไม่ถึง  
  • ฯลฯ    
ยังมีเรื่องราวของประเทศไทยอีกหลายเรื่องที่ผมรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโทษใครดี..แต่ผมคิดว่า การกระทำแบบเดิมๆ แบบเก่าๆ ที่มันไร้ประโยชน์ ควรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงมันสักที...ไม่อย่างนั้น ประเทศไทยก็จะได้ชื่อว่าเป็น "ประเทศที่กำลังพัฒนา" ตลอดไป แล้วเมื่อไหร่เราจะเป็น "ประเทศที่พัฒนาแล้ว" เสียที
  
สิ่งเก่าๆ ที่ไร้ประโยชน์ต้องเปลี่ยนสักที

เขียนโดย จุฑาคเชน 14 ต.ค.2553

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ให้เงินมากาเบอร์อื่น เป็นความคิดที่ถูกหรือผิด

วันนี้วันเสาร์ที่ 25 ก.ย.2553  ซึ่งพรุ่งนี้ (26 ก.ย.2553) จะเป็นวันเลือกตั้งของท้องถิ่นเทศบาลเมืองราชบุรี โดยในครั้งนี้มีผู้สมัครเป็นนายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี ถึง 5 คน (เลือกตั้งรวมทุกเขต) เลือกได้ 1 คน  และมีกลุ่มการเมืองของผู้สมัครนายกฯ สมัครเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองราชบุรี (สท.) ถึง 3 กลุ่ม แบ่งการเลือกตั้ง ออกเป็น 3 เขตเลือกได้เขตละ 6 คน

ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี มีจำนวน 26,621 คน
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง สท.ในเขต 1  จำนวน 9,159 คน
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง สท.ในเขต 2 จำนวน 8,704 คน
ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง สท.ในเขต 3  จำนวน 8,758 คน

มีกระแสข่าวมาตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.53 แล้วว่ามีการแจกเงินซื้อเสียงให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่หัวละ 1,000 บาท และขยับขึ้นมาเรื่อยๆ ถึงวันนี้แล้ว มีข่าวถึง 1,500-2,000 บาท ซึ่งก็ไม่มีใครทราบและยืนยันได้ว่าเท่าไหร่กันแน่ แต่ก็มีหัวคะแนนของแต่ละกลุ่ม จดรายชื่อไปตั้งนานแล้ว

สมมติว่ามีการจ่ายเงินซื้อสิทธิ์จริงๆ โดยมีข้อแม้ว่าต้องเลือกนายกและ สท.ในกลุ่มแบบยกทีม สมมติว่าจ่ายหัวละ 1,000 บาท  ซึ่งอย่างน้อยผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี แต่ละคนต้องมีคะแนนขั้นต่ำ 5,000 คะแนนถึงจะเป็นผู้ชนะ  ลองคูณกันดูนะครับว่าเป็นเงินเท่าใด

5,000 คน X 1,000 บาท เป็นเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาท)

เงินจำนวนนี้ คนอย่างพวกเราๆ มันเรียกว่าเยอะมากมาก แต่เพื่อแลกกับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองราชบุรีในอีก 4 ปีข้างหน้านั้น เป็นเงินที่ไม่ได้มากมายอะไรเลย อย่างนี้เขาจึงเรียกว่า "ธุรกิจการเมือง"

ลงทุนด้วยเงิน ได้มาซึ่งตำแหน่ง และก็ถอนทุนคืน แล้วยังได้กำไรตามมาอีก อย่างนี้เขาเรียกว่าได้ทั้งกล่อง ได้ทั้งเงิน

สมัยนี้ ไม่มีใครกล้าลงทุนขนาดนี้ เพียงเพื่ออุดมการณ์ที่ต้องการจะทำงานให้ชาติบ้านเมืองหรอกครับ !

มันเป็นเรื่องตรรกกะง่ายๆ

มาถึงความคิดที่ว่า  "ให้เงินมา กาเบอร์อื่น" มันเป็นความคิดที่ถูกหรือผิด

ผมลองถามสมาชิกในครอบครัวของผม ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นความคิดที่ถูกต้อง คือให้เงินมาก็รับไว้ก่อน ให้สองเบอร์ก็รับสองเบอร์เลย แต่จะเลือกหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่องกัน แต่ผมกลับเห็นว่า เป็นความคิดที่ไม่ถูก ความคิดของผมก็คือ "ไม่รับเงินตั้งแต่ต้นเลย แล้วเราจะเลือกใครก็ตามแต่ใจของเรา"  เหตุผลต่างๆ นาๆ ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันในครอบครัว ซึ่งต่างคนต่างก็มีเหตุผลของตนเอง

หลังที่ถกเถียงกันพอสมควร ผมก็มีข้อสังเกตอยู่ว่า ความคิดของคนรุ่นใหม่อย่างลูกสาว (ม.6-โรงเรียนชื่อดัง ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง) และลูกชายของผม (ปี 2-มหาวิทยาลัยชื่อดัง เพิ่งมีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก)  ยังมีความเห็นว่า ให้เงินมาก็รับไว้ก่อน แต่จะเลือกหรือไม่เป็นคนละเรื่องกัน นั้น

หากความคิดของคนรุ่นใหม่เป็นอย่างนี้ น่าจะสะท้อนให้เห็นกระแสสังคมไทยในปัจจุบันได้ดี รวมทั้งสะท้อนถึงการจัดการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนของเราว่า เราสอนให้เด็กมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรมจริยธรรม และรักประชาธิปไตย จริงตามที่กล่าวไว้หรือไม่  และที่สำคัญสภาพแวดล้อมของครอบครัวและชุมชน ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เขามีความคิดเช่นนี้ และผมก็คิดว่า ที่ผ่านมา ผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่คงจะสอนลูกไม่ถูกเช่นกัน

สรุปได้ว่า "การให้เงินมา แล้วกาเบอร์อื่น"  มันจะถูกหรือผิด ไม่มีใครตอบได้ มันขึ้นอยู่กับทัศนะและมุมมองของแต่ละคน

เขียนโดย ชาติชาย คเชนชล 25 ก.ย.2553

อ่านเพิ่มเติม : เลือกนายกฯและ สท.เมืองราชบุรีอย่างไรให้เมืองราชบุรีเจริญ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

พิพิธภัณฑ์ในราชบุรี จะอยู่หรือจะไป

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2553  ผมได้ไปร่วมเสวนาเรื่อง "ความหลากหลายของพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดราชบุรี"  ที่ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ราชบุรี โดยมี นางพูลศรี  จีบแก้ว หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ราชบุรี เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย คือ วันที่ 19 ก.ย. ของทุกปี และมี น.ส.นารีรัตน์  ปรีชาพิชคุปต์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี ได้ให้เกียรติมาร่วมงานนี้ด้วย

วันพิพิธภัณฑ์ เริ่มต้นมาจากการที่  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ที่พระที่นั่งราชฤดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นที่จัดตั้งแสดงสิ่งสะสมในพระองค์เอง ที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งต่อมาได้ย้ายมาจัดแสดงที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ อันเป็นที่มาของคำว่า "พิพิธภัณฑ์ "ในเวลาต่อมา เมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดตั้ง"มิวเซียม" ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชนแห่งแรกขึ้น ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2417 เหตุนี้รัฐบาลจึงประกาศเมื่อปี พ.ศ.2538 ให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปีเป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย

การเสวนาในครั้งนี้ มี น.ส.อุษา ง้วนเพียรภาค ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมีวิทยากร คือ อ.สุรินทร์ เหลือลมัย ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์โรงเรียนบ้านจอมบึง (วาปีหร้อมประชาศึกษา) เจ้าอาวาสวัดคงคาราม ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคงคาราม และนายเสถียร ตุ่นบุตรเสลา ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวเวียง ในสุดท้ายวิทยากรที่กล่าวสรุปก็คือ นายภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น สำหรับผู้ร่วมเสวนาก็เป็นผู้แทนจากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในที่อยู่ใน จ.ราชบุรี และผู้แทนโรงเรียน (บางแห่งที่สนใจ) จำนวนน่าจะประมาณ 50-60 คน

ผมเพิ่งทราบวันนี้เองว่า พิพิธภัณฑ์ใน จ. ราชบุรีของเรา จะมีถึง 23 แห่งเลยทีเดียว ซึ่งสามารถแยกได้ดังนี้
  1. พิพิธภัณฑ์ในสถานศึกษา จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านโรงเรียนบ้านจอมบึง , สำนักงานศิลปวัฒนธรรม ม.ราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง และเบญจมราชูทิศพิพิธภัณฑ์
  2. พิพิธภัณฑ์ของหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
  3. พิพิธภัณฑ์หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่  พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบางแพ พิพิธภัณฑ์อุทยานธรรมชาติวิทยา  จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว พิพิธภัณฑ์ทหารช่าง และพิพิธภัณฑ์สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์)
  4. พิพิธภัณฑ์วัด จำนวน 9 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง พิพิธภัณฑ์วัดลาดบัวขาว พิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นบ้านบ่อหวี พิพิธภัณฑ์ไท-ยวน ศูนย์สืบทอดศิลปะผ้าตีนจกราชบุรี พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคงคาราม  พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน พิพิธภัณฑ์วัดโชติทายการาม และพิพิธภัณฑ์บ่อน้ำพระพุทธมนต์
  5. พิพิธภัณฑ์เอกชน จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ อุทยานหุ่นขึ้ผึ้งสยาม  พิพิธภัณฑ์ชุมชนหลวงสิทธิ์  ภโวทัยพิพิธภัณฑ์ (ภูมิปัญญาชาวบ้าน)  พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวเวียง และพิพิธภัณฑ์บ้านเรา
จากผลการเสวนา ทุกคนเห็นด้วยว่าพิพิธภัณฑ์ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับเด็กนักเรียน เยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ทุกภาคส่วนควรให้การสนับสนุนและส่งเสริม แต่ปัญหาที่พบเหมือนๆ กัน ก็คือ พิพิธภัณฑ์หลายแห่ง กำลังจะไปไม่รอด เพราะขาดงบประมาณ มีเพียงพิพิธภัณฑ์ของเอกชนบางแห่ง ก็พออยู่ได้ เพราะเก็บค่าเข้าชม ส่วนพิพิธภัณฑ์ที่เป็นของหน่วยงานของรัฐ  วัด และสถานศึกษานั้น แทบไม่ต้องพูดถึง กำลังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่  ยิ่งหากนโยบายของรัฐบาล เจ้าอาวาส ผู้บังคับบัญชา ผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่เล่นด้วยแล้ว มีหวังดับสนิท

อ.สุรินทร์ เหลือลมัย วิทยากร
ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์โรงเรียนบ้านจอมบึง
(วาปีพร้อมประชาศึกษา)
นายภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ได้ให้ข้อคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณว่า การได้มาซึ่งงบประมาณในการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์นั้น อาจต้องมาจากหลายช่องทาง นอกจากงบประมาณจากหน่วยทางของราชการที่ดูแลเรื่องพิพิธภัณฑ์โดยตรงแล้ว อาจต้องหามาจากแหล่งอื่นๆ บ้าง เช่น จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล, อบต.)  จากสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) จากสำนักงานพระพุทธศาสนา  หรือจากงบพัฒนาของจังหวัด (ผ่านทางท่านผู้ว่าราชการจังหวัด)  หรือจากมูลนิธิต่างๆ ที่สนับสนุนในเรื่องนี้อยู่

แต่ก่อนที่จะไปต่อรองหรือหามาซึ่งงบประมาณตามช่องทางต่างๆ  นั้น ชาวพิพิธภัณฑ์ทั้งหลายน่าจะจัดตั้งกันเป็นชมรมฯ ขึ้นมาเสียก่อนเพื่อจะได้มีพลัง อย่างที่หลายๆ จังหวัดเริ่มจัดตั้งแล้ว  เช่น จัดตั้งชมรมพิพิธภัณฑ์จังหวัดราชบุรี เป็นต้น จัดทำระเบียบข้อบังคับให้ชัดเจนมีประธาน กรรมการ เลขา ฯลฯ ซึ่งน่าจะสามารถใช้ชมรมฯ นี้ไปต่อรองเรื่องงบประมาณจากแหล่งต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วได้

ปัญหาของพิพิธภัณฑ์อีกเรื่องคือ ไม่มีปัญญาที่จะจ้างภัณฑารักษ์โดยตรงเข้ามาดูแลงานในด้านนี้ คนที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นลักษณะจิตอาสา เป็นคนในชุมชนบ้าง เป็นแม่บ้านบ้าง หรืออาจทำงานหลักด้านอื่นๆ อยู่แล้วมาช่วย  เช่น เป็นครูสอนหนังสือ พอเวลาว่างก็มาเป็นภัณฑารักษ์ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้น่าจะพอแก้ไขได้ โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดอบรมเติมองค์ความรู้ให้แก่บุคลเหล่านี้

นายภูธร ภูมะธน ได้แนะหลักการของการทำพิพิธภัณฑ์ไว้ง่ายๆ ดังนี้
  1. การเก็บสะสม รวบรวมวัตถุไว้อย่างหลากหลาย
  2. การอนุรักษ์วัตถุเหล่านั้นตามหลักสากล
  3. ศึกษาค้นคว้าวิจัยวัตถุที่เก็บมา
  4. การจัดแสดงและเผยแพร่
  5. การบริการให้การศึกษาวัตถุเหล่านั้น
  6. การรักษาวัตถุเหล่านั้นให้อยู่รอดปลอดภัยชั่วนิรันดร์กาล
น.ส.นารีรัตน์  ปรีชาพีชคุปต์ (ซ้าย)
ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี
นางพูลศรี  จีบแก้ว (ขวา)
หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ราชบุรี
ในส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า วันนี้ไม่ได้อยู่ที่การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ใหม่ แต่ทำอย่างไรจะให้พิพิธภัณฑ์ที่จัดตั้งอยู่แล้วทั้ง 23 แห่งในราชบุรีดำรงคงอยู่ได้  ทำอย่างไร จะเปลี่ยนทัศนคติของพิพิธภัณฑ์ที่มีแต่ของเก่าเก่า น่าเบื่อหน่าย ให้กลับกลายเป็นสถานที่อันแสนสนุก น่าเรียนรู้ 

งานพิพิธภัณฑ์ มองดูเผินๆ แล้ว เหมือนเป็นงานอดิเรกของผู้ใหญ่ที่ชอบสะสมของเก่า แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นงานที่น่ายกย่องชื่นชม เป็นงานที่ช่วยเติมความสมบูรณ์ของประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณีของชุมชนและชาติพันธ์ สะท้อนวิถีการดำเนินชีวิตของเผ่าพันธ์มนุษย์ที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้เรียนรู้วิธีที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต

วันนี้ นักพิพิธภัณฑ์ เสมือนผู้ที่ปิดทองหลังองค์พระ  ไม่ค่อยมีใครแลเห็น แต่ถ้าหากไม่มีใครปิดแล้ว พระก็ไม่มีวันงามทั้งองค์ได้เลย... 

ขอให้สู้ต่อไป "นักพิพิธภัณฑ์" วันหนึ่งคงจะมีคนเข้าใจ และหันมามองพวกท่านบ้าง...    

เขียนโดย จุฑาคเชน 20 ก.ย.2553

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 21 ฉบับที่ 377 ประจำเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2553 หน้า 3

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

หลักการ 90/10

โดย : สตีเฟน โควีย์ ( Stephen Covey)
การค้นพบหลักการ  90/10 มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณให้ดีขึ้น (หรืออย่างน้อยที่สุด จะเปลี่ยนวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์บางอย่าง)

หลักการนี้คืออะไร ? เป็นเรื่องง่ายๆ คือ 10% ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ส่วนอีก 90% ที่เหลือนั้นคือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของคุณ ในการตอบสนองกริยานั้น

ประเด็นของเรื่องนี้ คือ มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอยู่เหนือความคาดหมายของเราเพียง  10% เท่านั้น เช่น
  • เราไม่สามารถห้ามรถยนต์ไม่ให้เสีย
  • เราไม่สามารถรู้ได้ว่า เครื่องบินจะมาช้ากว่ากำหนดจนทำให้กำหนดการเราคลาดเคลื่อนไป
  • เราไม่สามารถรู้ได้ว่า ขณะที่เราขับรถถูกช่องจราจร จะมีรถคันอื่นขับปาดหน้า
เราไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ 10 % นี้ที่เกิดกับเรา แต่อีก 90 % ที่เหลือนั้น เราสามารถกำหนดได้

ทำอย่างไร? “โดยการตอบสนองของคุณ”

คุณไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่คุณสามารถควบคุมปฏิกิริยาของคุณต่อเหตุการณ์เหล่านั้น คุณสามารถเลือกวิธีการตอบสนองได้ ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้ 

สมมติว่า ขณะที่กำลังกินข้าวเช้ากับครอบครัว  ลูกสาวของคุณ ทำกาแฟหกรดเสื้อของคุณ  เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุที่ควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้น อยู่กับการกระทำต่อไปของคุณ

คุณอาจจะโกรธ หลังจากนั้นก็ดุด่าว่ากล่าวลููกสาวคุุณอย่างรุนแรง จนกระทั่งลูกสาวคุณร้องไห้  หลังจากที่ดุลูกสาวเสร็จ คุณก็หันไปต่อว่าภรรยา ที่วางถ้วยกาแฟ ใกล้ขอบโต๊ะมากไป

เหตุการณ์ต่อมาที่เกิด คือ มีการโต้เถียงกันระหว่างคุณกับ ภรรยา คุณเดินปึงปังขึ้นไปข้างบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อข้างบน เมื่อกลับลงมาข้างล่าง ลูกสาวคุณยังร้องไห้ไม่หยุด และ ยังไม่ได้กินอาหารเช้า จึงทำให้ไปรถโรงเรียนไม่ทัน ภรรยาก็ต้องรีบไปทำงานทันที  คุณจึงต้องรีบขับรถไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน

เนื่องจากคุณสาย คุณต้องขับรถเร็วกว่าที่กฏหมายกำหนด สิ่งที่ตามมาคือ คุณโดนตำรวจเรียก เพื่อจ่ายค่าปรับ  เมื่อรถถึงโรงเรียน ลูกสาวคุณก็ต้องรีบไปโรงเรียนโดยไม่ได้ร่ำลา ส่วนตัวคุณเองก็ไปถึงที่ทำงานสาย 20 นาที และยิ่งไปกว่านั้น คุณดันลืมเอากระเป๋าทำงานไว้ที่บ้าน  เป็นยังไงบ้างวันนี้ทั้งวันดูเป็นวันที่เลวร้าย สถานการณ์มันแย่ลงเรื่อยๆ จนทำให้รู้สึกอยากกลับบ้าน

แต่เมื่อคุณกลับมาถึงบ้าน คุณรู้สึกได้ถึงความหมางเมินจากลูกสาวและภรรยาของคุณ

ทำไม? สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะการตอบสนองของคุณตอนเช้า อะไรเป็นสาเหตุของวันที่เลวร้ายวันนี้
  1. เป็นเพราะกาแฟหก
  2. เป็นเพราะลูกสาวคุณทำกาแฟหก
  3. เป็นเพราะคุณโดนตำรวจจับ
  4. เป็นเพราะตัวเองนั่นแหละ ที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด
คำตอบคือข้อ "4"

การที่กาแฟหก คุณไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปฏิกิริยาภายใน 5 วินาที ที่คุณทำหลังจากกาแฟหกใส่ คุณสามารถควบคุมได้

เหตุการณ์นี้ คือสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น
กาแฟหก รดตัวคุณ คุณเข้าไปปลอบลูกสาวคุณ "ไม่เป็นไรลูก ต่อไปประวังมากกว่านี้ก็แล้วกัน” หลังจากนั้น คุณหยิบผ้าเช็ดตัว และเปลี่ยนเสื้อของคุณ คุณหยิบกระเป๋าทำงาน และเมื่อคุณลงมาก็พบว่า ลูกสาวคุณกำลังขึ้นรถโรงเรียน เธอหันมาโบกมือให้ ตัวคุณเองถึงเวลาก่อนที่ทำงาน 5 นาที มีเวลาคุยเล่นกับเพื่อนร่วมงาน


อะไรที่แตกต่าง ? และนี่คือวิธีการประยุกต์ใช้หลักการ 90/10 นี้

"ถ้ามีใครกล่าวร้ายต่อคุณ อย่าไปสนใจมัน ให้ทำตัวเหมือนน้ำบนแผ่นแก้ว อย่าให้คำว่าร้ายต่างๆมาทำร้ายคุณได้"

การตอบสนองที่เหมาะสมจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายคุณ  การตอบสนองที่ผิดพลาด เป็นสาเหตุให้คุณเสียเพื่อน ถูกไล่ออก หรือเกิดความเครียดได้

ทั้ง 2 สถานการณ์ เริ่มต้นเหมือนกันแต่จบไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง 

เพราะอะไร?  เพราะการตอบสนองของคุณเองถึงแม้ว่าคุณควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 10% ของชีวิตคุณไม่ได้  แต่ 90 % ที่เหลือคุณควบคุมได้

คุณทำตัวยังไงเมื่อโดนรถคันอื่นปาดหน้า คุณอาจจะอารมณ์เสีย จนกระทั่งทุบพวงมาลัย (เพื่อน เคยทุบจนพวงมาลัยหลุด) คุณอาจจะอารมณ์เสียจนกระทั่งความดันขึ้น บางคนอาจจะขับรถไปจี้คันที่ทำให้คุณเกิดปัญหา จนคุณคิดไปว่า ไม่มีใครสนใจ หรอกว่า คุณจะไปสายประมาณ 10 นาที

นึกถึงหลักการ 90/10 อย่าไปสนใจรถคันนั้น คุณอาจถูกให้ออกจากงาน เหตุการณ์นี้ทำให้ต้องเครียด และคิดมาก มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น จะดีกว่าไหมถ้าเอาเวลานั้นมาคิดหางานใหม่

เครื่องบินมาช้ากว่าที่กำหนด ซึ่งส่งผลกระทบกับตารางงานของคุณทำไมคุณต้องไปหงุดหงิดกับพนักงานต้อนรับ เค้าไม่สามารถ ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ใช้เวลานี้ ทำความรู้จักกับผู้โดยสารคนอื่นแทนที่จะมัวเคร่งเครียดซึ่งมีแต่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆมันแย่ลง

ตอนนี้คุณรู้จัก หลักการ 90/10  ปรับหลักการนี้ เอาไปใช้ และคุณจะพบผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์

คุณไม่เสียหายอะไรที่จะลองมัน หลักการ 90/10 นี้ เป็นประโยชน์ น้อยคนนักที่จะรู้จักและนำเอาหลักการนี้มาใช้  ผลลัพธ์ที่ได้ คุณจะเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวคุณเอง


ผู้คนเป็นล้านคนรู้สึกเจ็บปวดจากปัญหาต่างๆ  ความทุกข์, ความเครียดรุนแรง และปัญหาต่างๆ
เพียงแค่เราเข้าใจและนำเอาหลักการ 90/10 นี้มาใช้มันสามารถเปลี่ยนวิถี ชีวิตของคุณได้แน่ !

แน่นอนว่า ทุกสิ่งที่คุณพูด,ให้,ทำ หรือแม้แต่คิด เหมือนบูมเมอแรงมันจะย้อนกลับมาหาคุณ
ถ้าคุณต้องการที่จะรับ คุณต้องเริ่มต้นด้วยการให้ บางทีเราอาจจะไม่ได้อะไรเลย แต่อย่างน้อย หัวใจเราก็เต็มไปด้วยความสุข

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาพทหารหญิงสวยสวย

วันนี้ มีอดีตเพื่อนร่วมงานได้ส่งอีเมลล์ภาพถ่ายทหารหญิงของประเทศต่างๆ มาให้   ดูแล้วก็เพลินและยังได้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องแบบของชาติต่างๆ ด้วย และบางทีหากลองดูแบบพินิจพิเคราะห์ อาจทราบได้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตของทหารหญิงของชาติเหล่านั้นด้วย  รู้สึกเสียดายหากอ่านแล้วทิ้งไปเลยเอาภาพมาลงไว้ในนี้...ไว้ดูเพลินๆ  (หลายท่านอาจสงสัยว่า ทำไม? ไม่มีทหารหญิงไทย จริงๆ แล้วในเมลล์ที่เขาส่งมา มีทหารหญิงไทยด้วย แต่ปรากฏว่าภาพทหารหญิงไทยที่ส่งมานั้นไม่สวยเลย ผมจึงไม่ได้เอาภาพมาลง)

Algeria
Australia
Austria

Bharain
Belgium
Brazil
Canada
Chile
China
Colombia
Czech Republic
Finland
France
Greece
Holland
India
Indonesia
Iran
Israel
Italy
Japan
Kenya
Serbia
Mexico
Nepal
New Zealand
Norway
Pakistan
Peru
Poland
Poland
Portugal
Romania
Russia
Serbia
South Korea
Spain
Sweden
Switzerland
Taiwan
Turkey
Ukraine
USA
Vietnam

ขอขอบคุณเจ้าของภาพถ่ายทุกคน (ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง) รวมทั้งคนที่ค้นคว้าข้อมูลด้วย
และหากใครมีภาพทหารหญิงไทยสวยสวย ส่งมาแข่งขันได้นะครับ เดี๋ยวจะนำลงบล็อกนี้ไว้ให้