แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561

อย่ารักเด็กแค่วันเดียวต่อปี หากรักเด็กจริงต้องสร้างครู

รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี
เป็นคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ  ประจำปี 2561 ของ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 ซึ่งมอบให้เด็กๆ สมัยปัจจุบัน นำไปใช้เป็นแนวทางในการประพฤติและปฏิบัติตัว 




งานวันเด็กแห่งชาติ เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2498 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยข้อเสนอของ นาย วี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ในขณะนั้น (อ่านรายละเอียด ซึ่งพอที่จะสรุปวัตถุประสงค์สำคัญได้ 2 ประการ คือ
  1. สำหรับผู้ใหญ่ : ให้ตะหนักถึงความสำคัญของเด็ก ที่จะต้องช่วยกันสร้างให้เขาเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี เพื่อพัฒนาบ้านเมืองแทนตนเองต่อไป 
  2. สำหรับเด็ก : ให้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่จะต้องเป็นคนดีของสังคม  เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมา จะต้องทำหน้าที่พัฒนาบ้านเมืองแทนผู้ใหญ่ต่อไป      
หากลองนำคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ.2499 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 19 นายกรัฐมนตรี จำนวน 54 คำขวัญ มาเรียบเรียงเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีแต่ละท่าน แต่ละยุคสมัย จะสามารถจัดกลุ่มของคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีไทย ที่อยากจะให้เด็กไทยเป็น โดยเรียงตามลำดับความถี่ ได้ดังนี้
  1. มีความรักเรียน ขยันเรียน ใฝ่หาความรู้ (31 ครั้ง)
  2. เป็นเด็กดี ใฝ่ดี มีความประพฤติเรียบร้อย  (14  ครั้ง)
  3. เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย (14 ครั้ง)
  4. กล้าคิด กล้าพูด อย่างสร้างสรรค์ (14 ครั้ง)
  5. เป็นเด็กที่มีคุณธรรม (11 ครั้ง)
  6. เป็นความหวังในการพัฒนาชาติต่อไป  (9 ครั้ง)
  7. มีความรัก สามัคคี (9 ครั้ง)
  8. มีความซื่อสัตย์ สุจริต (7 ครั้ง)
  9. รู้จักการประหยัด (6 ครั้ง)
  10. มีความรักชาติ (5 ครั้ง)
  11. มีความนิยมไทย รักษาความเป็นไทย (4 ครั้ง)
  12. เป็นเด็กฉลาด (4 ครั้ง)
  13. เป็นเด็กที่มีความมานะ อดทน (3 ครั้ง)
  14. มีความรักในศาสนา (3 ครั้ง)
  15. มีความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ (3 ครั้ง)
  16. รู้จักหน้าที่ของตนเอง (3 ครั้ง)
  17. รักษ์และสืบสานวัฒนธรรมไทย (3 ครั้ง)
  18. หลีกเหลี่ยงอบายมุขและยาเสพติด (3 ครั้ง)
  19. บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์  มีจิตสาธารณะ  (2 ครั้ง)
  20. ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย (2 ครั้ง)
  21. รักษาสิ่งแวดล้อม (2 ครั้ง)
  22. อื่นๆ เช่น รักความสะอาด มีสัมมาคารวะ แข็งแรง รักพ่อแม่ ใช้ชีวิตพอเพียง รอบคอบ กตัญญู (อย่างละ 1 ครั้ง)
จะเห็นได้ว่า ความอยากที่จะเด็กไทยรักเรียน ขยันเรียน หมั่นใฝ่หาความรู้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นายกรัฐมนตรีเกือบทุกยุค ทุกสมัย คาดหวัง  รองลงมาคือ การเป็นคนดี การเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย การเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าพูด  ตามลำดับ




การให้ศึกษา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเด็ก
จากผลสรุปคำขวัญคำเด็กของนายกรัฐมนตรีฯ  ที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การให้ศึกษาแก่เด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่รัฐจะต้องจัดให้แก่เด็กอย่างมีประสิทธิภาพ  แต่ ทำไม? จนถึงวันนี้ การศึกษาไทยก็ยังมีปัญหาอยู่ดี การปฏิรูปการศึกษา ผ่านมากี่ยุค กี่สมัย กี่รัฐบาล ยังไม่สำเร็จเสียที  สังเกตุได้ว่า ไม่เคยมีประเทศไหนเอาตัวอย่างระบบการจัดการศึกษาของไทยไปใช้เป็นตัวอย่างเลย  มีแต่เราพยายามจะไปลอกเลียนแบบเขามา แต่ก็ไม่เห็นสำเร็จสักที ก็เป็นที่น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ผู้บริหารบ้านเมืองของเรา กำลังสาละวนทำเรื่องอะไรกันอยู่... 

ปัจจุบัน การให้การศึกษาแก่ "เด็กไทย"  ส่วนใหญ่อยู่ในมือของ "ครู"  
ดังนั้น หากรักเด็กจริง เราจึงจำเป็นต้องช่วยกันสร้าง "ครูที่ดี" ให้แก่เด็กของเรานั่นเอง          

                
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
คำขวัญวันเด็กที่ผมจำได้แม่นกว่าคำขวัญอื่นๆ คือ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ เป็นคำขวัญของ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนั้น ผมอายุเพียง 12 ปี กิจกรรมในงานวันเด็กสมัยนั้นก็ไม่แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก  เช่น การจับสลากของขวัญ มีเกมให้เล่นล่ารางวัล มีการแสดงบนเวทีให้ดู มีอาวุธยุทโธปกรณ์แปลกๆ มาแสดงให้ดูให้สัมผัส  มีอาหาร ขนม ไอติม แจกให้รับประทานฟรี ฯลฯ  

งานวันเด็กแห่งชาติ จัดมา 63 ปี แล้ว ไม่รู้สร้างสำนึกให้เด็กในแต่ละสมัยได้จริงหรือปล่าว  ผู้ใหญ่ที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ในวันนี้ ส่วนใหญ่ก็เคยผ่านงานวันเด็กในสมัยที่ท่านเป็นเด็กมาแล้วเกือบทั้งสิ้น แต่ประเทศไทยเรา ก็ยังไม่ก้าวเดินเป็นประเทศพัฒนาเสียที แสดงว่า การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความตระหนักให้แก่เด็กไทยได้เลย

อย่ารักเด็กแค่วันเดียวต่อปี

***************************
ชาติชาย ศึกษิต : 11 ม.ค.2561     

วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

หนึ่งในความเชี่ยวชาญของข้าราชการไทย คือ การจัดกิจกรรม

ปัจจุบัน หน่วยราชการแต่ละกระทรวงทบวงกรม ต้องจัดโครงการและกิจกรรมต่างๆ อย่างหลากหลายเพื่อสนองตอบต่อกิจกรรมวันสำคัญต่างๆ ทั้งในระดับโลก ระดับชาติ รวมทั้งระดับนโยบายของรัฐบาล ตามภารกิจที่เกี่ยวข้อง ส่วนบางโครงการ บางกิจกรรม ก็คิดขึ้นเองบ้าง ฟังชื่อแต่ละโครงการแล้ว ไอเดียกระฉูด "ฟังดูกิ๋บเก๋ บางครั้งก็ยืดยาวจนจำไมได้ " หลังเสร็จกิจกรรมก็ถ่ายรูปรายงาน ลงเฟส ลงไลน์ ลงโซเซียลมีเดียต่างๆ เป็นอันว่าจบกัน  แต่เอาเข้าจริง ไม่รู้ว่ามีการประเมินผลตามหลังหรือไม่ว่า มันสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือไม่ อย่างไร?  

ที่มาของภาพ : http://www.rsinternationalday.com/vendors.html

ประเภทโครงการและกิจกรรมที่หน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดให้มีขึ้น อาจสามารถแยกย่อยได้ตามวาระต่างๆ ได้ ดังนี้  

กิจกรรมตามวันสำคัญของโลก  
  • 4 กุมภาพันธ์  : วันมะเร็งโลก
  • 2 กุมภาพันธ์  : วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก
  • 3 มีนาคม : วันสัตว์ป่าและพืชป่าโลก
  • 8 มีนาคม : วันสตรีสากล
  • 15 มีนาคม : วันสิทธิผู้บริโภคสากล
  • 21 มีนาคม : วันกวีนิพนธ์สากล / วันป่าไม้โลก
  • 22 มีนาคม : วันอนุรักษ์น้ำโลก
  • 23 มีนาคม : วันอุตุนิยมวิทยาโลก
  • 4 เมษายน : วันทุ่นระเบิดสากล
  • 7 เมษายน : วันอนามัยโลก
  • 22 เมษายน : วันคุ้มครองโลก
  • 29 เมษายน : วันเต้นรำสากล
  • 8 พฤษภาคม : วันกาชาดสากล
  • 12 พฤษภาคม : วันพยาบาลสากล
  • 22 พฤษภาคม : วันสากลความหลากหลายทางชีวภาพ
  • 23 พฤษภาคม : วันเต่าโลก
  • 31 พฤษภาคม : วันงดสูบบุหรี่โลก
  • 1 มิถุนายน : วันดื่มนมโลก
  • 5 มิถุนายน : วันสิ่งแวดล้อมโลก
  • 8 มิถุนายน : วันมหาสมุทรโลก หรือวันทะเลโลก
  • 17 มิถุนายน : วันต่อต้านปัญหาภัยแล้งและฝนแล้งของโลก
  • 16 กันยายน : วันโอโซนโลก
  • 21 กันยายน : วันสันติภาพโลก
  • 22 กันยายน : วันแรดโลก /วันปลอดรถสากล (World Car Free Day)
  • 27 กันยายน : วันท่องเที่ยวโลก
  • 28 กันยายน : วันป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโลก
  • 1 ตุลาคม : วันผู้สูงอายุสากล
  • 9 ตุลาคม : วันไปรษณีย์โลก
  • 15 ตุลาคม : วันล้างมือโลก
  • 16 ตุลาคม : วันอาหารโลก
  • 24 ตุลาคม : วันสหประชาชาติ 
  • 1 ธันวาคม : วันเอดส์โลก
  • 3 ธันวาคม : วันคนพิการสากล
  • 5 ธันวาคม : วันดินโลก 
  • 9 ธันวาคม : วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
  • 10 ธันวาคม : วันสิทธิมนุษยชนสากล
  • 15 ธันวาคม : วันชาสากล
กิจกรรมตามวันสำคัญของชาติ 
  • 13 มกราคม : วันการบินแห่งชาติ
  • เสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม : วันเด็กแห่งชาติ
  • 14 มกราคม : วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ
  • 17 มกราคม : วันโคนมแห่งชาติ
  • 2 กุมภาพันธ์ : วันนักประดิษฐ์  / วันเกษตรแห่งชาติ 
  • 13 กุมภาพันธ์ : วันรักนกเงือก
  • 24 กุมภาพันธ์ : วันศิลปินแห่งชาติ
  • 25 กุมภาพันธ์ : วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ
  • 26 กุมภาพันธ์ : วันสหกรณ์แห่งชาติ
  • 13 มีนาคม : วันช้างไทย 
  • 20 มีนาคม : วันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ
  • 1 เมษายน : วันออมสินของไทย
  • 2 เมษายน : วันอนุรักษ์มรดกไทย
  • 12 เมษายน : วันป่าชุมชนชายเลนไทย
  • 13 เมษายน : วันผู้สูงอายุแห่งชาติ (หยุดราชการ)
  • 14 เมษายน : วันครอบครัวไทย (หยุดราชการ)
  • 30 เมษายน : วันคุ้มครองผู้บริโภคไทย
  • 1 พฤษภาคม : วันแรงงานแห่งชาติ (ผู้ใช้แรงงานหยุด)
  • 24 มิถุนายน : วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
  • 26 มิถุนายน : วันสุนทรภู่ / วันต่อต้านยาเสพติด
  • 1 กรกฎาคม : วันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติ 
  • 29 กรกฎาคม : วันภาษาไทยแห่งชาติ
  • 1 สิงหาคม : วันสตรีไทย
  • 4 สิงหาคม : วันสื่อสารแห่งชาติ / วันสัตวแพทย์ไทย
  • 12 สิงหาคม : วันแม่แห่งชาติ (หยุดราชการ)
  • 16 สิงหาคม : วันสันติภาพไทย
  • 18 สิงหาคม : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
  • 19 กันยายน : วันพิพิธภัณฑ์ไทย
  • 20 กันยายน : วันเยาวชนแห่งชาติ / วันอนุรักษ์รักษาคูคลองแห่งชาติ
  • 21 กันยายน : วันประมงแห่งชาติ
  • 28 กันยายน : วันพระราชทานธงชาติไทย
  • 14 ตุลาคม : วันประชาธิปไตย
  • 19 ตุลาคม : วันเทคโนโลยีของไทย
  • 21 ตุลาคม :วันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ / วันพยาบาลแห่งชาติ / วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ / วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ 
  • 31 ตุลาคม : วันออมแห่งชาติ
  • 11 พฤศจิกายน : วันคนพิการแห่งชาติ
  • 14 พฤศจิกายน : วันพระบิดาแห่งฝนหลวง
  • 25 พฤศจิกายน : วันประถมศึกษาแห่งชาติ
  • 27 พฤศจิกายน : วันสาธารณสุขแห่งชาติ
  • 4 ธันวาคม : วันสิ่งแวดล้อมไทย
  • 5 ธันวาคม : วันพ่อแห่งชาติ / วันชาติ 
  • 10 ธันวาคม : วันรัฐธรรมนูญ
  • 16 ธันวาคม : วันกีฬาแห่งชาติ
  • 26 ธันวาคม : วันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ
กิจกรรมตามวันสำคัญของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
  • 8 มกราคม : วันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์
  • 17 มกราคม : วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
  • 19 มกราคม : วันยุทธหัตถี/วันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
  • 31 มีนาคม : วันพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
  • 2 เมษายน : วันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 
  • 5 เมษายน : วันพระราชสมภพ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
  • 6 เมษายน : วันจักรี
  • 25 เมษายน : วันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
  • 29 เมษายน : วันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
  • 9 มิถุนายน : วันอานันทมหิดล
  • 4 กรกฎาคม : วันพระราชสมภพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
  • 13 กรกฎาคม : วันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
  • 28 กรกฎาคม : วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
  • 13 ตุลาคม : วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
  • 21 ตุลาคม : วันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จย่า 
  • 23 ตุลาคม : วันปิยมหาราช 
  • 25 พฤศจิกายน : วันวชิราวุธ 
  • 5 ธันวาคม : วันคล้ายวันพระราชสมภพ รัชกาลที่ 9
  • 7 ธันวาคม : วันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
  • 28 ธันวาคม : วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
กิจกรรมตามวันสำคัญของหน่วยงาน/องค์กร และสาขาอาชีพต่างๆ 
  • 16 มกราคม : วันครู (ข้าราชการครูหยุด)
  • 18 มกราคม : วันกองทัพไทย / วันกองทัพบก 
  • 3 กุมภาพันธ์ : วันทหารผ่านศึก
  • 10 กุมภาพันธ์ : วันอาสารักษาดินแดน
  • 5 มีนาคม : วันนักข่าว
  • 27 มีนาคม : วันที่ระลึกกองทัพอากาศ
  • 1 เมษายน : วันข้าราชการพลเรือน
  • 24 เมษายน : วันเทศบาล
  • 7 สิงหาคม : วันรพี
  • 1 กันยายน : วันสืบ นาคะเสถียร
  • 15 กันยายน : วันศิลป์ พีระศรี
  • 24 กันยายน : วันมหิดล
  • 13 ตุลาคม : วันตำรวจ
  • 20 พฤศจิกายน : วันกองทัพเรือ
  • 1 ธันวาคม : วันดำรงราชานุภาพ
  • วันคล้ายวันสถาปนาหรือวันถือกำเนิดของหน่วยงานตนเอง
  • ฯลฯ
กิจกรรมทางศาสนา ประเพณี วัฒนธรรมและเทศกาล ต่างๆ
  • 1 มกราคม : วันขึ้นปีใหม่ (หยุดราชการ)
  • ห้วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ : วันตรุษจีน
  • ห้วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม : วันมาฆบูชา (หยุดราชการ)
  • 14 กุมภาพันธ์ : วันวาเลนไทน์
  • ห้วงเดือนเมษายน : วันเช็งเม้ง
  • 13 เมษายน : วันสงกรานต์  (หยุดราชการ)
  • ห้วงเดือนพฤษภาคม : วันวิสาขบูชา (หยุดราชการ)
  • ห้วงเดือนพฤษภาคม : วันพืชมงคล (หยุดราชการ)
  • ห้วงเดือนกรกฎาคม : วันอาสาฬหบูชา (หยุดราชการ)
  • ห้วงเดือนกรกฎาคม : วันเข้าพรรษา (หยุดราชการ)
  • ห้วงเดือนกันยายน : วันสารทจีน
  • ห้วงเดือนตุลาคม : วันไหว้พระจันทร์
  • ห้วงเดือนตุลาคม : วันออกพรรษา
  • ห้วงเดือนตุลาคม : เทศกาลกินเจ
  • 31 ตุลาคม : วันฮาโลวีน
  • ห้วงเดือนพฤศจิกายน : วันลอยกระทง
  • 25 ธันวาคม : วันคริสต์มาส
  • 31 ธันวาคม : วันสิ้นปี (หยุดราชการ)
กิจกรรมที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นงานประจำที่มีขึ้นทุกปี ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ที่มักเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวตามนโยบายของรัฐบาล/กระทรวงต้นสังกัด/ของจังหวัด หรือของท้องถิ่น เช่น
  • โครงการจำหน่ายสินค้าราคาถูกให้ประชาชน ในรูปแบบต่างๆ
  • โครงการส่งเสริมศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม 
  • โครงการส่งเสริมประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี
  • โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว
  • โครงการด้านสาธารณสุข เช่น การป้องกันโรค รักษาโรค
  • โครงการช่วยเหลือการกุศลต่างๆ 
  • โครงการเดิน วิ่ง จักรยาน ออกกำลังกาย ส่งเสริมสุขภาพ
  • ฯลฯ  
นักจัดกิจกรรม
ดูกิจกรรมที่ได้รวบรวมมา ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นประจำทุกปี หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวตามนโยบายของผู้บริหาร ส่วนใหญ่หน่วยราชการที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับวันสำคัญหรือกิจกรรมนั้นๆ จะเป็นผู้จัด โดยในแต่ละครั้งก็จะได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้สำหรับจัดกิจกรรมนั้นๆ เป็นการเฉพาะ

ปัจจุบันจึงมีคำกล่าวที่ว่า ความเชี่ยวชาญของข้าราชการไทยส่วนใหญ่  คือ การจัดกิจกรรม การจัดฉากและการสร้างภาพล้วนเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่สำคัญ การเกณฑ์กลุ่มเป้าหมายหรือเครือข่ายต่างๆ มาร่วมงานให้เยอะๆ ยิ่งถือเป็นความสำเร็จ หากปีไหน หัวหน้าหน่วยราชการนั้นๆ จัดกิจกรรมดูดีมีความริเริ่มใหม่ๆ บรรลุตามวัตถุประสงค์ ก็ถือว่าสำเร็จเป็นที่ชื่นชอบของผู้บังคับบัญชา  แต่หากพูดถึงผลสำเร็จระยะยาวและมีความยั่งยืนหรือไม่นั้น ผมไม่กล้าที่จะวิพากย์วิจารณ์ แต่ละหน่วยงานคงรู้ดีอยู่แก่ใจ
     
น่าสงสารผู้บริหาร
ผมดูวาระงานของหัวหน้าหน่วยงานแต่ละท่าน โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดแล้ว น่าสงสาร วันๆ ต้องไปเปิดกิจกรรมนั้น โครงการนี้ ทั้งเช้าสาย-บ่าย-ค่ำ  ทั้งวันเสาร์วันอาทิตย์  ทั้งงานราชการและงานการกุศล ยังไม่รวมการประชุมคณะกรรมการย่อยๆ อีกไม่รู้กี่คณะ เห็นแล้วเหนื่อยแทน ไม่รู้ว่าท่านแบ่งเวลาตอนไหนไปนั่งคิดทบทวนเพื่อพัฒนาอะไรใหม่ๆ ให้กับบ้านเมือง

หลายคนบอกว่า การที่ท่านไปร่วมกิจกรรมหรือโครงการ ก็คือการทำงานอย่างหนึ่งของท่าน  หากงานไหน ท่านไม่ไปร่วมหรือไม่ไปเปิดงานด้วยตนเอง เจ้าของงานถึงกับโกรธกันเลยก็มี

ไม่ชอบฟังเรื่องจริง
ผู้บริหารหรือหัวหน้าหน่วยงานบางแห่ง บางสำนัก มักไม่ค่อยชอบฟังเรื่องจริง ไม่ว่าจะจัดกิจกรรมใดๆ พวกอยู่รอบข้างรอบกายล้วนเอออวย...ว่าสำเร็จไปเสียทั้งหมด งบประมาณการจัดกิจกรรมล้วนถูกละลายทิ้งลงแม่น้ำไป แทบไม่ได้ผลอะไรกลับคืนมา

หากท่านลองลงไปฟังเสียงมดตัวเล็กๆ ที่คลานอยู่ตามพื้นดิน ดูบ้าง ท่านอาจจะได้รับรู้เรื่องราวที่แท้จริง ในบางแง่บางมุมที่ท่านอาจไม่เคยฟัง   



ลองทบทวนการจัดกิจกรรมวันสำคัญในระดับโลก และระดับชาติ ซึ่งจัดกันเป็นประจำทุกปีดู หากกิจกรรมนั้นเกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์จริงๆ แล้ว ประเทศไทย..น่าจะเป็นประเทศที่ศิวิไลซ์ไปนานแล้ว

****************** 
จุฑาคเชน : 9 ม.ค.2561

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทำความเข้าใจเรื่อง "โดรน" ไม่ต้องขึ้นทะเบียนก็บินได้

ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ซื้อ "โดรน" ซึ่งมีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายภาพนิ่งและภาพวิดีโอในมุมสูง เพื่อประกอบการผลิตวิดีโอรายการต่างๆ ของ "สถาบันราชบุรีศึกษา" ซึ่งเป็นสถาบันที่ไม่หวังผลกำไร ทำหน้าที่ในจัดการความรู้ของราชบุรี เพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อไป   แต่ตอนนี้ รู้สึกว่าไปที่ไหน ก็มีแต่เจ้าหน้าที่ทั้งหลายสั่งห้ามไม่ให้บิน โดยไม่มีเหตุผลสมควรว่าเพราะอะไร 
จึงก่อให้เกิดคำถามขึ้นในใจของผมมากมายหลายเรื่อง  



ใครต้องขึ้นทะเบียนบ้าง
สรุปสาระสำคัญของ ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์การขออนุญาตและเงื่อนไขในการบังคับหรือปล่อยอากาศที่ไม่มีนักบิน ประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก พ.ศ.2558 ที่นักบินโดรนทั้งหลายควรทราบ มีดังนี้

โดรน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
  1. ประเภทที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเล่นเป็นงานอดิเรก เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อการกีฬา แบ่งออกเป็น 2 ขนาด คือ
    1. มีน้ำหนัก ไม่เกิน 2 กิโลกรัม
    2. มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม 
  2. ประเภทที่มีวัตถุประสงค์อื่นนอกจากข้อ 1 ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม ดังนี้
    1. เพื่อรายงานเหตุการณ์หรือรายงานการจราจร (สื่อมวลชน)
    2. เพื่อการถ่ายภาพ การถ่ายทำหรือการแสดงในภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์
    3. เพื่อการวิจัยและพัฒนาอากาศยาน
    4. เพื่อการอื่นๆ
โดรนที่ น.น.ไม่เกิน 2 ก.ก. มีวัตถุประสงค์เพื่อเล่นเป็นงานอดิเรก บันเทิง และการกีฬา สามารถบินได้โดยไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่ผู้ควบคุมการบินต้องมีอายุเกินกว่า 18 ปีบริบูรณ์ และปฏิบัติตามเงื่อนไขการบินที่กำหนด  

โดรนที่มี น.น.เกินกว่า 2 ก.ก.แต่ไม่เกิน 25 ก.ก.   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเล่นเป็นงานอดิเรก บันเทิง และการกีฬา สามารถบินได้โดยต้องขึ้นทะเบียน ผู้ควบคุมการบินต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และปฏิบัติตามเงื่อนไขการบินที่กำหนด  

หากใครใช้โดรนไม่ว่าจะมี น.น.เท่าใดก็ตาม  (แต่ไม่เกิน 25 กก.) แต่มีวัตุประสงค์เพื่อรายงานเหตุการณ์ การจราจร ถ่ายภาพภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์  วิจัยและพัฒนาอากาศยาน และเพื่อการอื่นๆ ต้องขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น โดยแยกดังนี้
  1. เพื่อรายงานเหตุการณ์หรือการจราจร (สื่อมวลชน) ผู้ขึ้นทะเบียนต้องเป็นนิติบุคคล
  2. เพื่อการถ่ายภาพ การถ่ายทำหรือการแสดงในภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์ ผู้ที่ขึ้นทะเบียนสามารถเป็นบุคคลธรรมดา (อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี)  หรือนิติบุคคล ก็ได้
  3. เพื่อการวิจัยและพัฒนาอากาศยาน ผู้ขึ้นทะเบียนต้องเป็นนิติบุคคล
  4. เพื่อการอื่นๆ ผู้ที่ขึ้นทะเบียนสามารถเป็นบุคคลธรรมดา (อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี) หรือนิติบุคคล ก็ได้
สำหรับเงื่อนไขการบินที่กำหนด ก็คือข้อปฏิบัติก่อนทำการบิน ระหว่างทำการบิน รวมทั้งข้อห้ามต่างๆ ซึ่งผู้ที่บินโดรน ควรศึกษาให้ดี 

ไม่ต้องขึ้นทะเบียน ก็บินได้
ผมอายุ 56 ปี ใช้โดรน ยี่ห้อ DJI รุ่น Phantom3 Standard น้ำหนักรวมแบตเตอรี่ 1.216 ก.ก. บินเพื่อการบันเทิง เช่น เวลาเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ อย่างนี้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียน เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการบินที่กำหนด  และต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ที่จะทำการบินเสียก่อน เช่น
  • หากจะถ่ายภาพมุมสูงในอุทยานแห่งชาติ ก็ต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าอุทยานฯ เสียก่อน
  • หากจะถ่ายภาพมุมสูงของวัดวาราอาราม ก็ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสฯ เสียก่อน
  • ฯลฯ
แต่หากจะบินถ่ายภาพความสวยงามของบ้านเมือง ตึกรามบ้านช่อง หมู่บ้าน ชุมชน หรือพื้นที่ที่มีคนมาชุมนุมอยู่ ต้องไม่บินเหนือสิ่งเหล่านี้  เพราะเป็นข้อห้าม (หากบินถ่ายภาพจากด้านข้าง ผมว่าน่าจะได้ครับ แต่ต้องห่างมากกว่า 30 เมตร และต้องไม่สูงเกิน 90 เมตร) 

บินงานกิจกรรมได้หรือไม่
กิจกรรมบางกิจกรรม สมควรที่จะมีการบันทึกภาพมุมสูงไว้ เช่น การเดิน-วิ่ง การขี่จักรยาน แข่งรถ แข่งเรือ ฯลฯ   ผมว่าสามารถบินได้นะครับ เพราะเป็นเรื่องของการกีฬา แต่ต้องขอนุญาตจากผู้จัดกิจกรรมเสียก่อน  ส่วนงานบวช งานแต่งงาน หรืองานประเพณีต่างๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เจ้าภาพคงให้บินอยู่แล้ว  โดยผู้ที่มีโดรน น.น.ไม่เกิน 2 ก.ก. สามารถบินได้เลย (ไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียน)  แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการบินและข้อห้ามที่กำหนดไว้ในกฏหมาย     
   
ประกันภัยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท
เงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนต่างๆ ผมพอที่จะทำได้อยู่ครับ แต่มีอยู่ข้อหนึ่งคือ กรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งคุ้มครองความเสียหายอันเกิดแก่ร่างกาย ชีวิต ตลอดจนทรัพย์สินของบุคคลที่สาม วงเงินประกันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อครั้ง นี่แหละที่ทำให้ผมมีปัญหา  

รู้สึกแย่จัง ผมไม่ได้ซื้อโดรนเพื่อมาทำธุรกิจ เงินซื้อโดรนก็เงินของผมเอง ไหนจะต้องมาจ่ายค่าเบี้ยประกันอีกอย่างน้อยก็หลายพันบาทต่อปี แล้วก็ไม่รู้ว่า บริษัทประกันภัยใกล้บ้านเขาจะยอมทำประกันให้หรือปล่าว (เห็นเขาว่าต้องทำประกันกับบริษัทฯ ตามที่ทางราชการกำหนดไว้เท่านั้น ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน)



ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนวัตถุประสงค์การบินโดรน จากการถ่ายภาพประกอบการผลิตรายการเป็นการบินเพื่อการบันเทิงแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องขึ้นทะเบียน เพราะโดรนของผม น.น.ไม่เกิน 2 ก.ก.

ที่ผมเขียนมายืดยาวนี้ มุ่งประสงค์เพื่อให้บรรดาข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฏหมายได้ทราบว่า  การบินโดรนนั้น สามารถบินได้ เจตนารมย์ของกฏหมายไม่ได้ริดรอนสิทธิของการบินโดรน ไม่ใช่เอะอะก็สั่ง "ห้ามบิน" อย่างเดียว โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร     
  

***************************
จุฑาคเชน 9 พ.ย.2560

อ่านเพิ่มเติม จิตอาสา..รับบินโดรนเพื่อประโยชน์ทางสังคม

วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลานเอ๋ย..ยายจะทำยังไงดี ยายคงได้แต่มอง

ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค.2560 เป็นวันที่พสกนิกรชาวไทยทุกคนเฝ้ารอคอยที่จะได้มีโอกาสถวายดอกไม้จันทน์เป็นครั้งสุดท้าย แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  รัชกาลที่ 9  ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย 

เปิดโอกาสให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทุกสถานที่ ร่วมถวายดอกไม้จันทน์
พระเมรุมาศองค์จริงที่ใช้ประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ อยู่ที่ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ และยังมีพระเมรุมาศจำลองอยู่ในเขตกรุงเทพฯ อีก 7 แห่ง ตามจังหวัดต่างๆ อีก 76 แห่ง นอกจากนั้น ยังมีซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ขนาดใหญ่ กลาง และเล็กในแต่ละอำเภอและแหล่งชุมชนที่สำคัญอีกจำนวนมาก รวมถึงในต่างประเทศอีกหลายประเทศ  

สรุปได้ว่า พสกนิกรผู้จงรักภักดีไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด สามารถร่วมถวายดอกไม้จันทน์ได้อย่างสะดวกใกล้บ้านและสถานที่ทำงานของตัวเอง  ไม่จำเป็นต้องเดินทางเข้าไปยังมณฑลพิธีที่กรุงเทพฯ  

ที่มา คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

กำหนดการเข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์
สำหรับประชาชนสามารถเริ่มถวายดอกไม้จันทน์ได้ทุกสถานที่ ทั้งพระเมรุมาศหลัก พระเมรุมาศจำลอง หรือซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ต่างๆ เริ่มตั้งแต่เวลา 09:00 น.เป็นต้นไปถึง 16:30 น. ส่วนเวลา 16:30-18:30 น. หยุดถวายดอกไม้จันทน์เพื่อเข้าสู่พระราชพิธีฯ ผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดก็ชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์มาจากส่วนกลาง และจะเริ่มถวายดอกไม้จันทน์อีกครั้ง หลัง 18:30 น.เป็นต้นไป จนถึง 22:00 น.


ที่มา คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

การแต่งกาย
เป็นไปตามภาพด้านบน การแต่งกายนี้แหละกำลังเป็นปัญหาสำคัญที่หลายคนเป็นกังวลอาจไม่สามารถเข้าร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ได้ เพราะไม่มีร้องเท้าสุภาพหุ้มส้นสีดำ อีกเสื้อก็ต้องดำด้วย เสื้อขาวก็ใช้ไม่ได้  

ผมได้คุยกับยายท่านหนึ่ง หลังที่แกทราบข่าวเรื่องการแต่งกายแล้ว แกบอกกับผมว่า

"หลานเอ๋ย..ยายจะทำยังไงดี ยายคงได้มอง" 

เพราะเกิดมา ยายแกไม่เคยใส่รองเท้าหุ้มส้นเลย ที่แกมีใส่ตอนนี้ ก็แค่รองเท้าสานสีดำ  ที่หลานๆ ซื้อให้ใส่  ยิ่งกระโปรงแล้ว ในชีวิตแกไม่เคยใส่เลย  แต่ถ้าเป็นผ้าถุงหรือผ้าซิ่นสีดำสวยๆ แกยังพอมีใส่  

ผมตอบยายไปว่า คงไม่ใช่หรอกครับ การแต่งกายที่ว่านั้นคงใช้เฉพาะในพระราชพิธีที่ท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นพิธีระดับชาติ  ส่วนตามต่างจังหวัด ต่างอำเภอ อย่างบ้านเรา ที่มีทั้งชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน  ชาวเขา ชาวดอย ชาวมอญ ชาวกระเหรี่ยง ชาวลาว และชาวไทยพื้นถิ่นต่างๆ  ทางราชการคงพออนุโลมได้หรอกครับ  เช่น แต่งกายพื้นถิ่นไว้ทุกข์ตามชาติพันธ์ของตนเอง เป็นต้น แต่ขอให้สุภาพก็แล้วกัน  ยายไม่ต้องห่วง  เดี๋ยวทางจังหวัดคงปรับเรื่องการแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพแต่ละท้องถิ่น อีกครั้งแหละครับ 

"ยาย..ต้องได้ถวายดอกไม้จันทน์แด่พระองค์ท่าน ด้วยมือของยาย อย่างแน่นอน.."

ที่มา คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ผมนึกในใจว่า...
หากต้องใช้รองเท้าหุ้มส้นจริงๆ ผมคงต้องหาซื้อรองเท้าให้ยายแกใส่สักคู่แน่เลยครับ แล้วฝึกให้แกหัดเดิน 
แต่กระโปงดำนี่ซิ กลัวแกจะไม่ยอมนุ่ง    

*****************************
ชาติชาย คเชนชล 17 ต.ค.2560

วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560

"วันบุรฉัตร" เป็นวันที่หน่วยงานทั้งหลายต้องคิดทบทวน


พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระราชโอรส องค์ที่ 35 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสิ้นพระชนม์ในวันที่ 14 กันยายน 2479 ขณะพระชนมายุเพียง 55 ปี วันนี้ทางราชการจึงกำหนดให้เป็น "วันบุรฉัตร" ผมขอสรุปประวัติของพระองค์ฯ พอสังเขปเพื่อทราบดังนี้ 
  • พระชนมายุ 20 ปี เป็นร้อยตรี เหล่าทหารช่าง หลังจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสและประเทศอังกฤษ
  • พระชนมายุ 23 ปี กลับมาเป็นพันตรีเหล่าทหารช่าง
  • พระชนมายุ 27 ปี ดำรงตำแหน่งจเรทหารช่าง (พระองค์แรก)
  • พระชนมายุ 36 ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น "ผู้บัญชาการรถไฟ" อีกตำแหน่งหนึ่ง นอกเหนือจากหน้าที่ทางราชการทหาร พระองค์ได้บริหารงานด้วยพระปรีชาสามารถทรงนำวิชาการสมัยใหม่ เข้ามาใช้ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่กิจการรถไฟอย่างมาก จนได้รับการขนานพระนามว่า  " พระบิดาแห่งกิจการรถไฟสมัยใหม่ "  
  • พระชนมายุ 41 ปี ทรงขอพระบรมราชานุญาตในการออกพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟ และทางหลวง พุทธศักราช  2465 เพื่อเป็นการวางหลักการบริหารกิจการรถไฟของประเทศให้มีระเบียบยิ่งขึ้น
  • พระชนมายุ 45 ปี ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมและเป็นนายกสภาเผยแผ่พาณิชย์
  • พระชนมายุ 49 ปี ทรงริเริ่มนำวิทยาการด้านการสื่อสารเข้ามาใช้การพัฒนาประเทศ ทรงตั้งเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงทดลองขนาดเล็ก และสั่งเครื่องวิทยุกระจายเสียงคลื่นสั้นเข้ามาทดลอง ทรงเปิดการกิจการส่งวิทยุกระจายเสียงเป็นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2473 ใช้ชื่อสถานีว่า "สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท" และถือว่าเป็นบุคคลแรกของสยาม ที่ต้องการให้ประเทศสยามมีการส่งเทเลวิชั่น (วิทยุโทรทัศน์) ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสยามได้เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475
  • พระชนมายุ 49 ปี ทรงก่อตั้งสโมสรโรตารีแห่งแรกในประเทศไทยขึ้น เรียกชื่อว่า "สโมสรโรตารีกรุงเทพ" 
  • พระชนมายุ 50 ปี  ทรงดำรงตำแหน่งอภิรัฐมนตรีสภา ทำหน้าที่ปรึกษาราชการในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 7 
  • พระชนมายุ 52 ปี ทรงลาออกจากราชการและเสด็จไปประทับ ณ ประเทศสิงคโปร์ พร้อมกับครอบครัว (น่าจะเป็นผลพวงมาจากการยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ของคณะราษฎร)          
  • พระชนมายุ  55 ปี  ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคพระทัยวาย ณ โรงพยาบาลในประเทศสิงค์โปร์
พระองค์เจ้าชายบุรฉัตรไชยากรฯ นอกจากจะทรงรับราชการทหารแล้ว ยังทรงรับราชการสนองพระเดชพระคุณและทรงวางรากฐานในกิจการด้านอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว เช่น การออมสิน การโรงแรม การสหกรณ์ การพาณิชย์ การท่องเที่ยว การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ และการบินทหารบก

(ท่านใดต้องการอ่านพระราชประวัติโดยละเอียด สามารถค้นหาได้จากอินเตอร์เน็ต)



น่าเสียดายเวลาที่เสียไป
นับตั้งแต่วันที่ พระองค์ท่านและครอบครัว ต้องเสด็จออกจากประเทศไทยและทรงสิ้นพระชนม์ที่ประเทศสิงค์โปร์ ถึงปัจจุบันแล้วเป็นเวลา 81 ปี แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงริเริ่มและวางรากฐานไว้ หลายกิจการไม่ได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็น ดังเช่น กิจการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น

ดังนั้น "วันบุรฉัตร" จึงควรเป็นวันที่หน่วยงานทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง ต้องหันมาพิจารณาทบทวนดูว่า "สิ่งใดที่ขาดหายไป" จึงทำให้เจตนารมย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5,6 และ 7 ที่ทรงรับสั่งผ่านทางพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากรฯ จึงไม่ประสบความสำเร็จ


มีคนกล่าวว่า "ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนา" แต่
"ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ได้แค่นี้"  
คำกล่าวนี้ เห็นท่าจะจริง....           



********************************
ชาติชาย คเชนชล : 14 ก.ย.2560

วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จิตอาสา..รับบินโดรนเพื่อประโยชน์ทางสังคม

เมื่อปลายเดือน พ.ค.2560 ผมได้ตัดสินใจซื้อโดรน รุ่น Phantom 3 standard ซึ่งผลิตโดย DJI ราคาเกือบ 20,000 บาท (ตามเงินที่พอจะเก็บออมไว้ได้) หลังจากนั้นก็ซื้อแบตเตอรี่และอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ เพิ่มเติมอีก ตอนนี้รวมแล้วเกือบ 30,000 บาท เหตุผลที่ผมซื้อก็คือ ผมอยากบิน และอยากถ่ายภาพทางอากาศ 

ความฝันที่ผมอยากบิน มีมาแต่ตั้งเด็กๆ พอจบโรงเรียนเตรียมทหาร ผมตั้งใจอยากไปเป็นนักบินทหารอากาศ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปเพราะห่วงบ้านที่ราชบุรีจึงตัดสินใจเป็นทหารบก  พอผมจบโรงเรียนนายร้อย ผมก็สมัครเป็นนักบินทหารบกอีกครั้ง แต่ผู้บังคับบัญชาสมัยนั้นไม่ให้ไป เนื่องจากขาดคนทำงาน อดครับ...

ต่อมาประมาณปี 2539 ผมสานต่อความฝัน ผมฝึกเล่นร่มบิน (Paramotor) ซึ่งเท้าลอยพ้นพื้น ชีวิตแขวนอยู่กับร่มและเครื่องยนต์ เล่นอยู่สักพักต้องเลิกเพราะตอนนั้น ผมมีลูกแล้ว 2 คน หากผมเป็นอะไรขึ้นมา พวกเขาคงลำบาก ต่อจากนั้น ผมก็หันมาเล่นเครื่องบินบังคับด้วยวิทยุทั้งเครื่องบินปีกและเฮลิคอปเตอร์  จนพังเสียหายไปหลายลำอีกเช่นกัน



ซาก ฮ.บังคับ ลำหนึ่งในเครื่องบินบังคับอีกหลายลำ
ที่ผมเก็บไว้เป็นพิพิธภัณฑ์

โดรน เติมฝันให้เป็นจริง
ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมด้านการออกแบบอากาศยานที่ทันสมัย ทำให้ "เจ้าโดรน" สามารถเติมความฝันของผมให้สมบูรณ์ ด้วยวิธีการบังคับที่ง่ายและถ่ายภาพได้สวยงาม โดรนจึงเป็นฝันของผู้รักการบินหลายคน หลายคนซื้อมาเพื่อบินเป็นงานอดิเรก  หลายคนก็ซื้อมาบินเพื่อประกอบอาชีพรับจ้างถ่ายภาพมุมสูง 

การใช้โดรนในประเทศไทยเชิงธุรกิจ
การถ่ายภาพมุมสูงเชิงธุรกิจเกิดขึ้นจากสื่อมวลชน  โดยสื่อมวลชนเจ้าแรกๆ จะใช้เฮลิคอปเตอร์บินเพื่อถ่ายภาพประกอบข่าว โดยเอานักข่าวและช่างภาพขึ้นไปนั่ง บน ฮ. เช่น Sky report ของช่อง 3 และเหยี่ยวข่าว 7 สี  ส่วนใหญ่ใช้รายงานข่าวเกี่ยวกับการเกิดอุทกภัย การเกิดไฟไหม้ป่า การบุกรุกป่าสงวน เป็นต้น แต่วิธีนี้สิ้นเปลืองทรัพยากรจำนวนมาก ต่อมาจึงมีสื่อมวลชนที่มีงบประมาณน้อย เริ่มนำโดรนเข้ามาใช้ ซึ่งประหยัดกว่า แต่สามารถถ่ายภาพมุมสูงที่มีคุณภาพพอๆ กัน ตั้งแต่นั้นมาเจ้าโดรนก็มีบทบาทสำคัญแพร่กระจายเข้าไปสู่การใช้ประโยชน์ในเกือบทุกวงการ 

ต่อมาการถ่ายภาพมุมสูงด้วยโดรน  มาเป็นที่นิยมมากๆ อีกครั้งเมื่อปลายปี 2559 โดยใช้ในการถ่ายภาพมุมสูงการแปลอักษรของพสกนิกรชาวไทยเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณฯ ของรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเสด็จสวรรคต 

ปัจจุบัน โดรนใช้ถ่ายภาพมุมสูงในงานกิจกรรมต่างๆ อย่างหลากหลาย อาทิ การถ่ายทำ Landscape เพื่อโฆษณา การบันทึกภาพมุมสูงในงานพิธีต่างๆ งานเปิดตัวสินค้า งานคอนเสิร์ต งานรับจ้างถ่ายภาพ รวมไปถึงการถ่ายทำภาพยนตร์ 

อาชีพรับจ้างถ่ายภาพด้วยโดรน ปัจจุบันถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่สามารถทำรายได้อย่างงาม แต่ก็ไม่รู้จะอยู่กันได้นานหรือไม่ เพราะโดรนตอนนี้ มีราคาถูกลง ผู้คนเริ่มแห่ซื้อโดรนมารับจ้างทำมาหากินกันมากขึ้น เกิดอาการธุรกิจแบบเดิมๆ คือ แย่งลูกค้าและตัดราคากันเอง     

โดรน..เพื่อประโยชน์แก่สังคม
เมื่อปี พ.ศ.2555-2559 ผมทำงานเกี่ยวกับการค้นหาทุ่นระเบิดที่ตกค้างจากการสู้รบในสมัยก่อน ซึ่งมันยังคงฝังอยู่ในแผ่นดินไทยตามแนวชายแดนทั่วประเทศกว่า 17 จังหวัด  ตอนนั้นผมอยากได้โดรนมาก ซึ่งมันจะทำให้พวกเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดของทางราชการหลายอย่าง ลองอ่านรายละเอียดดูได้ใน "อยากได้จริงๆ ครับ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี"   ครับ


โดรน สามารถช่วยให้การปฏิบัติภารกิจในงานด้านต่างๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ
  1. การบินสำรวจสถานการณ์อุทกภัย ไฟไหม้ป่า หรือภัยพิบัติต่างๆ 
  2. การบินช่วยค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีบริเวณกว้าง
  3. การบินสำรวจแหล่งทรัพยากรต่างๆ เช่น น้ำ ป่า พืชพรรณไม้ แนวปะการัง ฯลฯ 
  4. การบินสำรวจการทำประมงที่ผิดกฏหมาย    
  5. การบินสำรวจการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติ หรือที่ราชพัสดุ
  6. การบินช่วยติดตามและค้นหาเป้าหมายที่ต้องการ เช่น ผู้ร้ายหลบหนีไปในพื้นที่ป่าหรือทุ่งนาที่มีบริเวณกว้าง
  7. ช่วยในงานวิจัยต่างๆ ที่จำเป็นต้องถ่ายภาพมุมสูง หรือสถานที่สูงๆ
  8. ช่วยถ่ายภาพทางอากาศเพื่อวางแผนการพัฒนาพื้นที่ให้แก่องค์กร 
  9. ฯลฯ
จิตอาสา รับบินโดรน
เมื่อก่อนผมต้องการโดรน แต่ผมก็ไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมาซื้อใช้ หรือจ้างเขามาบินฯ 
แต่วันนี้ ผมมีโดรนแล้ว ผมจึงอยากที่จะแบ่งปัน ผมยินดีอาสาที่บินโดรนให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แก่หน่วยงาน องค์กร สถาบัน มูลนิธิ กลุ่ม หรือชมรมใดๆ ก็ตามที่มีความจำเป็นต้องใช้โดรนช่วยเหลือในงานเป็นครั้งคราว แต่ขาดงบประมาณในการจ้าง โดยขอให้เป็นภารกิจเพื่อสังคมและสาธารณะ ขอได้โปรดติดต่อมายังผมโดยตรง หรือส่งหนังสือมาที่ 

สถาบันราชบุรีศึกษา 
20/24 ถ.สมบูรณ์กุล ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี 70000 

แต่ต้องเป็นภารกิจเพื่อสังคมส่วนรวมนะครับ 
ค่าใช้จ่ายที่อาจมีก็คือค่าน้ำมันรถที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ปฏิบัติงานนั้นๆ ตามที่เกิดขึ้นจริง 

แต่หากท่านใดต้องการบินโดรนเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจแล้ว โปรดติดต่อผู้ที่มีอาชีพรับบินโดรนโดยตรง ซึ่งทางสถาบันฯ ขอสงวนสิทธิในการพิจารณาภารกิจที่ขอมาว่าเป็นไปเพื่อสังคมหรือไม่ โดยการพิจารณาของสถาบันฯ ถือเป็นที่สิ้นสุด


******************************   
ผลงานผมครับ : มือใหม่หัดบิน
วัดมหาธาตุวรวิหาร@ราชบุรี มุมสูง



วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เหตุเกิดหน้าห้างแพลตตินั่ม : ผิดที่ใคร

เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2560 ประมาณเกือบห้าโมงเย็น หลังจากที่ผมและครอบครัว เสร็จสิ้นจากจับจ่ายใช้สอยในห้างแพลตตินั่ม ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร แล้ว ก็พากันออกมายืนเข้าคิวรอรถแท็กซี่บริเวณฟุตบาทหน้าห้างฯ ที่จัดไว้ให้ 

เชื่อไหมครับ  กว่าผมจะได้นั่งแท็กซี่ เล่นเอาเกือบหกโมงเย็น นับเวลารอแล้วเกือบ 1 ชั่วโมง

เลนที่จัดไว้สำหรับให้รถแท็กซี่เข้ามารับผู้โดยสาร

ไม่มีแท็กซี่เข้ามาในเลนที่จัดไว้ให้
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะไม่มีแท็กซี่เข้ามารับผู้โดยสารในเลนที่จัดไว้ให้ นานๆ จะเข้ามาซักคัน มีแต่รถตุ๊กๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีผู้โดยสารขึ้นเท่าใดนัก  ส่วนใหญ่ต้องการแท็กซี่มากกว่า 

มองแท็กซี่แต่ละคัน ก็ลุ้นว่าจะมีคันไหนเข้ามาบ้าง หลายคันก็ผ่านไป ทั้งๆ ที่ป้ายสถานะบอกว่า "ว่าง" 
ตอนนี้ผมอยู่ประมาณคิวที่ 8 มีชาวต่างชาติหลายคนต่างเข้าคิวรอด้วยกับผม ผมคิดในใจว่าหากเป็นเช่นนี้ คงมืดแน่ครับ  

เข้ามาแต่ไม่ไป
มีบางคันเข้ามาครับ แต่พอผู้โดยสารบอกสถานที่ที่จะไป ก็ออกไปเลย ไม่ยอมรับผู้โดยสาร 

ผมถามยามว่า "ทำไม? แท๊กซี่ไม่ค่อยเข้ามารับผู้โดยสาร และบางคันพอเข้ามาแล้วก็ไม่ยอมไป" 
ก็ได้รับคำตอบว่า "เขาไม่อยากรับครับ  บางคันกลัวไปส่งรถเปลี่ยนกะไม่ทัน เพราะรถมันติดมาก"

บางคนรอแท๊กซี่ไม่ไหว ตัดสินใจขึ้นรถตุ๊กๆ แทน

จอดอยู่ข้างนอกถามก่อนว่าผู้โดยสารจะไปที่ไหน
ตอนนี้ผมถึงคิวที่ 4 แล้ว มีแท๊กซี่อยู่คันหนึ่งจอดอยู่ข้างนอก (ไม่เข้าเลน) ปิดมิเตอร์ ไม่แสดงสถานะว่า "ว่าง" ตะโกนถามยามว่า ผู้โดยสารจะไปที่ไหนกันบ้าง  คิวที่ 1, 2 และ คิว 3 บอกสถานที่ที่จะไป แต่ปรากฏกว่าเเท๊กซี่คันนั้นไม่ยอมไปสักคน พอถึงผมคิว  4 ผมบอกว่าจะไปที่หอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แท๊กซี่คันนั้น ก็บอกว่าไป ผมและครอบครัวจึงได้ขึ้นรถ

ยามก็รู้สึกกังวลแทนพวกเรา เพราะไม่มีรถแท็กซี่เข้ามาเสียที
ขอเงินหลังมิเตอร์ 20 บาท
พอผมขึ้นรถ แท๊กซี่คันนั้นบอกว่า ขอเงินหลังมิเตอร์ 20 บาท และขอไม่เปิดมิเตอร์ ผมจึงทักท้วงขอให้เปิดมิเตอร์  แท๊กซี่คันนั้นถึงเปิด โชว์เฟอร์เห็นผมท่าทางเอาจริง เลยแก้ตัวว่า ที่ไม่เปิดมิเตอร์ และแสดงสถานะว่า "ว่าง" ก็เพราะมีพวกหัวหมอ พอเรียกผมแล้ว ผมไม่ยอมไป ก็โทร.แจ้ง หาว่าผมปฏิเสธผู้โดยสาร ผมเลยซวยไปด้วย  ผมชอบรับฝรั่งครับ ไม่ต้องเปิดมิเตอร์ ได้เงินดี ทิปดี ไม่เรื่องมาก ...

งานนี้ สรุปได้ว่า ไม่มีใครผิดหรือผิดที่ใคร เพราะทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองทั้งหมด
ตัวผมเองพอจะเข้าใจนิสัยคนไทยได้... 
แต่ชาวต่างชาติ นี่สิ เขาจะมองเราอย่างไร...
น่าคิดนะครับ

****************
จุฑาคเชน 3 พ.ค.2560 


วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รู้ว่า..วันนี้ต้องมาถึง



ผมเคยคิดในใจเงียบๆ เสมอมาว่า วันนี้ ต้องมาถึง...
ผมเตรียมทำใจให้ยอมรับไว้เสมอ แล้วมันก็มาถึงจริงๆ ...
แม้จะเตรียมทำใจไว้แล้วก็ตาม  ความรู้สึกหดหู่ สูญเสีย และอ้างว้าง  มันก็ยังคงปกคลุมจิตใจของผมอยู่ดี แม้ว่าภายนอกผมจะดูเข้มแข็ง แต่ในใจกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่าตอนที่ผมสูญเสียพ่อของผมเองเสียอีก

หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา แผ่นดินไทยไม่เคยสงบอย่างจีรัง ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง ผลัดเปลี่ยนแย่งชิงอำนาจการปกครองกันมาโดยตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ.2489 พี่ชายซึ่งเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ท่าน ก็ต้องจากพระองค์ท่านไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยพิษสงของอำนาจดังกล่าว 

"ภาระความเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย จึงตกอยู่ที่พระองค์ท่านตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ท่ามกลางมนต์ดำแห่งความกระหายอำนาจของบุคคลหลายกลุ่มในประเทศไทย"




เหตุการณ์ร้ายในสมัยพระองค์
เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ท่าน  จากความหลงในมนต์ดำของอำนาจและความอยากเป็นผู้ปกครองของบรรดาคนไทยด้วยกันเอง พอที่จะสรุปเรียบเรียงได้ ดังนี้ 
  • พระชนมายุ 19 พรรษา 9 มิ.ย.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 สวรรคต (ดูรายละเอียด) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงขึ้นครองราชย์ เป็นรัชกาลที่ 9
  • พระชนมายุ 20 พรรษา 8 พ.ย.2490 การรัฐประหาร นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 21 พรรษา  6 เม.ย.2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พ.ย.2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
  • พระชนมายุ 21 พรรษา 1 พ.ย.2491 กบฎแบ่งแยกดินแดน (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 22 พรรษา 26 ก.พ.2492 กบฏวังหลวง (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 24 พรรษา 29 มิ.ย.2494 กบฏแมนฮัตตัน (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 24 พรรษา 29 พ.ย.2494 การรัฐประหาร นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 25 พรรษา 10 พ.ย.2495 กบฏสันติภาพ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 30 พรรษา 16 ก.ย.2500 การรัฐประหาร นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
  • พระชนมายุ 31 พรรษา 20 ต.ค.2501 การรัฐประหารเงียบ นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร (ดูรายละอียด)
  • พระชนมายุ 38 พรรษา 7 ส.ค.2508 วันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก (ดูรายละเอียด) เหตุการณ์พรรคคอมมิวนิสต์สงบลงในปี พ.ศ.2525
  • พระชนมายุ 44 พรรษา 17 พ.ย.2514 การรัฐประหาร  โดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 46 พรรษา 14 ต.ค.2516 วันมหาวิปโยค เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ขับไล่ จอมพลถนอม กิตติขจร  จอมพลประพาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร   (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 49 พรรษา 6 ต.ค.2519 การต่อต้านการเดินทางกลับประเทศไทยของ จอมพลถนอม กิตติขจร การรัฐประหาร นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 50 พรรษา 26 มี.ค.2520 กบฎพลเอกฉลาด (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 50 พรรษา 20 ต.ค.2520 การรัฐประหาร นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 
  • พระชนมายุ 64 พรรษา 23 ก.พ.2534 การรัฐประหาร นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 65 พรรษา พ.ศ.2535 เกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 78 พรรษา พ.ศ.2548 เกิดปรากฏการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาชนแบ่งแยกออกเป็น "เสื้อเหลือง" และ "เสื้อแดง" (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 79 พรรษา 19 ก.ย.2549 ปฏิวัติ นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 86 พรรษา พ.ศ.2556 เกิดปรากฏการณ์ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)(ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 87 พรรษา 22 พ.ค.2557 การรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (ดูรายละเอียด)
ที่นำมาเรียบเรียงก็เพื่อให้เห็นว่า ตลอดพระชนมายุของพระองค์ท่านที่ทรงครองสิริราชสมบัติ มีเรื่องราวที่ก่อให้เกิดความยากลำบากต่อพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านหลายครั้งหลายครา  พระองค์ไม่ได้มีความสุขอย่างที่พวกเราคิด  พระองค์ท่านได้ทรงประคับประคองราชอาณาจักรไทยจนกระทั่งสามารถผ่านร้อน ผ่านหนาวมาได้หลายครั้งหลายครา จากการแย่งชิงอำนาจของบรรดากลุ่มคนไทยด้วยกันเอง และจากปากเยี่ยวปากกาของชาวต่างชาติทั้งหลายที่ต้องการจะยึดครองราชอาณาจักรไทย 



แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ท่านก็ไม่วายที่จะทรงตรากตรำพระวรกายเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ทั่วประเทศไม่เว้นแม้แต่ในถิ่นทุรกันดาร  เพื่อหาทางช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้ราษฎรของพระองค์ท่าน มีความกินอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเกิดโครงการตามแนวพระราชดำริจำนวนมากมายหลายโครงการ ดังเช่นปัจจุบัน

นักต่อจากนี้ ลูกๆ ของพ่อน่าจะหยุดทะเลาะกันได้แล้ว
ดวงพระวิญญาณของ "พ่อ" คงไม่อยากเห็น "ลูกๆ" ทะเลาะเบาะแว้งกันอีก 

เศรษฐกิจพอเพียง ที่ยังไม่สำเร็จ
ตั้งแต่ พ.ศ.2517 เป็นต้นมา พระองค์ท่านทรงเล็งเห็นว่ากระแสเศรษฐกิจทุนนิยมและบริโภคนิยมกำลังแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก พระองค์ท่านจึงได้เริ่มเผยแพร่ "แนวคิดปรัชญาเศรษกิจพอเพียง" ให้แก่ประเทศไทย 

“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (18 กรกฎาคม 2517) (ดูรายละเอียด)




หลายปีผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ในทัศนะส่วนตัวแล้ว ผมยังเห็นว่าแนวทางการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของคนไทย ยังถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จ  พวกเราทำได้แต่เปลือกนอก ยังไม่ถึงแก่นที่แท้จริง สังเกตได้จากพฤติกรรมการบริโภคนิยมและวัตถุนิยมของลูกหลานชาว Generation Z ของเราส่วนใหญ่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่หน่วยงานภาคราชการพยายามสร้างและพัฒนาขึ้น ล้วนไม่มีความมั่นคงและยั่งยืน ประเทศไทยยังตกอยู่ภายใต้เศรษฐกิจของทุนนิยม 

ดังนั้น...หากพวกเรารักพระองค์ท่านจริง จงพยายามยึดมั่นแนวทางการดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านไว้เป็นสำคัญ และช่วยสร้างให้มันเป็นจริงอย่างยั่งยืน 

สิ่งที่ผมทำได้
ผมเป็นเพียงข้าราชการเล็กๆ คนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีอำนาจบารมีอะไรมากนัก แต่สิ่งที่ผมคิดว่า ผมจะทำให้ดีที่สุดตอนนี้ ก็คือ คำสัตย์ปฎิญาณที่ผมเคยให้ไว้ต่อพระองค์ท่าน ที่กล่าวว่า

"ข้าพระพุทธเจ้า จะประพฤติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่ แก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดำเนินชีวิตโดยยึดมั่น ในหลักธรรมคำสอนแห่งศาสนา และตามแนวทางในพระบรมราโชวาท ตลอดไป"

แผ่นดินไทยจะเจริญหรือเสื่อมสลาย ก็เพราะข้าราชการอย่างพวกเรานี้แหละ ที่จะต้องเป็นเสาหลักสำคัญของแผ่นดิน หากเป็นเช่นนี้แล้ว ดวงพระวิญญาณพระองค์ท่านจะได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินสู่สวรรคาลัย ด้วยความสุขพระราชหฤทัยสืบไป

***********************
ชาติชยา ศึกษิต

จำขึ้นใจ ข้าราชการที่ดี (https://www.youtube.com/watch?v=sDfO0CQnc8k)