แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภูมิปัญญา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ภูมิปัญญา แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มาเริ่มต้นเป็นนักเขียนกันเถอะ (ตอนที่ 2 ลงมือเขียน)

ต่อจาก มาเริ่มต้นเป็นนักเขียนกันเถอะ (ตอนที่ 1 เริ่มฝึกหัด) 


หลังจากตอนที่ 1 ได้รับทราบถึงคุณลักษณะของนักประพันธ์ และลองเริ่มฝึกหัดเพื่อเป็นนักเขียนเบื้องต้นตามขั้นตอนของหลวงวิจิตวาทการกันไปบ้างแล้ว ตอนนี้จึงอยากเชิญชวนให้ลองเขียนดูจริงๆ ในการฝึกเขียนครั้งแรก แนะนำให้ลองเขียนบทความดูก่อน       

บทความไม่ใช่เรียงความธรรมดาและไม่ใช่ข่าว หากเป็นความเรียงที่มีเรื่องราวอันเป็นมูลฐานมาจากข้อเท็จจริง ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน หรือเรื่องที่แต่งตามจินตนาการของผู้เขียน ลักษณะเฉพาะของบทความมีดังนี้
  1. เป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากสนใจอยู่ในขณะนั้น
  2. มีสาระ แก่นสาร ให้ความรู้ มิใช่เรื่องเลื่อนลอยเหลวไหล
  3. มีทัศนะข้อคิดเห็น ข้อวินิจฉัยของผู้เขียนแทรกอยู่ด้วย
  4. เนื้อหาสาระเหมาะกับผู้อ่านระดับมีการศึกษา
  5. มีวิธีเขียนชวนอ่าน ชวนให้คิด ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน
หลักการเขียนบทความ
การเขียนบทความมีหลักเช่นเดียวกับการเขียนเรียงความ แบ่งโครงเรื่องออกเป็น 3 ตอน คือ นำเรื่อง (ความนำ) เนื้อเรื่อง (ดำเนินเรื่อง) และจบเรื่อง (ลงท้าย สรุปความ) โดยการเขียนบทความควรคำนึงถึงหลักต่างๆ ดังนี้
  1. การเลือกเรื่อง ควรเป็นเรื่องที่คนกำลังสนใจ หรือกำลังเป็นกระแสนิยม 
  2. การรวบรวมเนื้อหา ผู้เขียนควรสืบหาข้อมูลให้ชัดเจน  อาจสืบค้นไปถึงแหล่งต้นกำเนิด การสัมภาษณ์ การอ่านเอกสาร ทดลอง ปฏิบัติ จนคิดว่าเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ ควรระบุที่มาข้อมูลหรือเอกสารอ้างอิงเอาไว้ด้วย
  3. การกำหนดจุดมุ่งหมายเฉพาะการเขียน เลือกสำนวนการเขียนให้ตรงกับเรื่องว่า ต้องการให้ผู้อ่านได้รับอะไร ทำอะไร คิดอย่างไร เป็นต้น
  4. การวางโครงเรื่อง ควรวางโครงเรื่องให้ตรงจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ กำหนดวิธีการเขียนและการดำเนินเรื่องให้สอดคล้องต้องกัน 
  5. การตั้งใจเขียนให้ได้เนื้อหาสาระ อ่านเพลิน ใช้ภาษาแจ่มแจ้ง เร้าใจ ชวนให้ติดตาม ใช้เหตุผลที่น่าเชื่อถือเสนอทัศนะ
  6. ทบทวนดูสาระของเรื่องว่าตรงกับชื่อเรื่องที่ตั้งไว้หรือไม่ ครอบคลุมหมดหรือยัง ถ้าไม่ตรงไม่ครอบคลุมก็ควรแก้ไข 
  7. เมื่อเขียนเสร็จแล้วควรเก็บไว้สักสองสามวัน แล้วนำมาอ่านตรวจทานอีกครั้งเพื่อหาทางปรับปรุงให้ดีขึ้น หรืออาจให้ผู้รู้อ่านบทความของเราแล้ววิจารณ์ก็ยิ่งดี 
ที่มาของภาพ http://news-internetit.blogspot.com/2014/11/blog-post_11.html

ลงมือเขียน Just Do it
ถึงตอนนี้แล้ว ลองเริ่มลงมือเขียนเลยครับ เริ่มต้นจากการเขียนบทความสั้นๆ ในโซเชียลมีเดียที่ตัวเองใช้อยู่ก่อนก็ได้ เช่น ในเฟสบุ๊ค ในไลน์ ฝึกเขียนเรื่องราวที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ร้านอาหารที่เราไปกิน สถานที่ที่เราไปเที่ยว ทัศนะส่วนตัวในเรื่องที่เราสนใจ เป็นต้น อย่ากลัวว่าจะไม่มีคนอ่านให้คำนึงว่า  "นี่คือการฝึก" การหมั่นเขียนบทความเรื่อยๆ บ่อยๆ ผมเชื่อว่าวิธีเขียนของแต่ละคนก็จะพัฒนาขึ้นไปเอง ทั้งสำนวน โวหาร และแง่คิดต่างๆ 

นอกจากเขียนในโซเชียลมีเดียแล้ว หากผู้เขียนต้องการรวบรวมบทความให้เป็นเรื่องเป็นราว  แนะนำให้ลองใช้บริการ "เว็บบล็อก" ดู เว็บบล็อกเขียนบันทึกได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องมีความรู้ทางคอมพิวเตอร์อะไรมากมายนัก  สามารถเขียนบันทึกได้ไม่จำกัดเรื่อง  มีทั้งบริการฟรี และเสียเงิน เว็บบล็อกที่ผมใช้เขียนอยู่นี้ คือ Blogger ของ Google  ไม่เสียค่าใช้จ่าย  ลองสมัครใช้ได้ที่ www.blogger.com      

ที่เชิญชวนให้ทุกคนมาเป็นนักเขียนนั้น ใช่ว่าผมจะเป็นนักเขียนชื่อดังอะไร ตอนนี้ก็ยังอยู่ในขั้นฝึกหัดอยู่ แต่หากทุกคนได้ลองเขียนแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองมีสาระและคุณค่ามากขึ้น เรื่องราวหลากหลายที่แต่ละคนได้พบประสบในทุกวัน หากมีการเขียนหรือการบันทึกไว้ ทุกเรื่องล้วนมีประโยชน์ในตัวของมันเอง อย่างน้อยก็ตัวผู้เขียนเอง ต่อมาก็อาจเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด หรือผู้ที่สนใจในเรื่องที่เราบันทึกนั้นๆ 

ลองดูครับ  เริ่มเลย  

อ่านต่อ มาเริ่มต้นเป็นนักเขียนกันเถอะ (ตอนที่ 3 แรงบันดาลใจ)            

*******************************
จุฑาคเชน : 1 ส.ค.2559

ที่มาข้อมูล
สมบัติ จำปาเงิน และสำเนียง มณีกาญจน์. (2539). หลักนักเขียน. กรุงเทพฯ  : ต้นอ้อ แกรมมี่ 


วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มาเริ่มต้นเป็นนักเขียนกันเถอะ (ตอนที่ 1 เริ่มฝึกหัด)

สมัยเด็กๆ ตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ผมรู้สึกขอบคุณและชื่นชมผู้ที่ได้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ให้พวกเราได้เรียนกัน  ตำราที่เรียนส่วนใหญ่มักจะเป็นบันทึกของชาวต่างชาติ  ไม่เว้นแม้แต่ประวัติศาสตร์ของชาติไทยเราเองก็ตาม 

หนังสือบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ของประเทศไทยที่มีให้อ่าน ส่วนใหญ่เป็นภาพกว้างๆ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยที่เกิดขึ้นในแต่ละซอก แต่ละมุม มักไม่ค่อยมีการบันทึก หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญมักเก็บไว้ในความทรงจำ อย่างดีก็แค่เล่าให้ลูกหลานฟังต่อๆ กันมา พอตนเองเสียชีวิตไป ความจริงเรื่องนั้นก็ตายตามไปด้วย  แต่หากคนผู้นั้นฝึกหัดเป็นนักเขียน นักบันทึก ความจริงเรื่องนั้นก็ยังคงอยู่ตลอดไป

หนังสือเรื่อง "หลักนักเขียน" ทำให้ผมรู้สึกอยากเป็นนักเขียนขึ้นมาทันที เรียบเรียงโดย สมบัติ จำปาเงิน และสำเนียง มณีกาญจน์ จัดพิมพ์ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2539 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดย บจก.ต้นอ้อ แกรมมี่  ผมขอนำบางส่วน บางตอนมาสรุปให้ฟัง เผื่อว่าหลายท่านที่กำลังอยากจะเป็นนักเขียน จะได้ใช้ลับสติปัญญาให้เฉียบคมมากขึ้น

โรงเรียนการประพันธ์
เมื่อ ปี พ.ศ.2490 อาจารย์เปลื้อง ณ นคร เจ้าของนามปากกา นายตำรา ณ เมืองใต้ ได้จัดตั้ง "โรงเรียนการประพันธ์ทางไปรษณีย์" ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีสำนักงานอยู่ที่ รร.บัณฑิตวิทยาลัย ถ.ศิริอำมาตย์ หรือที่ สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช ใกล้หัวลำโพง พระนคร โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ช่วยผู้ที่สนใจในการประพันธ์ เสริมระดับการประพันธ์ให้สูงขึ้น ให้วิชาอันเป็นรายได้พิเศษ และส่งเสริมการประพันธ์ในเมืองไทย ใช้เวลาเรียนตามหลักสูตร 10 เดือน ค่าสมัครรวมค่าเรียนเดือนแรก 30 บาท ค่าตำรา 32 บาท ค่าเรียนเดือนต่อๆ ไปเดือนละ 10 บาทอีก 9 เดือน  

โรงเรียนการประพันธ์ มีผู้สนใจเรียนจำนวนมาก ทั้งทหาร นักกฏหมาย ตำรวจ นักปกครอง และจากผู้ที่ต้องการเป็นนักประพันธ์โดยตรง โรงเรียนดำเนินการอยู่ได้ 3 ปี ต้องปิดตัวลง 

"....โรงเรียนตั้งขึ้นได้สามปี ก็จำต้องหยุดกิจการ ไม่ใช่เพราะไม่มีผู้เรียน แต่เพราะผู้เรียนมากเกินความคาดหมาย ประกอบกับระยะนั้นข้าพเจ้ามีงานจำเป็นอื่นๆ หลายอย่างจะตรวจแก้ แนะนำให้แก่ผู้ศึกษาไม่ได้ละเอียดลออเหมือนก่อน จะให้คนอื่นช่วยก็ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องหยุดกิจการ..."

โรงเรียนการประพันธ์นี้  ถือเป็นแนวคิดที่พยายามเชิญชวนให้คนไทยทั่วไปได้ฝึกหัดเป็น นักเขียน นักประพันธ์ และกวี  อาจคล้ายคลึงหรือเทียบเคียงได้กับคณะเรียนต่างๆ ในมหาวิทยาลัยปัจจุบัน คือ คณะอักษรศาสตร์ และคณะวารสารศาสตร์ เป็นต้น

นักเขียน, นักประพันธ์ และกวี
นักเขียน คือ ผู้ที่แสดงความคิดออกมาด้วยการเขียนเป็นหนังสือหรือลายลักษณ์อักษร
นักประพันธ์ คือ นักเขียนที่มีผลงานมากและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของมหาชน
กวี คือ ผู้เชี่ยวชาญในศิลปะการประพันธ์บทกลอน อาจจำแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ
  1. จินตกวี (แต่งโดยความคิด)
  2. สุตกวี (แต่งโดยได้ฟังมา)
  3. อรรถกวี (แต่งตามความจริง)
  4. ปฏิภาณกวี (แต่งกลอนสด) 

คุณลักษณะของนักเขียน นักประพันธ์
คุณลักษณะของนักเขียน นักประพันธ์ที่กล่าวไว้ในหนังสือฯ พอสรุปได้ดังนี้
  1. นักประพันธ์ต้องเป็นคนช่างฝัน หากผู้ใดไม่มีนิสัยช่างฝันแล้ว มีวิธีที่จะปลูกนิสัยช่างฝันได้ดังนี้
    1. สนใจเรื่องของคนอื่นให้มาก
    2. อ่านหนังสือให้มาก
    3. มองให้เห็นความงามของธรรมชาติและชีวิต
    4. หัดเขียนจดหมายยาวๆ ยิ่งเป็นจดหมายรักยิ่งดี
    5. หัดเขียนบันทึกประจำวัน
  2. มีพรสวรรค์และการเรียนรู้ หากผู้ใดคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ จงเปลี่ยนความคิดใหม่ ขอให้เชื่อว่า "พรสวรรค์สามารถสร้างได้" ด้วยการฝึกฝนอยู่เป็นประจำ นอกจากนั้นนักเขียนจะต้องขวนขวายหาความรู้อันจำเป็นที่จะนำมาเขียนเรื่องราวของตนเองตลอดเวลา ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อความถูกต้อง หรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
  3. พยายามเขียนตามที่ตนถนัด ผู้เขียนลองสำรวจตัวเองว่าถนัดในแนวไหน เช่น สารคดี บทความ เรื่องสั้น นวนิยาย ละคร ฯลฯ หลังจากจับทางได้แล้วให้พยายามศึกษาหาความรู้ด้านนั้นๆ ให้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น
  4. รู้จักอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ หากเขียนแล้วมีคนอ่านก็ดัง หากเขียนแล้วไม่มีคนอ่านก็ดับ อย่างไรก็ดี นักเขียนหน้าใหม่ก็ไม่ควรท้อใจง่ายๆ นักประพันธ์ชื่อดังหลายคนก็เคยผ่านจุดดับมาแล้ว แต่เขาอาศัยความมานะพยายาม ไม่ท้อถอย จึงผ่านจุดนั้นมาได้
  5. เขียนให้ผู้อ่านร้องไห้ หัวเราะ และรอคอย การเขียนให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมถือว่าประสบความสำเร็จ ยิ่งผู้อ่านกระหายที่อยากจะรู้เรื่องต่อๆ ไป นั้นยิ่งเป็นความสำเร็จที่แท้จริง

เริ่มฝึกหัดเป็นนักเขียน
หลวงวิจิตรวาทการ กล่าวว่า ขั้นต้นของผู้ที่หัดเป็นนักประพันธ์ ก็คือ หัดเขียนพรรณาเสียก่อน โดยมีวิธีการอยู่ ดังนี้
  1. ฝึกเขียนพรรณาภูมิประเทศจากรูปภาพสู่ภูมิประเทศจริง   นำภาพภูมิประเทศมา 1 ภาพ ลองดูภาพ แล้วเขียนพรรณาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในภาพอย่างละเอียด หลังจากนั้นปิดรูปภาพลง แล้วเอาข้อความที่เราเขียนนั้นมาลองวัดความรู้สึกดูว่า ในเวลาที่เราอ่านข้อความที่เราเขียนนั้น เรามีความรู้สึกเหมือนกันกับเวลาดูภาพนั้นหรือไม่  ถ้ายังไม่เหมือนก็แสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ต้องเขียนใหม่จนกระทั่งแน่ใจว่า หากคนอื่นมาอ่านข้อความที่เราเขียน จะต้องมีความรู้สึกว่าได้เห็นภาพนั้นจริงๆ  เมื่อฝึกหัดจากรูปภาพดีแล้ว ก็ลองฝึกหัดจากภูมิประเทศจริงดู 
  2. ฝึกเขียนพรรณาในเรื่องคนจากภาพถ่ายสู่คนจริง เรื่องคนนับว่ายากกว่าภูมิประเทศ โดยขั้นแรกควรใช้ภาพคนก่อน ต่อไปจึงค่อยลองเขียนจากตัวคนจริงๆ ในขั้นแรกหัดพรรณาแต่รูปร่างหน้าตา ต่อมาภายหลังจึงค่อยพรรณาถึงกิริยาท่าทางถ้อยคำ และการพูดของคนนั้นๆ 
  3. ฝึกเขียนความรู้สึกในใจของตนเอง ขั้นนี้ค่อนข้างยาก มีวิธีฝึกได้หลายทาง เช่น   เดินเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ยืนอยู่สักประเดี๋ยวหนึ่ง และพิเคราะห์ดูว่าเรามีความรู้สึกอย่างไร เมื่อเราเข้าไปในห้องนั้น จำความรู้สึกอันนั้นไว้แล้วกลับมาเขียนความรู้สึกนั้นให้ถี่ถ้วน สถานที่ๆ จะฝึกหัดเช่นนี้ได้มีหลายแห่ง เช่น ในโรงมหรสพ ในที่ชุมนุมชน เวลากลัว เวลาหิว เวลาตกใจ เวลาโกรธ ใช้ฝึกได้ทั้งนั้น

ที่มาของภาพ http://www.marketingoops.com/
exclusive/how-to/5-simple-steps-to-better-writing/

การฝึกหัดที่หลวงวิจิตรวาทการกล่าวมานั้น ท่านบอกว่าเป็นการฝึกหัดเบื้องต้น นักเขียนต้องเข้าใจว่า สิ่งสำคัญที่สุดของนักเขียนนั้นคือ ความซื่อตรง เขียนไปตามความจริง และให้คนเข้าใจได้เท่ากับที่เป็นจริงๆ ต้องหัดแสดงความจริงเสียก่อน ส่วนความคิดประดิษฐ์โลดโผนนั้นจะมีภายหลัง ถ้าไม่หัดพรรณาอะไรให้ตรงตามความจริงเสียก่อน พอเริ่มต้นก็ประดิษฐ์โลดโผนแล้ว จะเป็นนักเขียนที่ดีไม่ได้เลย

อ่านต่อ มาเริ่มต้นเป็นนักเขียนกันเถอะ (ตอนที่ 2 ลงมือเขียน)  

*******************************
จุฑาคเชน : 30 ก.ค.2559

ที่มาข้อมูล
สมบัติ จำปาเงิน และสำเนียง มณีกาญจน์. (2539). หลักนักเขียน. กรุงเทพฯ  : ต้นอ้อ แกรมมี่ 



      

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

สืบสานผ้าไทย..เทิดไท้องค์ราชินี

"..ทุกครั้งที่เมืองไทยเกิดน้ำท่วมหรือเกิดภัยพิบัติอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำของพระราชทานไปช่วยเหลือราษฎร มักจะเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค แล้วก็รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า การช่วยเหลือแบบนี้เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ซึ่งช่วยเขาไม่ได้จริงๆ ไม่เพียงพอ ทรงคิดว่า ทำอย่างไร จึงจะช่วยเหลือชาวบ้านเป็นระยะยาว คือทำให้เขามีหวังที่จะอยู่ดีกินดีขึ้น ลูกหลานได้เข้าโรงเรียนได้เรียนหนังสือ.....

ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มคิดหาอาชีพเสริมให้แก่ครอบครัวชาวนาชาวไร่ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงหาแหล่งน้ำให้การทำไร่ทำนาของเขาเป็นผลต่อประเทศชาติต่อบ้านเมือง ทรงพระดำเนินไปดูตามไร่ของเขาต่างๆ ทรงคิดว่านี่เป็นการให้กำลังใจ และที่ทรงให้ข้าพเจ้าดูแลพวกครอบครัว ก็เลยเป็นที่เกิดของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ...."

พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2534

รูปภาพผ้าชนิดต่างๆ รวมทั้งคำอธิบายในบทความนี้ ผมนำมาจากปฏิทินตั้งโต๊ะ พ.ศ.2555 ซึ่งจัดทำโดย "การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย"  ซึ่งจัดทำขึ้นในหัวข้อ "สืบสานผ้าไทย..เทิดไท้องค์ราชินี" เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2555 ที่จะถึงนี้  ข้อมูลและภาพต่างๆ เหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจทั่วไป ผมจึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ไว้ในบทความนี้อีกช่องทางหนึ่ง ขอขอบคุณการไฟ้ฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไว้ ณ ที่นี้ด้วย....




















ผ้าชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (ฝ้าย)
ผ้าทอกะเหรี่ยงได้รับการพัฒนาคุณภาพและรูปแบบให้สวยงาม  แต่ยังคงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของชาวกะเหรี่ยงไว้ได้ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น สามารถสร้างงาน สร้างรายได้แก่ชาวกะเหรี่ยงควบคู่ไปกับการสืบสานภูมิปัญญาชาวกะเหรี่ยงได้อย่างยั่งยืน




















ผ้าชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (ไหม)
ชาวกะเหรี่ยงนิยมใส่เสื้อผ้าทอมือมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งแต่เดิมชาวกะเหรี่ยงจะปลูกฝ้ายเองแล้วนำฝ้ายมาปั่นเป็นเส้นด้าย  ย้อมด้วยสีธรรมชาติ สร้างลวดลายด้วยการทอ และการปักด้วยเส้นไหม ชาวกะเหรี่ยงสร้างสรรค์ลวดลายและสีสันของผ้าทอจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว




















ผ้าชาวเขาเผ่าม้ง
ผ้าปักม้งจะมีลวดลายแตกต่างกัน โดยม้งจะคิดค้นออกแบบลวดลายเองและปักอย่างประณีต  เมื่อปักแล้วจะนำมาตัดเป็นเสื้อผ้าเพื่อสวมใส่ในเทศกาลหรือวันสำคัญต่างๆ รวมทั้งนำไปประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ เช่น ถุงย่าม กระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ เป็นต้น




















ผ้าชาวเขาเผ่าเย้า
เดิมเย้านิยมใช้สีปักลายผ้าเพียง 5 สีเท่านั้น คือ แดง  เหลือง น้ำเงิน เขียว และขาว แต่ปัจจุบันเริ่มใช้สีต่างๆ เพิ่มขึ้น การปักลายผ้าของเย้าจะแตกต่างจากชนเผ่าอื่นๆ โดยเย้าจะปักผ้าจากด้านหลังของผ้าขึ้นมาด้านหน้า จึงต้องจับผ้าให้หน้าคว่ำลง  การปักลายมีสี่แบบ คือ ปักลายเส้น ปักลายขัด ปักลายกากบาท และการปักไขว้




















ผ้ามัดหมี่
เป็นผ้าที่สร้างลวดลายจากการย้อมสีเส้นดายหรือไหมที่นำไปเป็นเส้นพุ่ง  โดยวางแผนออกแบบลายแล้วจึงมัดและย้อมเส้นไหมหรือฝ้าย แล้วจึงนำไปทอ ด้วยวิธีการ "มัด" เส้นไหมที่เรียกกันว่า "หมี่" แล้วนำไปย้อมก่อนนำมาทอเป็นผืนผ้านี้เอง จึงเรียกวิธีการนี้ว่า "มัดหมี่" และผ้าที่ทอขึ้นจึงเรียกว่า "ผ้ามัดหมี่"




















ผ้าขิด
เป็นการทอผ้าไหมที่มีวิธีการซับซ้อนหลายขั้นตอน จึงต้องอาศัยความชำนาญและฝีมือสูงกว่าการทอผ้าชนิดอื่น  มีลักษณะการทอแบบ "เก็บขิด" หรือ "เก็บดอก"  ลวดลายของขิดแต่ละลายจะมีรูปแบบที่สวยงาม มีความมัน วาว นูน และมีเหลือบต่างๆ กันไป  ได้แก่ ไหมลายขิดพื้นสีเดียว ไหมลายขิดมีเชิง และไหมขิด-หมี่ คือการทอผ้าไหมลายขิดสลับกับผ้าไหมมัดหมี่เป็นช่วงๆ






















ผ้าแพรวา
เป็นผ้าสไปไหม ทอขึ้นด้วยการผสมผสานการทอลายขัดธรรมดาเป็นพื้นสีแดงจัด เข้ากับการขัดและจกเป็นลวดลายต่างๆ ด้วยไหมสีเขียว เหลืองทอง น้ำเงิน ขาว ตัดกันอย่างสวยงาม ผ้าแพรวาเป็นผ้าหน้าแคบประมาณ 2 ศอก และยาวประมาณ 2 วา ผ้าแพรวาจัดเป็นเอกลักษณ์การแต่งกายของชาวผู้ไททั้งหญิงที่ใช้ห่มเป็นสไบ และชายที่ใช้คาดเอว 





















ผ้าไหมสุรินทร์
เป็นผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่การกำหนดลวดลายที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร การเลือกใช้ไหมเส้นเล็กที่เรียกว่าไหมน้อย  ผ้าทอจึงเรียบนิ่ม เนื้อแน่น  เงางาม และนิยมใช้สีธรรมชาติในการย้อม  ผ้าไหมสุรินทร์จึงมัดมีสีออกโทนสีขรึมไม่ฉูดฉาด  จ.สุรินทร์ จะมีการทอผ้าเกือบทุกหมู่บ้าน โดยชาวบ้านมักจะทอผ้าในช่วงเวลาที่สิ้นสุดฤดูการทำนาแล้ว





















ผ้ายกทอง
เป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้ายกทองชั้นสูงแบบราชสำนักไทยโบราณ  ผสมผสานกับเทคนิคการทอผ้าแบบพื้นบ้าน  ด้วยการออกแบบลวดลายที่สลับซับซ้อนงดงามและทอยกลายด้วยดิ้นทองและเส้นทอง






















ผ้าหางกระรอก
ผ้าหางกระรอกเป็นผ้าพื้นที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งน่าจะเรียกชื่อตามผิวสัมผัส เพราะลายที่ปรากฏบนเนื้อผ้าเป็นเส้นฝอยฟูมองดูเหมือนขนอ่อนๆ เหลือบระยับคล้ายกับขนของหางกระรอก แลดูสวยงามแปลกตา วัสดุที่ใช้สำหรับทอผ้าหางกระรอก ได้แก่ เส้นใยไหมหรือเส้นฝ้าย ผ้าหางกระรอกที่ทอด้วยไหม เนื้อผ้ามีลักษณะละเอียดเป็นเงามีสีเหลือบ  ถ้าใช้เส้นใยฝ้ายเนื้อผ้าจะแลดูไม่ละเอียดอ่อนเท่าลายผ้าที่ทอด้วยไหม





















ผ้าจก
เป็นผ้าที่ทอขึ้นโดยใช้วิธีสอดแทรกเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเพื่อสร้างลวดลายบนผ้าสีพื้น  สีที่ตัดกันของเส้นด้ายบนลายต่างๆ เป็นเอกลักษณ์ที่บ่งชี้กลุ่มผู้ทอ โดยสื่อถึงความคิด ความเชื่อ และวิถีชีวิตของคนเหล่านั้น





















ผ้ายกนคร
ผ้ายกเมืองนครทอได้หลายชนิด  แต่ละชนิดมีลายดอกงดงาม  ได้แก่ ผ้าราชวัตร  ผ้าตาสมุก  ผ้าเก็บดอก  ส่วนผ้ายกดอกก็มีหลายชนิด เช่น ผ้าลายดอกพิกุล ผ้าลายก้านแหย่ง และผ้าลายดอกมะลิร่วง เป็นต้น  เครื่องมือที่ใช้ทอผ้ายก เรียกว่า "เครื่องทอหูก" หรือ "เก" ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เกเยก (เคลื่อนที่ได้) และเกฝ้ง (ติดอยู่กับพื้น) ชาวบ้านมักสร้างเกไว้ใต้ถุนบ้าน  ฝีมือการทอผ้าของชาวเมืองนครศรีธรรมราชในอดีตมีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ดังปรากฏในเพลงกล่อมเด็กบทหนึ่งที่ว่า "ไปเมืองคอนเหอไปซื้อผ้าลายทองสลับ..."


************************

ที่มาข้อมูลและภาพ : ปฏิทินตั้งโต๊ะ พุทธศักราช 2555 จัดทำโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย