วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมบัติของผู้ดี

หนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่อง "สมบัติของผู้ดี"  กระทรวงศึกษาธิการได้มอบ ม.ล. ป้อง มาลากุล จัดทำคำอธิบายเพิ่มเติมจากหนังสือสมบัติของผู้ดีของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา และมอบให้นายสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้ตรวจทาน กรมวิชาการจัดพิมพ์จำหน่ายใช้ประกอบการ เรียนการสอนตามหลักสูตรประโยคประถมศึกษา พุทธศักราช 2503 มาตั้ง แต่ปีพุทธศักราช 2504 


















หนังสือเรื่องสมบัติผู้ดีนี้ เขาบอกว่า "เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา" ผมได้คัดลอกสมบัติของผู้ดีบางภาคบางข้อ มาเขียนไว้  ตั้งใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยได้อ่าน ...แต่เธอคงไม่เข้าใจแน่ๆ เลยครับ  เพราะเธอไม่ใช่เด็กประถมศึกษา......

สมบัติของผู้ดี  ภาค 1  ผู้ดี ย่อมรักษาความเรียบร้อย
  • กายจริยา 
    • ข้อ 3 ผู้ดีย่อมไม่ล่วงเกินถูกต้องผู้อื่นซึ่งไม่ใช่หยอกกันฐานเพื่อน หมายความว่า การที่จะถูกต้องตัวผู้อื่นนั้น ต้องระมัดระวังถ้าเป็นผู้ใหญ่กว่า หรือคนที่ไม่ได้คุ้นเคยอย่างเพื่อนกัน
    • ข้อ 4 ผู้ดีย่อมไม่เสียดสีกระทบกระทั่งกายบุคคล หมายความว่า ตามปรกติร่างกายผู้อื่นนั้นไม่ควรถูกต้อง หากมีความจำเป็นจะต้องเสียดสีกระทบกระทั่ง เช่น ในยวดยานพาหนะ ต้องขอประทานโทษก่อนจึงเสียดสีไปได้เป็นต้น
  • มโนจริยา
    • ข้อ 1 ผู้ดีย่อมไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกำเริบหยิ่งโยโส หมายความว่า ต้องทำใจให้ติดอยู่ในการงานที่กำลังทำอยู่ มุ่งทำงานให้สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ทำรวนเรจับจด คิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ เห็นดีเห็นชอบเพียงชั่วขณะ หรือเมื่อได้ทำงานอะไรทำสำเร็จแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ทำหยิ่งยโสนึกว่าไม่มีใครสู้ได้ ต้องสะกดอกสะกดใจ มุ่งทำงานที่กำลังทำอยู่นั้นให้สำเร็จเป็นเรื่อง ๆ ไป
สมบัติผู้ดีภาค 4  ผู้ดีย่อมมีกริยาเป็นที่รัก
  • กายจริยา
    • ข้อ 13  ผู้ดีย่อมไม่จ้องดูบุคคลโดยเพ่งพิศเหลือเกิน หมายความว่า เมื่อพบปะบุคคลใด ๆ ก็ตาม ไม่ควรจ้องดูบุคคลนั้นจนผิดปรกติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกจ้องดูนั้นเห็นเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ได้ แม้จำเป็นต้องดู ก็เพียงเพื่อกำหนดหมายจำหน้าจำหน้าจำตากันไว้เท่านั้น
สมบัติผู้ดีภาค 10  ผู้ดีย่อมไไม้ประพฤติชั่ว
  • มโนจริยา
    • ข้อ 3 ผู้ดีย่อมมีความเหนี่ยวรั้งใจตนเอง  หมายความว่า ตามปรกตินั้นใจของคนมีกิเลส ย่อมแส่หาอารมณ์และส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ คือ ความรัก ความชัง ความหลง และสิ่งทั้งหลายอันแวดล้อมตนอยู่เล่า แต่ละอย่างล้วนยั่วยวนชวนให้เกิดอารมณ์ทั้งนั้น สิ่งที่ดีงามย่อมยั่วให้รัก สิ่งที่ไม่ดีงามย่อมยั่วให้ชัง สิ่งอันมีอย่างนั้นย่อมยั่วให้หลง เมื่อประสบอย่างนั้นย่อมเหนี่ยวรั้งใจไว้ไม่ให้ส่ายไปตามอารมณ์เหล่านั้น รักษาใจให้เป็นปรกติไว้อย่างนี้จึงชอบจึงควร













ขอแถมเรื่องนี้อีกเรื่องครับ คือ การโปรยเสน่ห์ 8 วิธี ให้เพศตรงข้ามแบบไม่ทิ้งความเป็นคุณ เผอิญผมไปค้นพบในเว็บไซต์ อิงดาว พราวฟ้า ลองอ่านดูนะครับ ว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใช้วิธีไหนบ้าง

  1. พัฒนาลักษณะท่าทางของคุณ (การเดิน การนั่ง อิริยาบถต่างๆ)
  2. ทำหน้าตาให้รีแลกซ์
  3. ใช้สายตาเป็นการเชื่อมต่อ
  4. จำชื่อของคนอื่นให้ได้
  5. คุยกันเรื่องงานอดิเรก
  6. ชมบุคคลที่สาม แทนการซุบซิบนินทา
  7. ปรับระดับน้ำเสียง (ให้ดีขึ้นได้)
  8. ยิ้มให้เห็นฟันขาว
ผมไม่ทราบว่าสมบัติของผู้ดี และวิธีโปรยเสน่ห์ ที่เขียนมานี้ ท่านนายกฯ หญิงของไทย ท่านชอบอ่านอะไรมากกว่ากัน ...แต่จะอ่านอะไรก็ตาม ท่านพึงตระหนักเอาไว้ว่า

"หญิงไทย ควรรักนวลสงวนตัว"

ดูนายกหญิงชาติอื่นๆ เขาสิ...เธอแลดูสง่างาม น่าเกรงขาม
...แต่หันมาดูนายกหญิงของไทย เหมือนกับ......?????????




































**************************************
ที่มา : 
สมบัติของผู้ดี  : http://olddreamz.com/bookshelf/properties/properties.html

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท  ปีที่ 23 ฉบับที่ 403 ประจำเดือน ธันวาคม 2555 หน้า 3


วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทุ่นระเบิดต้องหมดจากประเทศไทยภายในปี 2561

วันนี้ ผมขออนุญาตเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการกวาดล้างทุ่นระเบิดในประเทศไทย ซึ่งมีคณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบ มีนายกรัฐมนตรี(โดยตำแหน่ง) เป็นประธาน และหัวหน้าส่วนราชการ, หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับสูงร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย หน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติงานทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดเพื่อมนุษย์ธรรม คือศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (Thailand Mine Action Center : TMAC) ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งหลายคนอาจยังไม่เคยได้ทราบหรือได้ยินชื่อหน่วยงานนี้ด้วยซ้ำไป 

เล่าความเป็นมาให้ฟังอย่างสั้นๆได้ว่า ประเทศไทยของเรานั้นได้ลงนามในอนุสัญญาฯ ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา ตั้งแต่ พ.ศ.2542 เป็นต้นมา สาระของอนุสัญญาฯ ก็คือ ประเทศไทยต้องห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และต้องทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้หมดไปจากประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยก็ยังทำไม่สำเร็จ ต้องบากหน้าขอต่ออนุสัญญาฯ ใหม่เป็นครั้งที่ 2 และอนุสัญญาฯครั้งที่ 2 นี้ จะหมดสัญญาใน พ.ย.2561 ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกเพียง 6 ปี 

เมื่อการสำรวจครั้งแรก พบว่ามีทุ่นระเบิดที่ถูกฝังอยู่ในพื้นที่ที่เคยมีการสู้รบตามแนวชายแดนต่างๆ ของประเทศไทย จำนวน 2,557 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 27 จังหวัด หน่วยงานต่างๆ ทั้งของกองทัพบก กองทัพเรือ และองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร (มีทั้งไทยและต่างประเทศ) ได้ช่วยกันทำหน้าที่กวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ท่ามการความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินมาโดยตลอด จนกระทั่ง ณ วันที่ 31 ส.ค.2555 ยังคงเหลือพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดฝังหรือตกค้างอยู่อีกจำนวน 530.8 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 18 จังหวัด 




หากเป็นเช่นนี้ .. ไม่มีทางที่จะเสร็จสิ้นตามคำสัญญาครั้งที่ 2 
หากจะต้องกวาดล้างทุ่นระเบิดให้หมดไปจากแผ่นดินไทยตามที่ขอต่ออนุสัญญาฯ ไว้ในครั้งที่ 2 หน่วยงานด้านทุ่นระเบิดที่ทำงานอยู่ในขณะนี้ จะต้องกวาดล้างพื้นที่ให้ได้อย่างน้อย 88.5 ตร.กม.ต่อปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปีหนึ่งๆ พวกเขาทำงานเหน็ดเหนื่อยกันเต็มที่แล้ว ก็ทำได้ไม่ถึง 30 ตร.กม.ต่อปี 

ทำอย่างไรจะให้เสร็จตามคำสัญญา 
หากดูจากตัวเลขแล้ว หากจะให้เสร็จตามพันธะสัญญาที่ประเทศไทยให้สัตยาบรรณไว้แก่ประชาคมโลก คงต้องเพิ่มคน เครื่องมือ เครื่องจักร สุนัข อย่างน้อยก็อีก 3 เท่าจากปัจจุบัน นั่นคือ รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณในการปฏิบัติภารกิจกวาดล้างให้เสร็จสิ้นตามอนุสัญญาฯ ที่ขอต่อเป็นครั้งที่ 2 นี้ อย่างน้อยก็อีก 3 เท่า จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นเงินประมาณปีละ 400 ล้านบาทต่อปี รวม 6 ปีจะใช้เงินประมาณ 2,400 ล้านบาท 



จริงๆ แล้วก็เป็นงบประมาณที่ไม่มากนัก หากเทียบกับงบประมาณที่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไร้สาระไปกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ทำอยู่ในขณะนี้ รวมถึงงบประมาณที่ต้องสูญเสียไปกับการโกงกินคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร เป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งอาจมีสูงถึง 100,000 ล้านต่อปี 

บากหน้าต่ออนุสัญญาฯ ครั้งที่ 3 
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประเทศไทยคงต้องบากหน้าต่ออนุสัญญาฯ ต่อหน้าประชามคมโลกเป็นครั้งที่ 3 อย่างแน่นอน แล้วจะอ้างกับประชาคมโลกว่าอย่างไร “สาเหตุใด ประเทศไทยจึงต้องขอต่ออนุสัญญาฯ ” และหากประชาคมโลกเขาให้ต่ออนุสัญญาฯ ครั้งที่ 3 ได้จริงๆ แล้ว ใครจะเป็นผู้ตอบคำถามได้ว่า “แล้วเมื่อใด ทุ่นระเบิดจึงจะหมดไปจากประเทศไทยเสียที” 

สงสารแต่ชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง ที่อยู่อาศัยทำมาหากินอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน ใน 18 จังหวัด ซึ่งอาจจะมีจำนวนไม่มากนัก...เสียงจึงดังไม่พอที่จะทำให้รัฐบาลหรือนักการเมืองหันมาสนใจ เขาเหล่านั้นก็ยังคงต้องก้มหน้าก้มตาเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตหรือความพิกลพิการ ที่อาจเกิดขึ้นจากภัยร้ายของทุ่นระเบิดที่ยังคงฝังอยู่ในพื้นที่ได้ทุกเวลา 

เรื่องนี้ หากมีใครเล่าให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมแห่งชาติ ฟังบ้าง เรื่องราวต่างๆ ก็น่าจะดีขึ้น..... 

ที่มาของภาพ :
 http://mre-tmac.blogspot.com
/2012/11/blog-post_1.html


















********************************
จุฑาคเชน : 8 พ.ย.2555