แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ครู แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ครู แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561

อย่ารักเด็กแค่วันเดียวต่อปี หากรักเด็กจริงต้องสร้างครู

รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี
เป็นคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ  ประจำปี 2561 ของ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 ซึ่งมอบให้เด็กๆ สมัยปัจจุบัน นำไปใช้เป็นแนวทางในการประพฤติและปฏิบัติตัว 




งานวันเด็กแห่งชาติ เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2498 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยข้อเสนอของ นาย วี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ในขณะนั้น (อ่านรายละเอียด ซึ่งพอที่จะสรุปวัตถุประสงค์สำคัญได้ 2 ประการ คือ
  1. สำหรับผู้ใหญ่ : ให้ตะหนักถึงความสำคัญของเด็ก ที่จะต้องช่วยกันสร้างให้เขาเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี เพื่อพัฒนาบ้านเมืองแทนตนเองต่อไป 
  2. สำหรับเด็ก : ให้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่จะต้องเป็นคนดีของสังคม  เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมา จะต้องทำหน้าที่พัฒนาบ้านเมืองแทนผู้ใหญ่ต่อไป      
หากลองนำคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ.2499 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 19 นายกรัฐมนตรี จำนวน 54 คำขวัญ มาเรียบเรียงเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีแต่ละท่าน แต่ละยุคสมัย จะสามารถจัดกลุ่มของคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีไทย ที่อยากจะให้เด็กไทยเป็น โดยเรียงตามลำดับความถี่ ได้ดังนี้
  1. มีความรักเรียน ขยันเรียน ใฝ่หาความรู้ (31 ครั้ง)
  2. เป็นเด็กดี ใฝ่ดี มีความประพฤติเรียบร้อย  (14  ครั้ง)
  3. เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย (14 ครั้ง)
  4. กล้าคิด กล้าพูด อย่างสร้างสรรค์ (14 ครั้ง)
  5. เป็นเด็กที่มีคุณธรรม (11 ครั้ง)
  6. เป็นความหวังในการพัฒนาชาติต่อไป  (9 ครั้ง)
  7. มีความรัก สามัคคี (9 ครั้ง)
  8. มีความซื่อสัตย์ สุจริต (7 ครั้ง)
  9. รู้จักการประหยัด (6 ครั้ง)
  10. มีความรักชาติ (5 ครั้ง)
  11. มีความนิยมไทย รักษาความเป็นไทย (4 ครั้ง)
  12. เป็นเด็กฉลาด (4 ครั้ง)
  13. เป็นเด็กที่มีความมานะ อดทน (3 ครั้ง)
  14. มีความรักในศาสนา (3 ครั้ง)
  15. มีความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ (3 ครั้ง)
  16. รู้จักหน้าที่ของตนเอง (3 ครั้ง)
  17. รักษ์และสืบสานวัฒนธรรมไทย (3 ครั้ง)
  18. หลีกเหลี่ยงอบายมุขและยาเสพติด (3 ครั้ง)
  19. บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์  มีจิตสาธารณะ  (2 ครั้ง)
  20. ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย (2 ครั้ง)
  21. รักษาสิ่งแวดล้อม (2 ครั้ง)
  22. อื่นๆ เช่น รักความสะอาด มีสัมมาคารวะ แข็งแรง รักพ่อแม่ ใช้ชีวิตพอเพียง รอบคอบ กตัญญู (อย่างละ 1 ครั้ง)
จะเห็นได้ว่า ความอยากที่จะเด็กไทยรักเรียน ขยันเรียน หมั่นใฝ่หาความรู้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นายกรัฐมนตรีเกือบทุกยุค ทุกสมัย คาดหวัง  รองลงมาคือ การเป็นคนดี การเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย การเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าพูด  ตามลำดับ




การให้ศึกษา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเด็ก
จากผลสรุปคำขวัญคำเด็กของนายกรัฐมนตรีฯ  ที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การให้ศึกษาแก่เด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่รัฐจะต้องจัดให้แก่เด็กอย่างมีประสิทธิภาพ  แต่ ทำไม? จนถึงวันนี้ การศึกษาไทยก็ยังมีปัญหาอยู่ดี การปฏิรูปการศึกษา ผ่านมากี่ยุค กี่สมัย กี่รัฐบาล ยังไม่สำเร็จเสียที  สังเกตุได้ว่า ไม่เคยมีประเทศไหนเอาตัวอย่างระบบการจัดการศึกษาของไทยไปใช้เป็นตัวอย่างเลย  มีแต่เราพยายามจะไปลอกเลียนแบบเขามา แต่ก็ไม่เห็นสำเร็จสักที ก็เป็นที่น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ผู้บริหารบ้านเมืองของเรา กำลังสาละวนทำเรื่องอะไรกันอยู่... 

ปัจจุบัน การให้การศึกษาแก่ "เด็กไทย"  ส่วนใหญ่อยู่ในมือของ "ครู"  
ดังนั้น หากรักเด็กจริง เราจึงจำเป็นต้องช่วยกันสร้าง "ครูที่ดี" ให้แก่เด็กของเรานั่นเอง          

                
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
คำขวัญวันเด็กที่ผมจำได้แม่นกว่าคำขวัญอื่นๆ คือ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ เป็นคำขวัญของ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนั้น ผมอายุเพียง 12 ปี กิจกรรมในงานวันเด็กสมัยนั้นก็ไม่แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก  เช่น การจับสลากของขวัญ มีเกมให้เล่นล่ารางวัล มีการแสดงบนเวทีให้ดู มีอาวุธยุทโธปกรณ์แปลกๆ มาแสดงให้ดูให้สัมผัส  มีอาหาร ขนม ไอติม แจกให้รับประทานฟรี ฯลฯ  

งานวันเด็กแห่งชาติ จัดมา 63 ปี แล้ว ไม่รู้สร้างสำนึกให้เด็กในแต่ละสมัยได้จริงหรือปล่าว  ผู้ใหญ่ที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ในวันนี้ ส่วนใหญ่ก็เคยผ่านงานวันเด็กในสมัยที่ท่านเป็นเด็กมาแล้วเกือบทั้งสิ้น แต่ประเทศไทยเรา ก็ยังไม่ก้าวเดินเป็นประเทศพัฒนาเสียที แสดงว่า การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความตระหนักให้แก่เด็กไทยได้เลย

อย่ารักเด็กแค่วันเดียวต่อปี

***************************
ชาติชาย ศึกษิต : 11 ม.ค.2561     

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

จ่ายค่าตอบแทนผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพครูทั่วทั้งประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะครูที่เป็นข้าราชการ

ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นใบอนุญาตให้สามารถประกอบวิชาชีพนั้น ๆ ตามสาขาที่เรียนมา โดยผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะต้องมีคุณสมบัติตามที่องค์กรออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำหนดไว้ ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะไม่สามารถประกอบวิชาชีพนั้น ๆ ได้ ถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษตามที่องค์กรวิชาชีพแต่ล่ะองค์กรกำหนดไว้

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีวิชาชีพที่ต้องมีใบอนุญาตเพื่อประกอบวิชาชีพ ได้แก่
  • ใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ออกโดย แพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ออกโดย แพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรม ออกโดย ทันตแพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ออกโดย สัตวแพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ออกโดย สภาเภสัชกรรม
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ออกโดย สภาการพยาบาล
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ ออกโดย สภาเทคนิคการแพทย์
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด ออกโดย สภากายภาพบำบัด
  • ใบอนุญาตให้เป็นทนายความ ออกโดย สภาทนายความ 
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ออกโดย สภาวิศวกร
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม ออกโดย สภาสถาปนิก
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ออกโดย คุรุสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม ออกโดย สภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพ
ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพแต่ละสาขา มีอัตราที่แตกต่างกัน และในแต่ละสาขายังแบ่งค่าตอบแทนอีกเป็นหลายระดับ เช่น  ในทางราชการ กำหนดให้ แพทย์ ได้รับตั้งแต่ 5,000 ไปจนถึง 15,000 บาทต่อเดือน เภสัชกร ตั้งแต่ 1,500 ไปจนถึง 3,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น  สำหรับภาคเอกชนบางแห่ง  อาจจ่ายค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพแต่ละสาขาสูงกว่าทางราชการหลายเท่านัก เช่น อาชีพวิศวกร เป็นต้น 

การต่ออายุใบประกอบวิชาชีพของแต่ละสาขาอาชีพ จะมีระยะเวลาที่กำหนดไม่เท่ากัน รวมถึงวิธีการวัด ประเมินผล และกระบวนการที่แตกต่างกันไป เพื่อที่จะใช้วัดความสามารถของผู้ที่จะขอต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพนั้นๆ ตามเทคนิคของตนเอง  


ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครู
ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครู ไม่มีกฏหมายใดๆ รองรับว่าจะได้เท่าไหร่ต่อเดือน แต่ที่พอมองเห็นอยู่ในปัจจุบัน ในทางราชการเขาใช้คำว่า "ค่าวิทยฐานะ"  ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พศ.2547  ซึ่งระบุตอนหนึ่งไว้ว่า 

วิทยฐานะข้าราชการครูที่มีใบประกอบวิชาชีพครู
  • ครูเชี่ยวชาญพิเศษ   คศ.5  เงินวิทยฐานะ   15,600 บาท/เดือน
  • ครูเชียวชาญ           คศ.4  เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • ครูชำนาญการพิเศษ  คศ.3  เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • ครูเชียวชาญพิเศษ    คศ.2  เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน
วิทยฐานะศึกษานิเทศน์มีใบประกอบวิชาชีพ 
  • ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญพิเศษ     เงินวิทยฐานะ   15,600 บาท/เดือน
  • ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ             เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ   เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ           เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน 
วิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษามีใบประกอบวิชาชีพ
  • ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญพิเศษ       เงินวิทยฐานะ   15,600 บาท/เดือน
  • ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ                เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ     เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • ผู้อำนวยการชำนาญการ               เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน
  • รองผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ            เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • รองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ  เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • รองผู้อำนวยการชำนาญการ          เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน
ค่าวิทยฐานะนี้ไม่เกี่ยวกับเงินเดือนของครูแยกออกจากกัน ซึ่งก็เปรียบเสมือนค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครูนั้นเอง  แต่รัฐจำกัดให้เฉพาะ "ผู้ที่เป็นข้าราชการครูหรือผู้ที่เป็นบุคลากรทางการศึกษาของรัฐ" เท่านั้น 

ด้วยเงินค่าวิทยะฐานะต่อเดือนจำนวนมากนี้เอง ปัจจุบันจึงทำให้ครูของรัฐต้องวุ่นวายอยู่กับการเลื่อนวิทยฐานะมากกว่าการสอนเด็ก รัฐต้องนั่งคิดหาหลักเกณฑ์ต่างๆ กันใหม่อยู่เรื่อยจนครูรัฐบาลสับสนไปหมด    

ทำไม? ครูคนอื่นจึงไม่มีค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพ
เงินภาษีทั้งหลายที่รัฐเก็บได้ จัดสรรส่วนหนึ่งนำไปจ่ายค่าวิทยฐานะให้ครูและบุลคลากรทางการศึกษาเฉพาะที่เป็นข้าราชการของรัฐจำนวนมาก โดยไม่ได้คำนึงถึงครูเอกชนหรือครูประเภทอื่นๆ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่และมีใบประกอบวิชาชีพครูเหมือนกัน อีกทั้งงบประมาณสำหรับการอบรมและพัฒนาครู ก็จำกัดเฉพาะครูของรัฐอีกต่างหาก ใช้เงินงบประมาณมากมายขนาดนี้แล้ว ครูของรัฐยังถูกกล่าวหาว่า "ไม่มีคุณภาพเสียอีก"  จึงมีคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น?   

ผมไม่ได้หมายความว่า รัฐจะต้องรับภาระมาจ่ายค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพให้กับครูเอกชน หรือครูสังกัดอื่นๆ เพราะมันอาจเป็นภาระมากเกินไป แต่รัฐก็ควรหามาตรการหรือแนวทางการส่งเสริม  

ทำอย่างไร? ผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพครูทั่วทั้งประเทศ ควรที่จะได้รับค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพเหมือนกับสาขาวิชาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูของรัฐ ครูเอกชน หรือครูที่อยู่ในสังกัดอื่นใดก็ตาม อย่างเช่น
  • ออกกฏหมายหรือระเบียบว่าด้วย "การกำหนดอัตราการจ่ายค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครูในประเทศไทย"  ไม่ว่าจะเป็นครูของรัฐ ครูเอกชน หรือครูในสังกัดอื่นๆ
  • เปลี่ยน ค่าวิทยฐานะเดิมของข้าราชการครู ให้เป็น ค่าตอบแทน 
  • เพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณของรัฐมากเกินไป รูัฐอาจกำหนดให้เงินอุดหนุนเป็นค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพแก่ครูในโรงเรียนเอกชนหรือในสังกัดอื่นๆ  ในสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่ง เช่น รัฐ ร้อยละ 50 และโรงเรียนเอกชนออกเองร้อยละ 50 เป็นต้น ส่วนค่าตอบแทนครูที่เป็นข้าราชการ รัฐคงต้องจ่ายเอง 
ได้ครูที่มีคุณภาพทั่วทั้งประเทศ
  • หากทำเช่นนี้ได้ ผมว่าจะมีเด็กเก่งๆ หันมาเรียนเพื่อเป็นครูกันมากขึ้น เพราะหลังจากจบมีใบประกอบวิชาชีพครูแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการครูของรัฐก็ได้  สามารถไปสอนอยู่ในโรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนในสังกัดอื่นใดก็ได้ ดังเช่น อาชีพแพทย์ เภสัช วิศวกร เป็นต้น 
  • ใบประกอบวิชาชีพครูจะมีคุณค่าสำหรับครูทุกคน และครูเหล่านั้นจะต้องพึงรักษาความเป็นมืออาชีพอยู่เสมอด้วยเกณฑ์การวัดและประเมินผลอย่างเข้มข้นในกระบวนการขอต่อใบอนุญาตของคุรุสภา (เหมือนกับองค์กรวิชาชีพอื่นๆ ที่เขาทำ)
  • ที่สำคัญที่สุด เราจะได้ครูที่มีคุณภาพทั่วทั้งประเทศ เพราะเขาต้องพัฒนาความเป็นมืออาชีพของเขาอยู่เสมอเพื่อแลกกับค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพที่ได้รับ 
ที่นำเสนอมานี้ เป็นเพียงแค่แนวคิดเบื้องต้น ถ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ คงต้องมีการศึกษากันอย่างละเอียด จากเจ้าของกระทรวง ทบวงกรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ  เพื่อให้มีความรอบคอบ มีการจัดวางกฏเกณฑ์อีกหลายขั้นตอน   แต่ก็ดีกว่าไม่คิดอะไรเลย...

หากเราคิดเหมือนเดิมๆ แล้วอยากจะได้สิ่งใหม่ 
ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ 

******************************* 
ชาตชยา ศึกษิต : 22 ก.ค.2560 

ที่มาข้อมูล
  • วิกีพีเดีย. ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ. (https://th.wikipedia.org/wiki/ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ) สืบค้นเมื่อ 22 ก.ค.2560
  • พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พศ.2547