แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559

รวมพลคนดนตรีไทยราชบุรี..บรรเลงเพลงถวายอาลัย

บ้านผมอยู่ติดกับบ้าน "ครูรวม พรหมบุรี"  ครูดนตรีไทยฉายา "ระนาดน้ำผึ้งแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง" (ดูรายละเอียด)  ผมจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ผมได้ยินเสียงฝึกซ้อมดนตรีไทยจากบ้านครูรวมฯ ดังไปทั่วบริเวณบ้านท่าเสา ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี ตั้งแต่เช้ามืดจรดหัวค่ำ มีทั้งเด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกับผม และที่โตกว่าผม  มากินนอนฝึกซ้อมดนตรีไทยอยู่บ้านครูรวมฯ มากมายหลายรุ่น จนรู้จักและคุ้นเคยกันดี

มาวันนี้   ผมไม่ได้ยินเสียงดนตรีไทยจากบ้านครูรวมฯ เหมือนเดิมอีกแล้ว  นานๆ จะมีเสียงฝึกซ้อมระนาดเอก ดังเล็ดลอดออกมาสักครั้ง  ซึ่งมีไม่บ่อยนัก



ดนตรีไทยในราชบุรี กำลังจะสูญหาย
ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ ทายาทผู้สืบทอดของครูรวม พรหมบุรี  ท่านเล่าให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้วิถีสังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไป อาชีพคนทำปี่พาทย์มอญไปไม่รอด ที่มีอยู่ก็เป็นคนรุ่นเก่า หากคนรุ่นนี้ตายไปก็คงจบกัน คนรุ่นใหม่ไม่มีใครสนใจอย่างจริงจัง  วงปี่พาทย์มอญในราชบุรี กำลังจะสูญหายไปตามกาลเวลา หลายวงต้องล้มหายตายจากไป เหลือแต่เพียงเครื่องดนตรีเก็บรักษาไว้  แต่ไม่มีคนเล่น วันนี้ใน จ.ราชบุรี เหลือวงปี่พาทย์มอญอย่างมากไม่เกิน 10 วง จากเดิมซึ่งมีมากกว่า 30 วง



แล้วจะทำอย่างไร?
ผมถามต่อว่า แล้วจะทำอย่างไรให้วงดนตรีไทย ใน จ.ราชบุรี ยังคงอยู่ได้ต่อไป  ท่านบอกว่า ปัจจัยสำคัญที่วงปี่พาทย์มอญใน จ.ราชบุรี จะอยู่ได้ก็ คือ  
  1. ภาคราชการต้องให้การสนับสนุน อย่างเช่น หากมีการจัดพิธีหรือกิจกรรมใดๆ ของภาครัฐ ซึ่งตามธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติแต่เดิม ต้องมีดนตรีไทยไปเล่นหรือไปบรรเลงประกอบ ควรให้การสนับสนุนในทันที  แต่ทุกวันนี้ ที่ จ.ราชบุรี แทบไม่มีหน่วยงานไหนให้ความสนใจ           
  2. ภาคศาสนาต้องช่วยรณรงค์  พิธีกรรมทางศาสนาพุทธ หลายพิธีซึ่งแต่เดิมเคยมีดนตรีไทยเล่นประกอบ ทั้งเทศน์มหาชาติ ทั้งเวียนเทียน ทั้งงานบุญ งานศพ กฐิน ผ้าป่าฯลฯ  แต่ปัจจุบัน วัดวาอารามต่างๆ กลับเห็นว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น สิ้นเปลืองโดยปล่าวประโยชน์  ตัวอย่างเช่น พระสงฆ์บางรูปบางวัดในราชบุรี  แนะนำเจ้าภาพงานศพว่า ไม่ต้องมีปี่พาทย์มอญ  สิ้นเปลืองปล่าวๆ นำเงินมาทำบุญอย่างอื่นดีกว่า 
  3. ภาคการศึกษาต้องให้ความสำคัญ  สถาบันการศึกษาต้องให้ความสำคัญต่อการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับดนตรีไทยอย่างจริงใจ (เน้นอย่างจริงใจ) ชุมนุมหรือชมรมดนตรีไทยในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งของราชบุรี ล้วนกำลังล้มหายตายจากเช่นกัน เพราะขาดการสนับสนุนจากผู้บริหาร การจัดกิจกรรมเกี่ยวกับดนตรีไทยที่ทำขึ้นเป็นไปแบบแกนๆ ล้วนไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กแต่อย่างใดเลย 
  4. ภาคประชาชนต้องช่วยกัน ดนตรีไทย คือ มรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมซึ่งบรรพบุรุษได้มอบเอาไว้ให้พวกเรา ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงควรตระหนัก หากมีงานใดๆ ที่ต้องใช้ดนตรีไทย และพอที่จะมีเงินอยู่บ้าง อย่าได้มัวลังเลใจ อย่างน้อยก็ช่วยสืบสานต่อลมหายใจให้ดนตรีไทยไม่สูญหายกลายเป็นแค่ตำนาน
หากปัจจัยทั้ง 4 ข้อนี้ ช่วยกัน อาชีพดนตรีไทยของ จ.ราชบุรี คงยังมีลมหายใจต่อชีวิตไปได้อีกสักพัก ดังเช่นที่ จ.สมุทรสงคราม จ.สมุทรสาคร และ จ.เพชรบุรี เขาทำมาแล้ว

ในทัศนะส่วนตัวแล้วผมเห็นว่า คนที่มีอาชีพเป็นนักดนตรีไทยนี้  ไม่เคยมีใครรวยเลยครับ พวกเขาแค่พอมีกินมีใช้และพอมีเงินที่จะจ่ายเป็นค่าดูแลรักษาเครื่องดนตรีบ้าง พวกเขาก็พอใจแล้วครับ แต่สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขายังประกอบอาชีพนี้อยู่ในปัจจุบัน ก็คือ "ความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ช่วยสืบสานไม่ให้ดนตรีไทยนี้ ต้องสูญหายไปต่างหาก"  

รวมพลคนดนตรีไทยราชบุรี..บรรเลงเพลงถวายอาลัย
ทายาทครูรวมฯ เล่าต่อให้ฟังว่าอยากจะจัดงาน "รวมพลคนดนตรีไทยราชบุรี น้อมบรรเลงเพลงถวายอาลัย"  เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ (รัชกาลที่ 9) ซึ่งหลายๆ จังหวัดได้ทำแล้ว ตัวอย่างที่ใกล้บ้านเราก็คือ จ.สมุทรสาคร (ดูรายละเอียด)  โดยงานนี้ ตั้งใจจะเชิญคนดนตรีไทยของราชบุรีทุกคน ทุกวง พร้อมทั้งครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา นักดนตรีอิสระ และประชาชนทั่วไป ที่รักและศรัทธาในดนตรีไทย มาร่วมกันบรรเลง โดยขั้นต้นกำหนดเอาไว้ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560 ส่วนสถานที่ยังไม่ทราบว่าจะจัดที่ไหน ในขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับอาจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง 


พสกนิกกร ชาวดนตรีไทย จังหวัดสมุทรสาคร
รวมพลังบรรเลงดนตรีไทยและขับร้อง"เพลงสรรเสริญพระบารมี"
เมื่อ 30 ต.ค.2559

ท่านกล่าวว่า "ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน  แต่ก็จะพยายามทำให้เต็มที่ งานนี้อยากให้คนดนตรีไทยของราชบุรี และผู้ที่ศรัทธาในดนตรีไทย มาร่วมด้วยช่วยกัน สร้างให้เป็นประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งของราชบุรี" 

ผมถามต่อ ตอนนี้มีหน่วยงานใดสนับสนุนกิจกรรมนี้บ้าง
ท่านตอบว่า "ตอนนี้ มีแต่ความคิด แต่มันคงต้องใช้เงินเพื่อจัดเตรียมงาน ก็ยังไม่รู้ว่าจะหามาจากไหน ลำพังคนดนตรีไทยอย่างพวกเราแล้ว ไม่ห่วงครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทุกคนยินดีไปร่วมบรรเลง" 


พสกนิกกร ชาวดนตรีไทย จังหวัดสมุทรสาคร
รวมพลังบรรเลงดนตรีไทยและขับร้อง"เพลงสรรเสริญพระบารมี"
เมื่อ 30 ต.ค.2559



ช่วยกันนะครับ ช่วยกันจัดงานนี้ ให้เกิดขึ้น ผมเองก็จะช่วยเต็มกำลังความสามารถที่ผมพอจะมีอยู่ เพื่อให้ผลักดันให้เกิดกิจกรรมนี้ขึ้นมา ผมว่าถ้าจัดกัน "ริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา" สนามหญ้าในเมืองราชบุรีก็ดีครับ วางเครื่องดนตรีเรียงรายยาวตลอดแนวเขื่อนที่กำลังสร้างใหม่ อย่างน้อยก็เป็นการบรรเลงดนตรีไทยริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง แหล่งกำเนิดนักดนตรีไทยชั้นนำของประเทศไทย



******************************
จุฑาคเชน : 9 ธันวาคม 2559
    

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

ราชบุรีไชน่าทาวน์ วาระของจังหวัด

งานราชบุรีไชน่าทาวน์ปี 2012 นี้ ผมรู้สึกว่ามันกร่อยลงกว่า 5 ปีที่ผ่านมามากนัก ในแต่ละปีก็จะกร่อยลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังดีใจที่คณะผู้บริหารของเทศบาลเมืองราชบุรี ยังคงอุตส่าห์เดินหน้าจัดงานนี้อยู่

กิจกรรมและบรรยากาศหลายอย่างที่เป็นแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับชาติถูกลดทอนลง จะด้วยสาเหตุใดไม่อาจทราบได้ ส่งผลให้งานราชบุรีไชน่าทาวน์ซึ่งเป็นงานในระดับจังหวัดที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ลดระดับลงกลายเป็นแค่งานในระดับท้องถิ่นและชุมชน ที่จัดกันเอง เที่ยวกันเอง

งานราชบุรีไชน่าทาวน์จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2007 โดยความริเริ่มของนายพิชัย นันทชัยพร นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี ครั้งนั้นหลายคนก็ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะเสียดายเงินจำนวนมาก แต่หลายคนก็เห็นด้วยและร่วมลงขันกันจัดงาน กิจกรรมและบรรยากาศหลากหลายถูกออกแบบขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจังหวัดราชบุรี งานราชบุรีไชน่าทาวน์ในปีแรกประสบผลสำเร็จด้วยดี เป็นที่ยอมรับของสังคมและนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป และ ททท.ได้บรรจุไว้เป็นปฎิทินการท่องเที่ยวในแต่ละปี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

งานราชบุรีไชน่าทาวน์ ถูกจัดมาอย่างต่อเนื่องในช่วงตรุษจีนของทุกปี จนติดตลาดกลายเป็นงานเทศกาลประเพณีที่สำคัญของ จ. ราชบุรี แต่วันนี้ งานราชบุรีไชน่าทาวน์กำลังถดถอยลงกลายเป็นงานระดับท้องถิ่น อาจมีสาเหตุมาจากการขาดงบประมาณ ขาดผู้ให้การสนับสนุน และที่สำคัญขาดวิสัยทัศน์ร่วมกันของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ใน จ.ราชบุรี

งานราชบุรีไชน่าทาวน์ ควรเป็นวาระของจังหวัดราชบุรี ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จัดสรรงบประมาณไว้จัดงานนี้โดยตรงเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด มีท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด และเทศบาลเมืองราชบุรี เป็นตัวขับเคลื่อน มี ททท. สภาอุตสาหกรรม หอการค้า สมาคมชาวจีน สโมสร องค์กร ชมรมและมูลนิธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาวจีน เป็นฐานให้การสนับสนุน เชิญชาวจีนในอำเภอต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรมในงาน เช่น ชาวจีนใน อ.โพธาราม อ.บ้านโป่ง อ.ดำเนินสะดวก เป็นต้น ลำพังแต่เทศบาลเมืองราชบุรี คงไม่สามารถจัดงานนี้ให้ยิ่งใหญ่เป็นงานในระดับจังหวัดได้

ดังนั้น ทุกภาคส่วนใน จ.ราชบุรี จึงควรหันมาร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมมือกันจัดงาน เพราะชื่องานก็บอกอยู่แล้วว่า "ราชบุรีไชน่าทาวน์" ไม่ใช่เป็นงานของชาวจีนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นงานของชาวจีนทั่วทั้งจังหวัดราชบุรี ที่จะช่วยกันเผยแพร่ประวัติศาสตร์ ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิต และอาหารการกินของตนเอง หากทุกภาคส่วนยังแยกย่อยต่างคนต่างจัด ต่างคนต่างทำ มันก็มีแต่จะกร่อยลง แย่ลง อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้..นั่นเอง

วันนี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าหน่วยงานสำคัญจำนวนหลายท่าน ล้วนเป็นชาวจังหวัดราชบุรี ถึงเวลาแล้วที่จังหวัดราชบุรีของเราจะได้รับการพัฒนาและสร้างสรรค์อย่างจริงจังเสียที

****************************
จุฑาคเชน : 24 ม.ค.2555

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.เวสเทิร์นนิวส์ โฟกัสราชบุรี ปีที่ 3 ฉบับที่ 14 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2555  หน้า 20

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

สืบสานผ้าไทย..เทิดไท้องค์ราชินี

"..ทุกครั้งที่เมืองไทยเกิดน้ำท่วมหรือเกิดภัยพิบัติอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำของพระราชทานไปช่วยเหลือราษฎร มักจะเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค แล้วก็รับสั่งกับข้าพเจ้าว่า การช่วยเหลือแบบนี้เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ซึ่งช่วยเขาไม่ได้จริงๆ ไม่เพียงพอ ทรงคิดว่า ทำอย่างไร จึงจะช่วยเหลือชาวบ้านเป็นระยะยาว คือทำให้เขามีหวังที่จะอยู่ดีกินดีขึ้น ลูกหลานได้เข้าโรงเรียนได้เรียนหนังสือ.....

ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มคิดหาอาชีพเสริมให้แก่ครอบครัวชาวนาชาวไร่ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงหาแหล่งน้ำให้การทำไร่ทำนาของเขาเป็นผลต่อประเทศชาติต่อบ้านเมือง ทรงพระดำเนินไปดูตามไร่ของเขาต่างๆ ทรงคิดว่านี่เป็นการให้กำลังใจ และที่ทรงให้ข้าพเจ้าดูแลพวกครอบครัว ก็เลยเป็นที่เกิดของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ...."

พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2534

รูปภาพผ้าชนิดต่างๆ รวมทั้งคำอธิบายในบทความนี้ ผมนำมาจากปฏิทินตั้งโต๊ะ พ.ศ.2555 ซึ่งจัดทำโดย "การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย"  ซึ่งจัดทำขึ้นในหัวข้อ "สืบสานผ้าไทย..เทิดไท้องค์ราชินี" เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2555 ที่จะถึงนี้  ข้อมูลและภาพต่างๆ เหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจทั่วไป ผมจึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ไว้ในบทความนี้อีกช่องทางหนึ่ง ขอขอบคุณการไฟ้ฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ไว้ ณ ที่นี้ด้วย....




















ผ้าชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (ฝ้าย)
ผ้าทอกะเหรี่ยงได้รับการพัฒนาคุณภาพและรูปแบบให้สวยงาม  แต่ยังคงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของชาวกะเหรี่ยงไว้ได้ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น สามารถสร้างงาน สร้างรายได้แก่ชาวกะเหรี่ยงควบคู่ไปกับการสืบสานภูมิปัญญาชาวกะเหรี่ยงได้อย่างยั่งยืน




















ผ้าชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (ไหม)
ชาวกะเหรี่ยงนิยมใส่เสื้อผ้าทอมือมาแต่สมัยโบราณ ซึ่งแต่เดิมชาวกะเหรี่ยงจะปลูกฝ้ายเองแล้วนำฝ้ายมาปั่นเป็นเส้นด้าย  ย้อมด้วยสีธรรมชาติ สร้างลวดลายด้วยการทอ และการปักด้วยเส้นไหม ชาวกะเหรี่ยงสร้างสรรค์ลวดลายและสีสันของผ้าทอจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว




















ผ้าชาวเขาเผ่าม้ง
ผ้าปักม้งจะมีลวดลายแตกต่างกัน โดยม้งจะคิดค้นออกแบบลวดลายเองและปักอย่างประณีต  เมื่อปักแล้วจะนำมาตัดเป็นเสื้อผ้าเพื่อสวมใส่ในเทศกาลหรือวันสำคัญต่างๆ รวมทั้งนำไปประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ เช่น ถุงย่าม กระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ เป็นต้น




















ผ้าชาวเขาเผ่าเย้า
เดิมเย้านิยมใช้สีปักลายผ้าเพียง 5 สีเท่านั้น คือ แดง  เหลือง น้ำเงิน เขียว และขาว แต่ปัจจุบันเริ่มใช้สีต่างๆ เพิ่มขึ้น การปักลายผ้าของเย้าจะแตกต่างจากชนเผ่าอื่นๆ โดยเย้าจะปักผ้าจากด้านหลังของผ้าขึ้นมาด้านหน้า จึงต้องจับผ้าให้หน้าคว่ำลง  การปักลายมีสี่แบบ คือ ปักลายเส้น ปักลายขัด ปักลายกากบาท และการปักไขว้




















ผ้ามัดหมี่
เป็นผ้าที่สร้างลวดลายจากการย้อมสีเส้นดายหรือไหมที่นำไปเป็นเส้นพุ่ง  โดยวางแผนออกแบบลายแล้วจึงมัดและย้อมเส้นไหมหรือฝ้าย แล้วจึงนำไปทอ ด้วยวิธีการ "มัด" เส้นไหมที่เรียกกันว่า "หมี่" แล้วนำไปย้อมก่อนนำมาทอเป็นผืนผ้านี้เอง จึงเรียกวิธีการนี้ว่า "มัดหมี่" และผ้าที่ทอขึ้นจึงเรียกว่า "ผ้ามัดหมี่"




















ผ้าขิด
เป็นการทอผ้าไหมที่มีวิธีการซับซ้อนหลายขั้นตอน จึงต้องอาศัยความชำนาญและฝีมือสูงกว่าการทอผ้าชนิดอื่น  มีลักษณะการทอแบบ "เก็บขิด" หรือ "เก็บดอก"  ลวดลายของขิดแต่ละลายจะมีรูปแบบที่สวยงาม มีความมัน วาว นูน และมีเหลือบต่างๆ กันไป  ได้แก่ ไหมลายขิดพื้นสีเดียว ไหมลายขิดมีเชิง และไหมขิด-หมี่ คือการทอผ้าไหมลายขิดสลับกับผ้าไหมมัดหมี่เป็นช่วงๆ






















ผ้าแพรวา
เป็นผ้าสไปไหม ทอขึ้นด้วยการผสมผสานการทอลายขัดธรรมดาเป็นพื้นสีแดงจัด เข้ากับการขัดและจกเป็นลวดลายต่างๆ ด้วยไหมสีเขียว เหลืองทอง น้ำเงิน ขาว ตัดกันอย่างสวยงาม ผ้าแพรวาเป็นผ้าหน้าแคบประมาณ 2 ศอก และยาวประมาณ 2 วา ผ้าแพรวาจัดเป็นเอกลักษณ์การแต่งกายของชาวผู้ไททั้งหญิงที่ใช้ห่มเป็นสไบ และชายที่ใช้คาดเอว 





















ผ้าไหมสุรินทร์
เป็นผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งแต่การกำหนดลวดลายที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร การเลือกใช้ไหมเส้นเล็กที่เรียกว่าไหมน้อย  ผ้าทอจึงเรียบนิ่ม เนื้อแน่น  เงางาม และนิยมใช้สีธรรมชาติในการย้อม  ผ้าไหมสุรินทร์จึงมัดมีสีออกโทนสีขรึมไม่ฉูดฉาด  จ.สุรินทร์ จะมีการทอผ้าเกือบทุกหมู่บ้าน โดยชาวบ้านมักจะทอผ้าในช่วงเวลาที่สิ้นสุดฤดูการทำนาแล้ว





















ผ้ายกทอง
เป็นการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้ายกทองชั้นสูงแบบราชสำนักไทยโบราณ  ผสมผสานกับเทคนิคการทอผ้าแบบพื้นบ้าน  ด้วยการออกแบบลวดลายที่สลับซับซ้อนงดงามและทอยกลายด้วยดิ้นทองและเส้นทอง






















ผ้าหางกระรอก
ผ้าหางกระรอกเป็นผ้าพื้นที่มีลักษณะพิเศษ ซึ่งน่าจะเรียกชื่อตามผิวสัมผัส เพราะลายที่ปรากฏบนเนื้อผ้าเป็นเส้นฝอยฟูมองดูเหมือนขนอ่อนๆ เหลือบระยับคล้ายกับขนของหางกระรอก แลดูสวยงามแปลกตา วัสดุที่ใช้สำหรับทอผ้าหางกระรอก ได้แก่ เส้นใยไหมหรือเส้นฝ้าย ผ้าหางกระรอกที่ทอด้วยไหม เนื้อผ้ามีลักษณะละเอียดเป็นเงามีสีเหลือบ  ถ้าใช้เส้นใยฝ้ายเนื้อผ้าจะแลดูไม่ละเอียดอ่อนเท่าลายผ้าที่ทอด้วยไหม





















ผ้าจก
เป็นผ้าที่ทอขึ้นโดยใช้วิธีสอดแทรกเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเพื่อสร้างลวดลายบนผ้าสีพื้น  สีที่ตัดกันของเส้นด้ายบนลายต่างๆ เป็นเอกลักษณ์ที่บ่งชี้กลุ่มผู้ทอ โดยสื่อถึงความคิด ความเชื่อ และวิถีชีวิตของคนเหล่านั้น





















ผ้ายกนคร
ผ้ายกเมืองนครทอได้หลายชนิด  แต่ละชนิดมีลายดอกงดงาม  ได้แก่ ผ้าราชวัตร  ผ้าตาสมุก  ผ้าเก็บดอก  ส่วนผ้ายกดอกก็มีหลายชนิด เช่น ผ้าลายดอกพิกุล ผ้าลายก้านแหย่ง และผ้าลายดอกมะลิร่วง เป็นต้น  เครื่องมือที่ใช้ทอผ้ายก เรียกว่า "เครื่องทอหูก" หรือ "เก" ซึ่งมี 2 ชนิด คือ เกเยก (เคลื่อนที่ได้) และเกฝ้ง (ติดอยู่กับพื้น) ชาวบ้านมักสร้างเกไว้ใต้ถุนบ้าน  ฝีมือการทอผ้าของชาวเมืองนครศรีธรรมราชในอดีตมีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ดังปรากฏในเพลงกล่อมเด็กบทหนึ่งที่ว่า "ไปเมืองคอนเหอไปซื้อผ้าลายทองสลับ..."


************************

ที่มาข้อมูลและภาพ : ปฏิทินตั้งโต๊ะ พุทธศักราช 2555 จัดทำโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ส.ค.ส.และพรปีใหม่ พ.ศ.2555 พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

ส.ค.ส.พระราชทาน พุทธศักราช  2555


ความหมาย ส.ค.ส.พระราชทาน พุทธศักราช  2555



พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2555 
ณ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร


"ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ที่ร่วมกันจัดงานฉลองอายุครบ 7 รอบให้อย่างเหมาะสม งดงาม

ระหว่างปีที่แล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ในบ้านเมืองนับว่าเป็นปกติดี แต่พอเข้าปลายปีก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เป็นเหตุให้ประชาชนหลายจังหวัดต้องประสบอันตรายและความเดือดร้อนลำบาก ความเสียหายครั้งนี้ดูจะร้ายแรงกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา  ข้อนี้ น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจอย่างสำคัญ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้น จะต้องมีทุกข์ มีภัย มีอุปสรรค ผ่านเข้ามาเนืองๆ  ไม่มีผู้ใดจะอยู่เป็นปกติสุขอย่างเดียวได้ ทุกคนจึงต้องเตรียมกาย เตรียมใจ และเตรียมการไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อเผชิญและป้องกันแก้ไขความไม่ปกติเดือดร้อนต่างๆ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยสามัคคีธรรม

ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ประชาชนชาวไทยได้ตั้งตนอยู่ ในความไม่ประมาท โดยมี สติรู้ตัว และ ปัญญารู้คิด กำกับอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไป ให้ทันการณ์ ทันเวลา ผลงานทั้งนั้น จะได้ส่งเสริมให้แต่ละคนประสบแต่ความสุขความเจริญ และทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงมั่นคงและก้าวหน้าต่อไปด้วยความผาสุกสวัสดี

ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคน ให้มีความสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีภัย ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"


************************************

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ฤดูน้ำหลากสมัยก่อน...กลายเป็นภัยพิบัติในสมัยนี้

ในปี พ.ศ.2554 นี้ ผมเห็นสภาพน้ำท่วมในกว่า 60 จังหวัดของประเทศไทย  รู้สึกสงสารพวกเขาจริงๆ ผมคิดว่าผมเข้าใจถึงสภาพจิตใจของพวกเขาดีที่ต้องสูญเสียบ้านเรือน ทรัพย์สิน และพืชผลทางการเกษตร ที่เขาอุตส่าห์สร้างและปลูกมันขึ้นมา  

ที่มาของภาพ : http://rb-old.blogspot.com/2010/09/2468_23.html

เหตุที่ผมคิดว่า ผมเข้าใจพวกเขาก็เพราะที่บ้านท่าเสาซึ่งเป็นบ้านของผมเอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี  ในสมัยก่อน ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนแถวเมืองกาญจนบุรี ชาวบ้านในแถบลุ่มแม่น้ำแม่กลองนี้ ก็จะต้องผจญกับน้ำท่วมเป็นประจำเกือบทุกปี  ซึ่งเรียกว่า "ฤดูน้ำหลาก"  เพราะเป็นพื้นที่ต่ำ  เมื่อถึงฤดูฝนน้ำในแม่น้ำแม่กลองก็จะล้นตลิ่ง ตั้งแต่บ้านท่าเสา ท่าแจ่ แถบทุ่งเขางู ทุ่งอรัญญิก  ต.บางสองร้อย  เกาะพลับพลา หนองกลางนา บางกระ ตลอดจนถึงธรรมเสน   จะกลายเป็นผืนน้ำติดต่อกันขนาดใหญ่คล้ายทะเลสาบ ก่อให้เกิดเทศกาลและประเพณีที่สำคัญ คือ ประเพณีการแข่งเรือ และการพายเรือไปเที่ยวงานเทศกาลปิดทองประจำปีถ้ำฤาษีเขางู  จนถึงวันนี้ งานเทศกาลปิดทองถ้ำฤาษีเขางูก็ยังคงจัดกันอยู่  แต่เปลี่ยนเป็นการขับรถไปเที่ยวแทนการพายเรือ  

เตรียมรับฤดูน้ำหลาก
ตอนผมยังเป็นเด็ก บ้านผมเป็นบ้านทรงไทยใต้ถุนสูง ตามแบบของบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำ มีเรืออยู่ 4 ลำ ขนาดแตกต่างกันไป ชาวบ้านแถวนี้จะมีเรือประจำบ้านของตนเองเกือบทุกหลัง พอถึงใกล้ฤดูน้ำหลาก   ต่างก็จะนำเรือออกมาซ่อมแซม ชันยา  เตรียมเก็บข้าวของที่จำเป็น กักตุนอาหารและเครื่องปรุง  เตรียมแห  เตรียมตะคัด (ตาข่าย) ลอบ ไซ เบ็ดราวและอุปกรณ์ประมงอื่นๆ ไว้หาปลาในหน้าฤดูน้ำที่กำลังจะมาถึง 

แม้ว่าฤดูน้ำหลาก น้ำจะขึ้นสูงท่วมหัวของผม แต่ชาวบ้านก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปรกติสุข มีอาหารจากปลาและสัตว์น้ำ มาให้จับให้กินกันจนถึงหน้าบ้าน การเดินทางไปมาหาสู่ทำธุระก็ใช้เรือเป็นพาหนะ ฤดูน้ำหลากประมาณ 2-3 สัปดาห์ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้พวกเขาเหล่านี้เลย  เพราะเขารู้ว่ามันเป็นธรรมชาติที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี   และมีการเตรียมการรับมือกับมันเป็นอย่างดี  คนในสมัยก่อนจึงไม่ได้รู้สึกว่า "น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติ"   

ฤดูน้ำหลากเป็นวิถีชีวิตตามปรกติ
เส้นทางการระบายน้ำในประเทศไทย ตามลักษณะภูมิประเทศแล้วจะไหลจากภาคเหนือลงมาภาคกลาง  และจากที่ราบสูงทั้งด้านซ้ายและขวาลงสู่ที่ราบต่ำตรงใจกลางประเทศ  เมื่อก่อนกรุงเทพและปริมณฑล  รวมถึงราชบุรีบ้านผมด้วย เคยเป็นทะเล  ดังนั้นจึงเป็นที่ราบต่ำ   น้ำเหนือจึงค่อยๆ ทยอยไหลลงมา และไหลออกสู่ทะเลไป  "ฤดูน้ำหลาก" จึงเป็นวิถีชีวิตตามปรกติของผู้คนในสมัยก่อน โดยเฉพาะแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำภาคกลางทั้งหมด  

ที่มาของภาพ
http://news.sanook.com/gallery/gallery/
1062437/243371/
หลายครั้งหลายครา ที่พระนครกรุงศรีอยุธยารอดพ้นจากการเสียกรุงฯ ก็เพราะฤดูน้ำหลากนี้เอง

ฤดูน้ำหลาก..กลายเป็นภัยพิบัติ
วันนี้ ผมลองนั่งทบทวนดูว่า ทำไม? จากฤดูน้ำหลากของคนไทยในสมัยก่อนซึ่งเป็นวิถีชีวิตตามปรกติ จึงได้กลายเป็นภัยพิบัติของคนไทยในสมัยนี้  มันเกิดขึ้นจากอะไร?
  • ต้นไม้ในป่าถูกตัด ถูกโค่น หักร้างถากถางพง ทำรีสอร์ท ปลูกยางพารา ฯลฯ  ขาดทั้งที่ซับน้ำชะลอน้ำ ขาดรากไม้คอยอุ้มดิน โคลนหินจึงถล่มกันทุกพื้นที่
  • ผังเมืองที่มักงาย ไร้ระเบียบ ขาดการควบคุม ถมดินสร้างบ้านจัดสรร สร้างตึก สร้างโรงงาน ขวางทั้งทางน้ำ และลดพื้นที่แก้มลิง   
  • ถนนหนทางสร้างกันตามอำเภอใจ ขาดการวางแผนเชื่อมโยง สร้างขวางทางน้ำไหล ท่อลอด สะพานข้าม ระบายน้ำไม่ทัน น้ำเอ่อล้นท่วมสูงข้ามถนน  สะพานขาด   ถนนพัง
  • การขุดลอก คูคลอง ห้วยหนองคลองบึง สำหรับการระบายและเก็บรักษาน้ำ ทั้ง อบจ. อบต. และเทศบาล ทำกันทุกปี แต่ก็ยังตื้นเขินเหมือนเดิม
  • น้ำเคยหลากมาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้กลับท่วมขังแสนนาน เพราะไม่มีทางให้น้ำเขาไป  บ้านเคยใต้ถุนโล่ง กลับกั้นผนังสร้างห้องอยู่กับพื้นดิน 
  • สภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง โดยยากที่จะพยากรณ์ได้ ทำให้หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ขาดข้อมูลที่แม่นยำในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ
  • คนไทยเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต จากสังคมธรรมชาติเป็นสังคมเมือง จึงทำให้ขาดความเข้าใจในธรรมชาติและขาดการเตรียมการรับมือกับธรรมชาติ 
  • ฯลฯ

วันนี้ หลายคนกำลังเกลียด "น้ำ"
แต่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทุกคนจะโหยหามัน
เพราะปัญหาต่อไปที่ประเทศไทย ต้องประสบคือ "ภัยแล้ง" 

ทุกอย่างจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะที่นี่คือ...ประเทศไทย

********************************
ชาติชาย  คเชนชล : 18 ต.ค.2554
    

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 22 ฉบับที่ 390 ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2554 หน้า 3

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

พิพิธภัณฑ์ในราชบุรี จะอยู่หรือจะไป

เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2553  ผมได้ไปร่วมเสวนาเรื่อง "ความหลากหลายของพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดราชบุรี"  ที่ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ราชบุรี โดยมี นางพูลศรี  จีบแก้ว หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ราชบุรี เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเนื่องในวันพิพิธภัณฑ์ไทย คือ วันที่ 19 ก.ย. ของทุกปี และมี น.ส.นารีรัตน์  ปรีชาพิชคุปต์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี ได้ให้เกียรติมาร่วมงานนี้ด้วย

วันพิพิธภัณฑ์ เริ่มต้นมาจากการที่  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดพิพิธภัณฑสถานส่วนพระองค์ ที่พระที่นั่งราชฤดีเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นที่จัดตั้งแสดงสิ่งสะสมในพระองค์เอง ที่ทรงรวบรวมไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งต่อมาได้ย้ายมาจัดแสดงที่พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ อันเป็นที่มาของคำว่า "พิพิธภัณฑ์ "ในเวลาต่อมา เมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการจัดตั้ง"มิวเซียม" ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชนแห่งแรกขึ้น ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2417 เหตุนี้รัฐบาลจึงประกาศเมื่อปี พ.ศ.2538 ให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปีเป็นวันพิพิธภัณฑ์ไทย

การเสวนาในครั้งนี้ มี น.ส.อุษา ง้วนเพียรภาค ภัณฑารักษ์ชำนาญการพิเศษ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมีวิทยากร คือ อ.สุรินทร์ เหลือลมัย ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์โรงเรียนบ้านจอมบึง (วาปีหร้อมประชาศึกษา) เจ้าอาวาสวัดคงคาราม ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคงคาราม และนายเสถียร ตุ่นบุตรเสลา ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวเวียง ในสุดท้ายวิทยากรที่กล่าวสรุปก็คือ นายภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น สำหรับผู้ร่วมเสวนาก็เป็นผู้แทนจากพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในที่อยู่ใน จ.ราชบุรี และผู้แทนโรงเรียน (บางแห่งที่สนใจ) จำนวนน่าจะประมาณ 50-60 คน

ผมเพิ่งทราบวันนี้เองว่า พิพิธภัณฑ์ใน จ. ราชบุรีของเรา จะมีถึง 23 แห่งเลยทีเดียว ซึ่งสามารถแยกได้ดังนี้
  1. พิพิธภัณฑ์ในสถานศึกษา จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านโรงเรียนบ้านจอมบึง , สำนักงานศิลปวัฒนธรรม ม.ราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง และเบญจมราชูทิศพิพิธภัณฑ์
  2. พิพิธภัณฑ์ของหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
  3. พิพิธภัณฑ์หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่  พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบางแพ พิพิธภัณฑ์อุทยานธรรมชาติวิทยา  จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว พิพิธภัณฑ์ทหารช่าง และพิพิธภัณฑ์สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์)
  4. พิพิธภัณฑ์วัด จำนวน 9 แห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง พิพิธภัณฑ์วัดลาดบัวขาว พิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นบ้านบ่อหวี พิพิธภัณฑ์ไท-ยวน ศูนย์สืบทอดศิลปะผ้าตีนจกราชบุรี พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคงคาราม  พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน พิพิธภัณฑ์วัดโชติทายการาม และพิพิธภัณฑ์บ่อน้ำพระพุทธมนต์
  5. พิพิธภัณฑ์เอกชน จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ อุทยานหุ่นขึ้ผึ้งสยาม  พิพิธภัณฑ์ชุมชนหลวงสิทธิ์  ภโวทัยพิพิธภัณฑ์ (ภูมิปัญญาชาวบ้าน)  พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านลาวเวียง และพิพิธภัณฑ์บ้านเรา
จากผลการเสวนา ทุกคนเห็นด้วยว่าพิพิธภัณฑ์ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับเด็กนักเรียน เยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ทุกภาคส่วนควรให้การสนับสนุนและส่งเสริม แต่ปัญหาที่พบเหมือนๆ กัน ก็คือ พิพิธภัณฑ์หลายแห่ง กำลังจะไปไม่รอด เพราะขาดงบประมาณ มีเพียงพิพิธภัณฑ์ของเอกชนบางแห่ง ก็พออยู่ได้ เพราะเก็บค่าเข้าชม ส่วนพิพิธภัณฑ์ที่เป็นของหน่วยงานของรัฐ  วัด และสถานศึกษานั้น แทบไม่ต้องพูดถึง กำลังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่  ยิ่งหากนโยบายของรัฐบาล เจ้าอาวาส ผู้บังคับบัญชา ผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่เล่นด้วยแล้ว มีหวังดับสนิท

อ.สุรินทร์ เหลือลมัย วิทยากร
ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์โรงเรียนบ้านจอมบึง
(วาปีพร้อมประชาศึกษา)
นายภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ได้ให้ข้อคิดถึงวิธีการแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณว่า การได้มาซึ่งงบประมาณในการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์นั้น อาจต้องมาจากหลายช่องทาง นอกจากงบประมาณจากหน่วยทางของราชการที่ดูแลเรื่องพิพิธภัณฑ์โดยตรงแล้ว อาจต้องหามาจากแหล่งอื่นๆ บ้าง เช่น จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล, อบต.)  จากสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) จากสำนักงานพระพุทธศาสนา  หรือจากงบพัฒนาของจังหวัด (ผ่านทางท่านผู้ว่าราชการจังหวัด)  หรือจากมูลนิธิต่างๆ ที่สนับสนุนในเรื่องนี้อยู่

แต่ก่อนที่จะไปต่อรองหรือหามาซึ่งงบประมาณตามช่องทางต่างๆ  นั้น ชาวพิพิธภัณฑ์ทั้งหลายน่าจะจัดตั้งกันเป็นชมรมฯ ขึ้นมาเสียก่อนเพื่อจะได้มีพลัง อย่างที่หลายๆ จังหวัดเริ่มจัดตั้งแล้ว  เช่น จัดตั้งชมรมพิพิธภัณฑ์จังหวัดราชบุรี เป็นต้น จัดทำระเบียบข้อบังคับให้ชัดเจนมีประธาน กรรมการ เลขา ฯลฯ ซึ่งน่าจะสามารถใช้ชมรมฯ นี้ไปต่อรองเรื่องงบประมาณจากแหล่งต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วได้

ปัญหาของพิพิธภัณฑ์อีกเรื่องคือ ไม่มีปัญญาที่จะจ้างภัณฑารักษ์โดยตรงเข้ามาดูแลงานในด้านนี้ คนที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นลักษณะจิตอาสา เป็นคนในชุมชนบ้าง เป็นแม่บ้านบ้าง หรืออาจทำงานหลักด้านอื่นๆ อยู่แล้วมาช่วย  เช่น เป็นครูสอนหนังสือ พอเวลาว่างก็มาเป็นภัณฑารักษ์ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้น่าจะพอแก้ไขได้ โดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดอบรมเติมองค์ความรู้ให้แก่บุคลเหล่านี้

นายภูธร ภูมะธน ได้แนะหลักการของการทำพิพิธภัณฑ์ไว้ง่ายๆ ดังนี้
  1. การเก็บสะสม รวบรวมวัตถุไว้อย่างหลากหลาย
  2. การอนุรักษ์วัตถุเหล่านั้นตามหลักสากล
  3. ศึกษาค้นคว้าวิจัยวัตถุที่เก็บมา
  4. การจัดแสดงและเผยแพร่
  5. การบริการให้การศึกษาวัตถุเหล่านั้น
  6. การรักษาวัตถุเหล่านั้นให้อยู่รอดปลอดภัยชั่วนิรันดร์กาล
น.ส.นารีรัตน์  ปรีชาพีชคุปต์ (ซ้าย)
ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี
นางพูลศรี  จีบแก้ว (ขวา)
หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ราชบุรี
ในส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า วันนี้ไม่ได้อยู่ที่การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ใหม่ แต่ทำอย่างไรจะให้พิพิธภัณฑ์ที่จัดตั้งอยู่แล้วทั้ง 23 แห่งในราชบุรีดำรงคงอยู่ได้  ทำอย่างไร จะเปลี่ยนทัศนคติของพิพิธภัณฑ์ที่มีแต่ของเก่าเก่า น่าเบื่อหน่าย ให้กลับกลายเป็นสถานที่อันแสนสนุก น่าเรียนรู้ 

งานพิพิธภัณฑ์ มองดูเผินๆ แล้ว เหมือนเป็นงานอดิเรกของผู้ใหญ่ที่ชอบสะสมของเก่า แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นงานที่น่ายกย่องชื่นชม เป็นงานที่ช่วยเติมความสมบูรณ์ของประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณีของชุมชนและชาติพันธ์ สะท้อนวิถีการดำเนินชีวิตของเผ่าพันธ์มนุษย์ที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้เรียนรู้วิธีที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต

วันนี้ นักพิพิธภัณฑ์ เสมือนผู้ที่ปิดทองหลังองค์พระ  ไม่ค่อยมีใครแลเห็น แต่ถ้าหากไม่มีใครปิดแล้ว พระก็ไม่มีวันงามทั้งองค์ได้เลย... 

ขอให้สู้ต่อไป "นักพิพิธภัณฑ์" วันหนึ่งคงจะมีคนเข้าใจ และหันมามองพวกท่านบ้าง...    

เขียนโดย จุฑาคเชน 20 ก.ย.2553

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 21 ฉบับที่ 377 ประจำเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2553 หน้า 3

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

วิดีโอการแสดงหนังใหญ่

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2551 โรงแรมโกลเด้นซิตี้ ได้เลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน และจัดให้มีการแสดงหนังใหญ่วัดขนอน ศิลปชั้นสูงอันโด่งดังของ จ.ราชบุรี เลยเก็บคลิบวีดีโอ มาฝาก