แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การศึกษา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การศึกษา แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561

อย่ารักเด็กแค่วันเดียวต่อปี หากรักเด็กจริงต้องสร้างครู

รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี
เป็นคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ  ประจำปี 2561 ของ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 29 ซึ่งมอบให้เด็กๆ สมัยปัจจุบัน นำไปใช้เป็นแนวทางในการประพฤติและปฏิบัติตัว 




งานวันเด็กแห่งชาติ เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2498 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยข้อเสนอของ นาย วี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ในขณะนั้น (อ่านรายละเอียด ซึ่งพอที่จะสรุปวัตถุประสงค์สำคัญได้ 2 ประการ คือ
  1. สำหรับผู้ใหญ่ : ให้ตะหนักถึงความสำคัญของเด็ก ที่จะต้องช่วยกันสร้างให้เขาเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี เพื่อพัฒนาบ้านเมืองแทนตนเองต่อไป 
  2. สำหรับเด็ก : ให้ตระหนักถึงความสำคัญของตนเองที่จะต้องเป็นคนดีของสังคม  เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมา จะต้องทำหน้าที่พัฒนาบ้านเมืองแทนผู้ใหญ่ต่อไป      
หากลองนำคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ.2499 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 19 นายกรัฐมนตรี จำนวน 54 คำขวัญ มาเรียบเรียงเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีแต่ละท่าน แต่ละยุคสมัย จะสามารถจัดกลุ่มของคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีไทย ที่อยากจะให้เด็กไทยเป็น โดยเรียงตามลำดับความถี่ ได้ดังนี้
  1. มีความรักเรียน ขยันเรียน ใฝ่หาความรู้ (31 ครั้ง)
  2. เป็นเด็กดี ใฝ่ดี มีความประพฤติเรียบร้อย  (14  ครั้ง)
  3. เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย (14 ครั้ง)
  4. กล้าคิด กล้าพูด อย่างสร้างสรรค์ (14 ครั้ง)
  5. เป็นเด็กที่มีคุณธรรม (11 ครั้ง)
  6. เป็นความหวังในการพัฒนาชาติต่อไป  (9 ครั้ง)
  7. มีความรัก สามัคคี (9 ครั้ง)
  8. มีความซื่อสัตย์ สุจริต (7 ครั้ง)
  9. รู้จักการประหยัด (6 ครั้ง)
  10. มีความรักชาติ (5 ครั้ง)
  11. มีความนิยมไทย รักษาความเป็นไทย (4 ครั้ง)
  12. เป็นเด็กฉลาด (4 ครั้ง)
  13. เป็นเด็กที่มีความมานะ อดทน (3 ครั้ง)
  14. มีความรักในศาสนา (3 ครั้ง)
  15. มีความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ (3 ครั้ง)
  16. รู้จักหน้าที่ของตนเอง (3 ครั้ง)
  17. รักษ์และสืบสานวัฒนธรรมไทย (3 ครั้ง)
  18. หลีกเหลี่ยงอบายมุขและยาเสพติด (3 ครั้ง)
  19. บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์  มีจิตสาธารณะ  (2 ครั้ง)
  20. ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย (2 ครั้ง)
  21. รักษาสิ่งแวดล้อม (2 ครั้ง)
  22. อื่นๆ เช่น รักความสะอาด มีสัมมาคารวะ แข็งแรง รักพ่อแม่ ใช้ชีวิตพอเพียง รอบคอบ กตัญญู (อย่างละ 1 ครั้ง)
จะเห็นได้ว่า ความอยากที่จะเด็กไทยรักเรียน ขยันเรียน หมั่นใฝ่หาความรู้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นายกรัฐมนตรีเกือบทุกยุค ทุกสมัย คาดหวัง  รองลงมาคือ การเป็นคนดี การเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย การเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าพูด  ตามลำดับ




การให้ศึกษา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเด็ก
จากผลสรุปคำขวัญคำเด็กของนายกรัฐมนตรีฯ  ที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การให้ศึกษาแก่เด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่รัฐจะต้องจัดให้แก่เด็กอย่างมีประสิทธิภาพ  แต่ ทำไม? จนถึงวันนี้ การศึกษาไทยก็ยังมีปัญหาอยู่ดี การปฏิรูปการศึกษา ผ่านมากี่ยุค กี่สมัย กี่รัฐบาล ยังไม่สำเร็จเสียที  สังเกตุได้ว่า ไม่เคยมีประเทศไหนเอาตัวอย่างระบบการจัดการศึกษาของไทยไปใช้เป็นตัวอย่างเลย  มีแต่เราพยายามจะไปลอกเลียนแบบเขามา แต่ก็ไม่เห็นสำเร็จสักที ก็เป็นที่น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ผู้บริหารบ้านเมืองของเรา กำลังสาละวนทำเรื่องอะไรกันอยู่... 

ปัจจุบัน การให้การศึกษาแก่ "เด็กไทย"  ส่วนใหญ่อยู่ในมือของ "ครู"  
ดังนั้น หากรักเด็กจริง เราจึงจำเป็นต้องช่วยกันสร้าง "ครูที่ดี" ให้แก่เด็กของเรานั่นเอง          

                
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
คำขวัญวันเด็กที่ผมจำได้แม่นกว่าคำขวัญอื่นๆ คือ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ เป็นคำขวัญของ จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนั้น ผมอายุเพียง 12 ปี กิจกรรมในงานวันเด็กสมัยนั้นก็ไม่แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก  เช่น การจับสลากของขวัญ มีเกมให้เล่นล่ารางวัล มีการแสดงบนเวทีให้ดู มีอาวุธยุทโธปกรณ์แปลกๆ มาแสดงให้ดูให้สัมผัส  มีอาหาร ขนม ไอติม แจกให้รับประทานฟรี ฯลฯ  

งานวันเด็กแห่งชาติ จัดมา 63 ปี แล้ว ไม่รู้สร้างสำนึกให้เด็กในแต่ละสมัยได้จริงหรือปล่าว  ผู้ใหญ่ที่ปกครองบ้านเมืองอยู่ในวันนี้ ส่วนใหญ่ก็เคยผ่านงานวันเด็กในสมัยที่ท่านเป็นเด็กมาแล้วเกือบทั้งสิ้น แต่ประเทศไทยเรา ก็ยังไม่ก้าวเดินเป็นประเทศพัฒนาเสียที แสดงว่า การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ที่ผ่านมาไม่เคยสร้างความตระหนักให้แก่เด็กไทยได้เลย

อย่ารักเด็กแค่วันเดียวต่อปี

***************************
ชาติชาย ศึกษิต : 11 ม.ค.2561     

วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561

"เหรียญทอง"ระดับเขตกับระดับภาค มาตรฐานเดียวกันหรือไม่? งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน 67

ผมรู้สึกงงๆ กับการตัดสินการแข่งขันศิลปหัตกรรมนักเรียนครั้งที่ 67 โดยเฉพาะเรื่องเหรียญทอง เงิน และทองแดง 



การจัดแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียนประจำแต่ละปีการศึกษา ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดี ที่จะได้มองเห็นถึงผลสัมฤทธิ์จากการจัดการเรียนการสอนของครูและสิ่งที่นักเรียนได้รับ ซึ่งโรงเรียนที่ส่งเข้าแข่งขันในแต่ละรายการต้องผ่านการแข่งขันตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษา คัดเลือกไปเป็นตัวแทนแข่งขันต่อระดับภาค และสุดท้ายจึงค่อยเป็นตัวแทนไปแข่งขันในระดับชาติต่อไป  

แต่ผมก็ยังรู้สึกสงสัยเรื่อง "เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง" ที่แต่ละโรงเรียนได้รับ มันสามารถวัดเป็นเกณฑ์มาตรฐานและเชื่อถือได้หรือไม่ ผมขอยกกรณีตัวอย่างเฉพาะเรื่อง "การแข่งขันการประกวดแปรรูปอาหาร ระดับ ม.1-ม.3"  ซึ่งเผอิญภรรยาผมเป็นครูผู้ฝึกสอนอยู่ด้วย ลองอ่านดูนะครับ

เกณฑ์การตัดสินว่าทีมไหนจะได้เหรียญอะไร
ผมลองศึกษาเกณฑ์การตัดสินเรื่องเหรียญดู ซึ่งเกือบเหมือนกันในทุกรายการการแข่งขัน สพฐ.กำหนดเกณฑ์การตัดสิน จากการให้คะแนนของคณะกรรมการในแต่ละระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับเขตพื้นที่ ระดับภาค ดังนี้ 
  • หากได้คะแนน ร้อยละ 80-100 จะได้รับรางวัลระดับเหรียญทอง    
  • หากได้คะแนน ร้อยละ 70-79 จะได้รับรางวัลระดับเหรียญเงิน
  • หากได้คะแนน ร้อยละ 60-69 จะได้รับรางวัลระดับเหรียญทองแดง
  • หากได้คะแนนต่ำกว่าร้อยละ 60 จะได้รับเกียรติบัตร เว้นแต่กรรมการจะเห็นเป็นอื่น
และโรงเรียนที่จะเป็นตัวแทนเขตพื้นที่เข้าแข่งขันระดับภาคได้ ต้องได้เหรียญทอง ลำดับที่ 1 ซึ่งมีคะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป 


จากเหรียญทอง ลดเหลือ เหรียญทองแดง
รร.ดรุณาราชบุรี แข่งขันประกวดการแปรรูปอาหารระดับ ม.1-ม.3 ชนะเลิศในระดับเขตพื้นที่ฯ ได้คะแนน 86.55 อยู่ในเกณฑ์ "เหรียญทอง"  แต่พอไปแข่งขันระดับภาคกลางและภาคตะวันออก ได้ลำดับที่ 15 (จาก 47 โรงเรียน) ได้คะแนน ุ64.33 อยู่ในเกณฑ์  "เหรียญทองแดง"  หากดูจากผลคะแนนแล้ว แสดงให้เห็นว่าทีม  รร.ดรุณาราชบุรี  นี้มีมาตรฐานลดลงใช่หรือไหม? 

และใน 47 โรงเรียนที่ร่วมแข่งขันครั้งนี้ (ซึ่งแน่นอน ต้องได้เหรียญทองมาก่อนจากระดับเขตพื้นที่ทั้งสิ้น) แต่พอมาเข้าร่วมการแข่งขันในระดับภาคกลางและภาคตะวันออก เมื่อ 4-6 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ผลการตัดสินของคณะกรรมการฯ มีดังนี้
  • ได้คะแนนระดับเหรียญทอง จำนวน   4 โรงเรียน
  • ได้คะแนนระดับเหรียญเงิน จำนวน 6 โรงเรียน
  • ได้คะแนนระดับเหรียญทองแดง จำนวน 8 โรงเรียน
  • และได้ระดับคะแนน ต่ำกว่าร้อยละ 60 จำนวน 29 โรงเรียน
ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ลองคิดดูนะครับ โรงเรียนทั้ง 47 โรงเรียนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันระดับภาคได้นั้น ต้องได้คะแนนในระดับเขตพื้นที่มาแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 (เหรียญทอง) แต่พอมาแข่งขันระดับภาค  กลับมีแค่ 4 โรงเรียนเท่านั้นที่ได้เหรียญทอง และอีก 29 โรงเรียน ไม่ได้เหรียญเลยด้วยซ้ำไป 

ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นถึง "ความไม่มาตรฐานของกรรมการผู้ตัดสิน" ใช่หรือไหม?

ผลการแข่งขันกับเกณฑ์การได้เหรียญต้องแยกออกจากกัน
การแข่งขันกีฬาทั่วไป เช่น การวิ่งแข่ง การว่ายน้ำ ฯลฯ มีสถิติที่วัดได้ชัดเจน ได้แก่ เวลาและการเรียงลำดับเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1,2 และ 3  นักกีฬาอาจได้เหรียญทองระดับจังหวัด แต่พอไปแข่งขันระดับภาค อาจแพ้จังหวัดอื่น ได้แค่เหรียญทองแดง ซึ่งโอกาสเป็นไปได้ เพราะมีข้อเท็จจริงที่สามารถวัดได้อย่างเป็นรูปธรรม 

แต่การแข่งขันศิลปหัตถรรมหลายรายการ ไม่สามารถวัดออกมาเป็นสถิติที่ชัดเจนได้ ส่วนใหญ่เป็นนามธรรม ซึ่งขึ้นอยู่กับความเห็นของคณะกรรมการตัดสินในแต่ระดับและแต่ละรายการ  รวมถึงความมีประสบการณ์และทัศนคติของกรรรมการผู้ตัดสินรายการนั้นๆ ด้วย บางคนกดคะแนนหรือบางคนก็ปล่อยคะแนนมากเกินไป  ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสิ้น

สพฐ. ควรแยกระบบการตัดสิน เรื่อง "ผลการแข่งขัน" กับ "เกณฑ์ได้เหรียญรางวัล"  ออกจากกันอย่านำไปผูกกัน เกณฑ์การได้เหรียญรางวัล คือ เกณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ อาจไม่จำเป็นต้องมีตัวเลขก็ได้ มีแค่ผ่านหรือไม่ผ่าน  แต่หากนำไปผูกกับการให้คะแนนของคณะกรรมการแต่ละท่าน แต่ละระดับ แต่ละวาระแล้ว มีโอกาสที่จะเกิดความคลาดเคลื่อนได้อย่างที่เห็น  เหมือนสินค้าชนิดหนึ่งที่อาจผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) แต่ไม่ได้จัดลำดับว่าสินค้าตัวนี้ ดีเป็นที่ 1 ที่  2 แล้วแต่ผู้ใช้จะเลือกซื้อมากกว่า  

แจ้งผลการแข่งขันแต่ละโรงเรียนเป็นการส่วนตัวได้ก็จะดี
ปัจจุบันการประกาศผลการแข่งขันแต่ละรายการจะประกาศในภาพรวมทุกโรงเรียน ได้แก่ คะแนนรวมที่ได้ ระดับเหรียญที่ได้ และลำดับผลการตัดสิน  แต่คะแนนที่กรรมการให้แต่ละหัวข้อย่อย โรงเรียนที่ส่งเข้าแข่งขัน ไม่สามารถทราบได้ว่า  หัวข้อใดที่ได้คะแนนมากหรือได้คะแนนน้อย  ซึ่ง สพฐ.น่าจะสามารถแจ้งเป็นการส่วนตัวไปยังแต่ละโรงเรียนได้ เพื่อครูจะได้พัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้นในการแข่งขันครั้งต่อไป  อย่างเช่น  การแข่งขันประกวดการแปรรูปอาหาร จะมีเกณฑ์ให้คะแนน ดังนี้
  • กระบวนการแปรรูป 20 คะแนน
  • รายงานการดำเนินงาน 40 คะแนน แยกเป็น
    • การวิเคราะห์วัตถุดิบ  10 คะแนน
    • การวางแผน 10 คะแนน
    • การดำเนินงาน 10 คะแนน
    • สรุปและรายงานผล 10 คะแนน
  • ผลสำเร็จของการแปรรูป 30 คะแนน
    • รสชาติเหมาะสมกับประเภทของอาหาร  10 คะแนน
    • ภาพรวมของลักษณะภายนอก เช่น สี กลิ่น ภาชนะบรรจุ 5 คะแนน
    • ภาพรวมของคุณภาพอาหาร เช่น คุณค่าทางโภชนาการ ความสะอาด 5 คะแนน
    • นำสู่การประกอบอาชีพ  10 คะแนน
  • การนำเสนอและสาธิต 10 คะแนน
ปัจจุบัน ทีม รร.ดรุณาราชบุรี ทราบเพียงว่าได้คะแนน 64.33 แต่ไม่ทราบว่า  ในแต่ละหัวข้อย่อยได้คะแนนเท่าใด ข้อไหนสูง ข้อไหนต่ำ  แต่ถ้าหากทราบได้ ก็จะทำครูสามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาในครั้งต่อไป  (ผมไม่ทราบว่า เว็บไซต์การแข่งขันฯ เปิดโอกาสให้โรงเรียนและครูแต่ละท่าน เข้าไปค้นหาผลงานของตนเอง ได้หรือไม่)    



การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ผมถามภรรยาว่า ได้มีโอกาสไปดูโรงเรียนที่เข้าแข่งขันฯ อีก 46 โรงเรียนหรือไม่ ว่าเขาแปรรูปอาหารชนิดใดบ้าง ภรรยาตอบว่า อยากดูเหมือนกัน แต่ทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ไม่ได้เปิดโอกาสให้ดู  ผมคิดในใจว่า  

"น่าเสียดาย หลังจากการแข่งขันเสร็จแล้ว คณะกรรมการฯ น่าจะเปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ทั้งหมด ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งมันจะเกิดการพัฒนาในภาพรวมได้มากยิ่งขึ้น อย่างน้อย ครูและนักเรียนแต่ละโรงเรียนก็น่าจะได้ความคิดกลับมาพัฒนาอีกตั้ง  46 ความคิด แทนที่จะมีแค่ความคิดของตนเองเพียงความคิดเดียว"

ที่ผมเขียนมาข้างต้นนี้เป็นเพียงภาพเล็กๆ ที่ผมเห็น แต่อาจไม่ใช่ภาพรวมของการแข่งขันฯ เสียทั้งหมด หากมีอะไรที่ผมเข้าใจไม่ถูกต้องแล้ว ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

*************************
ชาติชยา ศึกษิต : 8 ม.ค.2561

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ความผิดของหนูหรือ ที่ไม่ได้เป็นครู

ผมอ่านเรื่องราวของผู้หญิง 2 คนที่ต้องฝันสลายจากการเป็นครู เพียงเพราะมติคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดฯ เพียงไม่กี่คน ที่อ้างว่าไม่เป็นไปตามหลักการใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ แต่ท่านคงไม่ทราบว่ามติของท่านได้ทำลายจิตใจของผู้หญิงตัวเล็กๆ และครอบครัวของเธอถึง 2 คน ซึ่งเธอไม่ได้ผิดอะไรเลย นอกจากนั้นยังเกิดคำถามแก่เด็กๆ นักเรียนของ รร.อุ้มผางวิทยาคม อีกด้วยว่า "จะเอาครูของหนูไปไหน"  และซ้ำร้ายยังทำให้มองเห็นถึงระบบราชการของกระทรวงศึกษาธิการที่ห่วยแตก ซึ่งทำงานไม่ประสานสอดคล้องกัน 

 น.ส.นิราวัลย์ เชื้อบุญมี (ครูวัลย์) และ น.ส.วนาลี ทุนมาก(ครูแอน) 

เรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้น ผมพอสรุปสั้นๆ ได้ดังนี้      

ขอเปลี่ยนบรรรจุวิชาเอกสังคมศึกษาแทน 
เดิม รร.อุ้มผางวิทยาคม อ.อุ้มผาง จ.ตาก ได้ขอเปิดบรรจุครูผู้ช่วยวิชาเอกคณิตศาสตร์ จำนวน 1 ตำแหน่ง แต่ไม่มีใครมารายงานตัวและบัญชีรายชื่อวิชาเอกคณิตศาสตร์หมดแล้ว รร.อุ้มผางวิทยาคม จึงขอบรรจุครูผู้ช่วยวิชาเอกสังคมศึกษาแทน ไป 2 คน เพราะขาดแคลนเช่นกัน 

ไปตามคำสั่ง ได้เป็นครูสมใจ
น.ส.วนาลี ทุนมาก(ครูแอน) ชาว จ.สุโขทัย และ น.ส.นิราวัลย์ เชื้อบุญมี (ครูวัลย์) ชาว จ.เลย ซึ่งสอบติดครูผู้ช่วยอันดับที่ 66 และ 67 ตามลำดับของบัญชีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) เขต 38 (สุโขทัย-ตาก) จึงได้รับการเรียกบรรจุและแต่งตั้งลงโรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม จ.ตาก สาขาเอกสังคมศึกษา  
บัญชีบรรจุ และคำสั่งเรียกตัว

โดยทั้งคู่ได้ไปรายงานตัวที่โรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเหลือเวลาอีก 6 วัน ก่อนที่บัญชีจะหมดอายุในวันที่ 10 พฤษภาคม 2560  


สอน 5 เดือน ฟรี
ครูทั้งสอง ได้เริ่มสอนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน 2560 เป็นต้นมา รวม 5 เดือน โดยไม่ได้รับเงินเดือนแต่อย่างใด โดยทั้งสองเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติตามขั้นตอนระเบียบของราชการที่มักเกิดความล่าช้า



กศจ.ตาก มีมติไม่อนุมัติ
ย่างเข้าสู่เดือนที่ 6  ในวันที่ 24 ต.ค.2560  สพม.เขต 38 มีหนังสือถึง รร.อุ้มผางวิทยาคม ระบุว่า 
"คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดตาก (กศจ.ตาก) มีมติไม่อนุมัติการขอปรับเปลี่ยนวิชาเอกและขอเพิ่มเติมตำแหน่งว่างของโรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม และไม่อนุมัติการบรรจุและแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้สาขาวิชาเอกสังคมศึกษา จากบัญชี สพม. เขต 38 โดยอ้างเกิน 2 ปี" 

ฝันสลาย - พ้นจากครูผู้ช่วย
จากมติของ กศจ.ตาก ทำให้ครูแอน และครูวัลย์ ต้องพ้นจากครูผู้ช่วยไปในบัดดล 

อาชีพครูเป็นอาชีพที่หนูใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อสอบติดได้รับการบรรจุ ทั้งหนูและพ่อแม่พากันดีใจและภาคภูมิใจมาก แม้ต้องขึ้นดอยไปสอนที่ห่างไกลก็เต็มใจและมีความสุข แต่สุดท้ายความฝันทุกอย่างก็ต้องสลายไป หลังมีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้หนูเป็นครูสอนได้เพียงแค่ 5 เดือนกว่าๆ โดยไม่ได้รับเงินเดือนแม้สักบาทเดียว .....”

เสียงของครูแอน ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เรียนจบจากคณะครุศาสตร์ เอกสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ที่มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นครูที่ดี

"ถึงวันนี้ก็ยังทำใจไม่ได้เมื่อคิดถึงภาพเด็กๆ ที่อุ้มผางวิทยาคมวิ่งตามรถตอนหนูออกมา พวกเขาถามว่าครูจะไปไหน ทำไมไม่กลับมา”




นายบุญรักษ์ รอดเพชร เลขาธิการ กพฐ. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
"รร.อุ้มผางวิทยาคม ขาดแคลนครูทุกสาขา เฉพาะวิชาสังคมศึกษาขาดแคลน ถึง 7 คน  เมื่อมีอัตราว่าง ประกอบกับสาขาวิชาเอกคณิตศาสตร์ ไม่มีผู้สอบมารายงานตัว ทางโรงเรียนจึงขอครูวิชาเอกสังคมศึกษาไปทั้ง 2 อัตรา ทั้งนี้ บัญชีวิชาเอกคณิตศาสตร์หมดแล้ว ไม่สามารถเรียกรายชื่อสำรองขึ้นมาได้อีก จึงใช้วิชาเอกสังคมศึกษาแทน ..." 
(ที่มา มติชนออนไล์ 5 พ.ย.2560 https://www.matichon.co.th/news/721535)

ใครผิด
เรื่องนี้เริ่มต้นจาก รร.อุ้มผางวิทยาคม เสนอขออนุมัติบรรจุครูเอกสังคมศึกษา (ซึ่งขาดแคลนเช่นกัน) แทนครูเอกคณิตศาสตร์ที่ไม่มีผู้มารายงานตัวและไม่มีบัญชีรายชื่อแล้ว  นับเป็นสิ่งที่เหมาะสมคือ "ต้องการครูให้เด็กนักเรียน"  

จากนั้นทาง สพม.38 ก็มีหนังสือราชการไปถึงครูแอนและครูวัลย์ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ครูที่ รร.อุ้มผางวิทยาคม ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค.2560 ซึ่งการอนุมัติเป็นไปตามมติของ กศจ.ตาก และ กศจ.สุโขทัย ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีเช่นกันคือ "หาครูให้เด็กนักเรียน"

แต่สิ่งที่มันดูทะแม่งๆ ก็คือ อีก  เดือนต่อมา ทาง กศจ.ตาก กลับมีมติไม่อนุมัติให้บรรจุครูแอนและครูวัลย์ ฯ  เรื่องนี้แหละครับที่มันน่าสงสัยว่า ทำไม? จึงมีการกลับมติและเกิดความล่าช้าขนาดนี้  ทำเช่นนี้เท่ากับ "ไล่ครูไม่ให้สอนเด็กนักเรียน"   

นี่คือการแสดงให้เห็นถึงความห่วยแตกของระบบราชการของกระทรวงศึกษาธิการที่ทำงานล่าช้าและไม่ประสานสอดคล้องกัน หรืออาจเป็นความบกพร่องของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดตาก  ที่ไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงให้ดีเสียก่อนที่จะมีมติเช่นนั้น

ถึงเวลาแล้วที่ กศจ.ตาก ต้องทบทวนมติใหม่ โดยขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กนักเรียนเป็นสำคัญ  ผมมั่นใจว่า "ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้" หากท่านไม่เถรตรงหรือทิฐิมากจนเกินไป

*****************************           
ชาติชยา ศึกษิต 7 พ.ย.2560

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

นิสิต "สองแผ่นดิน"

พระบรมฉายาลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
เสด็จพระราชดำเนินมาในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์
เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อ วันที่ 17-18 กรกฏาคม 2541

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย.2560)  ผมมีโอกาสได้ไป "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" อีกครั้ง ซึ่งจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายไปเมื่อ 3 ปีก่อน ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของบุตรชาย แต่วันนี้ เป็นของบุตรสาว ทั้งสองคนล้วนจบจากสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้ ถือเป็นบุญของพวกเขา และยังเป็นความภาคภูมิใจแก่ พ่อ แม่ ญาติพี่น้องและวงศ์ตระกูล อีกด้วย  

วันรับปริญญาไม่ใช่ "ตอนจบ"
ในคราวรับปริญญาของบุตรชาย ผมเคยเขียนบทความเพื่อเตือนสติลูกชายในครั้งนั้นว่า ให้มีความสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องใช้ความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา หาเลี้ยงชีวิตของตนเองให้ได้ เพราะชีวิตหลังรับปริญญา คือ การเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่แท้จริงบนโลกใบนี้  อย่าให้ใครดูถูกเราได้ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

นิสิต "สองแผ่นดิน"
การรับพระราชทานปริญญาบัตรในปีนี้ บรรยากาศเรียบง่าย ไม่มีเสียงร้องเพลง เสียงเล่นกิจกรรม เสียงแสดงความยินดีจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ดังเซ็งแซ่เหมือนอย่างเคย ช่อดอกไม้และของขวัญที่ระลึกส่วนใหญ่ใช้โทนสีขาวดำ เทา หรือสีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด เนื่องจากกำลังอยู่ในห้วงไว้ทุกข์แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งเสด็จสวรรคตจากพวกเราไปเมื่อปีที่แล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

บัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีนี้  จึงถือได้ว่าเป็น "นิสิตสองแผ่นดิน" เพราะเรียนในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 และรับพระราชทานปริญญาบัตรในแผ่นดินรัชกาลที่ 10  




ทุกคนกำลังเฝ้าดู
ผมขอชื่นชมที่ คณะกรรมการบัณฑิตฯ ในปีนี้  ได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครัั้งสุดท้าย ที่ทรงเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง เมื่อปี พ.ศ.2541 พร้อมนำพระปฐมบรมราโชวาทฯ ที่เคยพระราชทานแก่บัณทิตของจุฬาฯ เมื่อ วันที่ 21 พ.ค.2493 มาจัดพิมพ์ไว้ด้านหลังของภาพด้วย ความว่า

".....  แต่ขอให้นึกเสมอว่า เมื่อท่านสำเร็จการศึกษาออกไปแล้ว ยังมีคนจำนวนมากที่เอาใจใส่เฝ้าดู การกระทำของท่านอยู่ต่อไป ใครทำดีก็ได้รับคำชมเชยและสรรเสริญ ใครไม่ทำดีเขาก็จะพากันติ และพลอยติชมถึงสถานศึกษาของท่านด้วย 

ชื่อมหาวิทยาลัยของท่านคือ "จุฬาลงกรณ์" จะติดตัวท่านไปด้วยเสมอไม่ว่าจะประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่ท่านกระทำสิ่งใดลงไป จงคิดแล้วคิดอีก ทบทวนดูทั้งทางได้ทางเสียให้แน่ชัดเสียก่อน

"จุฬาลงกรณ์" หาได้เป็นแต่เพียงชื่อของมหาวิทยาลัยนี้เท่านั้นไม่ ยังเป็นนามของผู้พระราชทานกำเนิดของสถานที่แห่งนี้ด้วย ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนไปจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้...." 

ผมอ่านแล้ว รู้สึกปลื้มปิติแทนลูกชาย ลูกสาว และผู้ที่เคยเป็นนิสิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกคน  ขอให้ลูกๆ ทั้งสองของพ่อ จงจดจำ "พระปฐมบรมราโชวาทฯ ของในหลวงรัชกาลที่ 9"  ที่ทรงให้ไว้แก่บัณฑิตเอาไว้ให้แม่น อย่าได้ลืมเลือนเป็นอันขาด 




เพราะชื่อ "จุฬาลงกรณ์ "จะติดตัวลูกไปเสมอ
จะทำการสิ่งใด จงคิดไตร่ตรองให้ดี 

********************************
ขอแสดงความยินดีกับลูกสาวของพ่อ "จุฑามาศ จันทรวงศ์"
จาก พ่อของลูก พันเอก ดร.สุชาต จันทรวงศ์



วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

จ่ายค่าตอบแทนผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพครูทั่วทั้งประเทศ ไม่จำกัดเฉพาะครูที่เป็นข้าราชการ

ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นใบอนุญาตให้สามารถประกอบวิชาชีพนั้น ๆ ตามสาขาที่เรียนมา โดยผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะต้องมีคุณสมบัติตามที่องค์กรออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำหนดไว้ ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะไม่สามารถประกอบวิชาชีพนั้น ๆ ได้ ถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษตามที่องค์กรวิชาชีพแต่ล่ะองค์กรกำหนดไว้

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีวิชาชีพที่ต้องมีใบอนุญาตเพื่อประกอบวิชาชีพ ได้แก่
  • ใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ออกโดย แพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ออกโดย แพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทันตกรรม ออกโดย ทันตแพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ออกโดย สัตวแพทยสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ออกโดย สภาเภสัชกรรม
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ออกโดย สภาการพยาบาล
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ ออกโดย สภาเทคนิคการแพทย์
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด ออกโดย สภากายภาพบำบัด
  • ใบอนุญาตให้เป็นทนายความ ออกโดย สภาทนายความ 
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม ออกโดย สภาวิศวกร
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม ออกโดย สภาสถาปนิก
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ออกโดย คุรุสภา
  • ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุม ออกโดย สภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพ
ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพแต่ละสาขา มีอัตราที่แตกต่างกัน และในแต่ละสาขายังแบ่งค่าตอบแทนอีกเป็นหลายระดับ เช่น  ในทางราชการ กำหนดให้ แพทย์ ได้รับตั้งแต่ 5,000 ไปจนถึง 15,000 บาทต่อเดือน เภสัชกร ตั้งแต่ 1,500 ไปจนถึง 3,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น  สำหรับภาคเอกชนบางแห่ง  อาจจ่ายค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพแต่ละสาขาสูงกว่าทางราชการหลายเท่านัก เช่น อาชีพวิศวกร เป็นต้น 

การต่ออายุใบประกอบวิชาชีพของแต่ละสาขาอาชีพ จะมีระยะเวลาที่กำหนดไม่เท่ากัน รวมถึงวิธีการวัด ประเมินผล และกระบวนการที่แตกต่างกันไป เพื่อที่จะใช้วัดความสามารถของผู้ที่จะขอต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพนั้นๆ ตามเทคนิคของตนเอง  


ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครู
ค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครู ไม่มีกฏหมายใดๆ รองรับว่าจะได้เท่าไหร่ต่อเดือน แต่ที่พอมองเห็นอยู่ในปัจจุบัน ในทางราชการเขาใช้คำว่า "ค่าวิทยฐานะ"  ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พศ.2547  ซึ่งระบุตอนหนึ่งไว้ว่า 

วิทยฐานะข้าราชการครูที่มีใบประกอบวิชาชีพครู
  • ครูเชี่ยวชาญพิเศษ   คศ.5  เงินวิทยฐานะ   15,600 บาท/เดือน
  • ครูเชียวชาญ           คศ.4  เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • ครูชำนาญการพิเศษ  คศ.3  เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • ครูเชียวชาญพิเศษ    คศ.2  เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน
วิทยฐานะศึกษานิเทศน์มีใบประกอบวิชาชีพ 
  • ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญพิเศษ     เงินวิทยฐานะ   15,600 บาท/เดือน
  • ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ             เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ   เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ           เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน 
วิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษามีใบประกอบวิชาชีพ
  • ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญพิเศษ       เงินวิทยฐานะ   15,600 บาท/เดือน
  • ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ                เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ     เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • ผู้อำนวยการชำนาญการ               เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน
  • รองผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ            เงินวิทยฐานะ    9,900 บาท/เดือน
  • รองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ  เงินวิทยฐานะ    5,600 บาท/เดือน
  • รองผู้อำนวยการชำนาญการ          เงินวิทยฐานะ    3,500 บาท/เดือน
ค่าวิทยฐานะนี้ไม่เกี่ยวกับเงินเดือนของครูแยกออกจากกัน ซึ่งก็เปรียบเสมือนค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครูนั้นเอง  แต่รัฐจำกัดให้เฉพาะ "ผู้ที่เป็นข้าราชการครูหรือผู้ที่เป็นบุคลากรทางการศึกษาของรัฐ" เท่านั้น 

ด้วยเงินค่าวิทยะฐานะต่อเดือนจำนวนมากนี้เอง ปัจจุบันจึงทำให้ครูของรัฐต้องวุ่นวายอยู่กับการเลื่อนวิทยฐานะมากกว่าการสอนเด็ก รัฐต้องนั่งคิดหาหลักเกณฑ์ต่างๆ กันใหม่อยู่เรื่อยจนครูรัฐบาลสับสนไปหมด    

ทำไม? ครูคนอื่นจึงไม่มีค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพ
เงินภาษีทั้งหลายที่รัฐเก็บได้ จัดสรรส่วนหนึ่งนำไปจ่ายค่าวิทยฐานะให้ครูและบุลคลากรทางการศึกษาเฉพาะที่เป็นข้าราชการของรัฐจำนวนมาก โดยไม่ได้คำนึงถึงครูเอกชนหรือครูประเภทอื่นๆ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่และมีใบประกอบวิชาชีพครูเหมือนกัน อีกทั้งงบประมาณสำหรับการอบรมและพัฒนาครู ก็จำกัดเฉพาะครูของรัฐอีกต่างหาก ใช้เงินงบประมาณมากมายขนาดนี้แล้ว ครูของรัฐยังถูกกล่าวหาว่า "ไม่มีคุณภาพเสียอีก"  จึงมีคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น?   

ผมไม่ได้หมายความว่า รัฐจะต้องรับภาระมาจ่ายค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพให้กับครูเอกชน หรือครูสังกัดอื่นๆ เพราะมันอาจเป็นภาระมากเกินไป แต่รัฐก็ควรหามาตรการหรือแนวทางการส่งเสริม  

ทำอย่างไร? ผู้ที่มีใบประกอบวิชาชีพครูทั่วทั้งประเทศ ควรที่จะได้รับค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพเหมือนกับสาขาวิชาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูของรัฐ ครูเอกชน หรือครูที่อยู่ในสังกัดอื่นใดก็ตาม อย่างเช่น
  • ออกกฏหมายหรือระเบียบว่าด้วย "การกำหนดอัตราการจ่ายค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพครูในประเทศไทย"  ไม่ว่าจะเป็นครูของรัฐ ครูเอกชน หรือครูในสังกัดอื่นๆ
  • เปลี่ยน ค่าวิทยฐานะเดิมของข้าราชการครู ให้เป็น ค่าตอบแทน 
  • เพื่อไม่ให้เป็นภาระด้านงบประมาณของรัฐมากเกินไป รูัฐอาจกำหนดให้เงินอุดหนุนเป็นค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพแก่ครูในโรงเรียนเอกชนหรือในสังกัดอื่นๆ  ในสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่ง เช่น รัฐ ร้อยละ 50 และโรงเรียนเอกชนออกเองร้อยละ 50 เป็นต้น ส่วนค่าตอบแทนครูที่เป็นข้าราชการ รัฐคงต้องจ่ายเอง 
ได้ครูที่มีคุณภาพทั่วทั้งประเทศ
  • หากทำเช่นนี้ได้ ผมว่าจะมีเด็กเก่งๆ หันมาเรียนเพื่อเป็นครูกันมากขึ้น เพราะหลังจากจบมีใบประกอบวิชาชีพครูแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการครูของรัฐก็ได้  สามารถไปสอนอยู่ในโรงเรียนเอกชน หรือโรงเรียนในสังกัดอื่นใดก็ได้ ดังเช่น อาชีพแพทย์ เภสัช วิศวกร เป็นต้น 
  • ใบประกอบวิชาชีพครูจะมีคุณค่าสำหรับครูทุกคน และครูเหล่านั้นจะต้องพึงรักษาความเป็นมืออาชีพอยู่เสมอด้วยเกณฑ์การวัดและประเมินผลอย่างเข้มข้นในกระบวนการขอต่อใบอนุญาตของคุรุสภา (เหมือนกับองค์กรวิชาชีพอื่นๆ ที่เขาทำ)
  • ที่สำคัญที่สุด เราจะได้ครูที่มีคุณภาพทั่วทั้งประเทศ เพราะเขาต้องพัฒนาความเป็นมืออาชีพของเขาอยู่เสมอเพื่อแลกกับค่าตอบแทนใบประกอบวิชาชีพที่ได้รับ 
ที่นำเสนอมานี้ เป็นเพียงแค่แนวคิดเบื้องต้น ถ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ คงต้องมีการศึกษากันอย่างละเอียด จากเจ้าของกระทรวง ทบวงกรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ  เพื่อให้มีความรอบคอบ มีการจัดวางกฏเกณฑ์อีกหลายขั้นตอน   แต่ก็ดีกว่าไม่คิดอะไรเลย...

หากเราคิดเหมือนเดิมๆ แล้วอยากจะได้สิ่งใหม่ 
ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ 

******************************* 
ชาตชยา ศึกษิต : 22 ก.ค.2560 

ที่มาข้อมูล
  • วิกีพีเดีย. ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ. (https://th.wikipedia.org/wiki/ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ) สืบค้นเมื่อ 22 ก.ค.2560
  • พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่ง ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พศ.2547 

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คูปองพัฒนาครู 10,000 บาท ขอให้ครูเอกชนและครู อปท.บ้างได้ไหม?

กระทรวงศึกษาธิการ ใช้งบประมาณแผ่นดิน แจกคูปองพัฒนาครูสังกัด สพฐ. จำนวน10,000 บาทต่อคนต่อปี เป็นนโยบายที่ดี แต่ควรให้คูปองนี้ แก่ครูสังกัดอื่นๆ ด้วย



นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวมอบนโยบายให้แก่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ตอนหนึ่งว่า

"สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาครูนั้น เท่าที่ดูขณะนี้มีอยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่มีการใช้แบบกระจัดกระจาย ต่อไปนี้ การอบรมครูตนจะใช้เป็นระบบคูปอง โดยจะให้คูปองกับครูจำนวน 10,000 บาทต่อคนต่อปี เพื่อเลือกไปเข้าอบรมพัฒนาตัวเองให้สอดคล้องกับการเลื่อนวิทยฐานะ ซึ่งปัจจุบันเรามีครูทั่วประเทศกว่า 400,000 คน จะใช้งบเพียง 4,000 ล้านบาทเท่านั้น จะทำให้ประหยัดงบไปได้มาก จะได้นำเงินส่วนที่เหลือไปพัฒนาครูด้านอื่นๆ ต่อไป" 
(ที่มาข้อมูล : ไทยโพสต์ :  http://www.thaipost.net/?q=แจกคูปองพัฒนาครู1หมื่นบคนปี)

ครูไม่ใช่จะมีเฉพาะ สพฐ.
ปัจจุบัน ครูที่สอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น ไม่ใช่จะมีแต่เฉพาะข้าราชการครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เท่านั้น  แต่ยังมีครูในโรงเรียนเอกชน ที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และครูที่สังกัดองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีกด้วย หากเอาตัวเลขกลมๆ พอที่จะสรุปจำนวนได้ ดังนี้
  • ครู สังกัด สพฐ. จำนวน 400,000 คน คิดเป็นร้อยละ 74
  • ครู สังกัด สช.    จำนวน 111,500 คน คิดเป็นร้อยละ 21
  • ครู สังกัด อปท. จำนวน   30,000 คน คิดเป็นร้อยละ 5 
ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กนักเรียนทุกคน ล้วนเป็นความรับผิดชอบของครูทุกคน ทุกสังกัด 


พ่อต้องดูแลลูกๆ ทุกคนอย่างทั่วถึง
กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้รับผิดชอบการศึกษาของแผ่นดินในภาพรวม นำงบประมาณแผ่นดินมาพัฒนาครู นั้นถือเป็นนโยบายที่ดี แต่ไม่ควรจำกัดเฉพาะ ครู สพฐ. ครูในสังกัด สช. และครูในสังกัด อปท. ก็สมควรที่จะได้รับการพัฒนาด้วย เหตุผลเพราะ 
  • ครูทุกคน ทุกสังกัด ควรได้รับสิทธิคูปองการพัฒนาครู ซึ่งนำมาจากงบประมาณแผ่นดิน เพราะผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของชาติในภาพรวมล้วนขึ้นอยู่กับครูทุกคน ทุกสังกัด
  • การใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อพัฒนาครูเฉพาะในสังกัด สพฐ. จึงไม่เป็นธรรมกับนักเรียนและผู้ปกครองในสังกัดอื่นๆ 
  • นักเรียนทุกคน ทุกสังกัด ควรมีสิทธิที่จะมี "ครู" ที่ได้รับการพัฒนาจากรัฐ เหมือนๆ กัน
กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะพ่อ ต้องดูแลลูกๆ ทุกคนอย่างทั่วถึง ไม่ใช่ดูแลเฉพาะพี่ สพฐ. แต่ น้อง สช. และ น้อง อปท. กลับไม่เหลียวแล

1,460 หลักสูตร
ตอนนี้ สถาบันคุรุพัฒนา ได้รับรองหลักสูตรการพัฒนาครูของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว จำนวนถึง 1,460 หลักสูตร ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ดีๆ ทั้งนั้น 
น่าเสียดายที่ ครูเอกชน และครู อปท.คงไม่มีโอกาสได้เข้าไปอบรม 

ท่าน รมว.ศธ. บอกว่ามีงบประมาณพัฒนาครู 10,000 ล้านบาท แจกคูปองให้ครู สพฐ. 4,000 ล้านบาท ยังพอมีเงินเหลือ 

หากท่านจะกรุณาแล้ว เงินส่วนที่เหลือแบ่งจ่ายให้ ครูเอกชน ซึ่งสังกัด ศธ. เหมือนกัน สัก 1,115 ล้านบาท และ ครู สังกัด อปท. กระทรวงมหาดไทย สัก 300 ล้านบาท เพื่อไปพัฒนาตนเองก็น่าจะดีนะครับ เพื่อคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยทุกคนอย่างทั่วถึง ไม่ว่าเขาจะเรียนอยู่ในสังกัดใด

********************
ชาติชาย คเชนชล : 13 ก.ค.2560

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

เปิดใจฟัง : โรงเรียนคือฆาตกร

เช้าวันนี้ (29 ก.ย.2559) ผมเปิดดูเฟสบุ๊คของผมตามปกติ ได้พบกับคลิบวิดีโอเรื่องการศึกษาที่น่าสนใจมาก ซึ่งสร้างขึ้นโดย "Prince EA" (ดูรายละเอียด)  นักความคิดสร้างสรรค์และสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก คลิบวิดีโอนี้เป็นสถานการณ์จำลองเกี่ยวกับการฟ้องร้องระบบโรงเรียนที่เกิดขึ้นในศาล โดยมีรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการศึกษาเป็นจำเลย มีชื่อเรื่องว่า "THE PEOPLE VS. THE SCHOOL SYSTEM" (ดูต้นฉบับ) ซึ่งคลิบวิดีโอนี้ถูกแปลภาษาไทยและจัดทำซับไตเติ้ลโดย Life  University แชร์ผ่านทางเฟสบุ๊ค : Life Uni  มาให้ชมตามคลิบวิดีโอด้านล้างนี้  (ดูที่มา)



สอนให้ปลาปีนต้นไม้
คุณ Prince EA เริ่มเปิดคดี "ฟ้องร้องระบบโรงเรียน" ด้วยคำกล่าวสำคัญของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ว่า "ทุกคนเป็นอัจฉริยะ...แต่ถ้าคุณตัดสินปลา ด้วยความสามารถในการปีนต้นไม้ มันจะใช้ทั้งชีวิตของมันโดยเชื่อว่า มันช่างโง่เขลา.."

ความหมายก็คือเด็กๆ มีความถนัดกันคนละทาง แต่โรงเรียนกำลังสร้างเด็กๆ นับล้านคนให้เป็นหุ่นยนต์ ให้เป็นปลาที่ต้องปีนต้นไม้ ระบบการศึกษาปัจจุบันสร้างให้เด็กๆ เรียนอย่างหนัก แต่ไม่พบพรสวรค์ของตัวเอง จนเด็กๆ ได้แต่คิดว่าตัวเองโง่ และเป็นคนไร้ค่า  เหตุเพียงแค่ไม่สามารถปีนต้นไม้ได้ตามที่ระบบต้องการ 


โรงเรียนคือฆาตกร
Prince กล่าวฟ้องว่า "โรงเรียนเป็นฆาตกรฆ่าความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก  ทำลายเอกลักษณ์และเหยียดหยามทางความคิด"  เขายกตัวอย่างนวัตกรรมที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง เช่น โทรศัพท์ รถยนต์ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยคือห้องเรียน เขาถามจำเลยว่าจะเตรียมความพร้อมนักเรียนในอนาคตหรือในอดีต ระบบการศึกษาในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเพื่อฝึกคนให้ไปทำงานในโรงงาน บังคับให้นักเรียนนั่งเป็นแถวให้เรียบร้อย นั่งเฉยๆ อยากพูดค่อยยกมือ ใช้เวลา 8 ชั่วโมงต่อวันเพื่อบอกนักเรียนว่า "เธอต้องคิดอะไร" เสร็จแล้วให้เขาแข่งขันกันด้วยเกรดด้วยคะแนน  หากได้คะแนนดี เกรด A คือสินค้าคุณภาพ 

ในโลกยุคปัจจุบัน เราต้องการคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความริ่เริ่ม เอาจริงเอาจัง พึ่งพาตนเองได้ มีความสามารถในการเชื่อมโยง เราไม่ต้องการหุ่นยนต์ผีดิบอีกแล้ว





ไม่มีสมองคู่ไหนเหมือนกัน
Prince บอกว่า ไม่มีสมองคู่ไหนที่เหมือนกัน ซึ่งพ่อแม่ที่มีลูกสองคน น่าจะช่วยยืนยันและอธิบายได้ แล้วทำไมการศึกษาถึงต้องกำกับนักเรียนเหมือนแม่พิมพ์ขนม หรือหมวกแก๊ปที่ปรับขนาดได้ สอนสิ่งห่วยๆ ให้เด็กทุกคนในแบบเดียวกัน (คำว่าห่วยๆ นี้ ศาลเตือนให้ระวังคำพูดหน่อย) 

ครูที่ควรได้รับการยกย่องแต่กลับถูกใส่ร้าย
Prince กล่าวถึงครูว่า ครู 1 คนสอนเด็ก 20 คน ทั้งๆ ที่เด็กแต่ละคนมีจุดแข็ง ความต้องการ พรสวรรค์ และความฝันที่แตกต่างกัน แต่ครูกลับสอนในสิ่งที่เหมือนๆ กัน ซึ่งครูเองก็รู้ แต่เมื่อการศึกษาล้มเหลว ครูจึงมักจะถูกใส่ร้ายเสมอ  แต่พวกครูไม่ใช่ปัญหา ที่เป็นปัญหาจริงๆ ก็คือระบบการศึกษาและหลักสูตรที่ถูกออกแบบมาจากจำเลย (คนในกระทรวง) คนที่ไม่เคยสอนใครเลยในชีวิต เอาแต่หมกหมุ่นกับการวัดผล

ครูควรได้เงินมากเท่าหมอ
อาชีพ "ครู" มีหน้าที่สำคัญที่สุดบนโลกนี้ แต่กลับมีรายได้ "แค่พอกิน" จึงไม่แปลกใจที่ครูไม่ให้ความเต็มที่กับเด็ก ครูควรได้เงินเดือนมากเหมือนหมอ ถึงแม้จะมีนักเรียนเพียง 20% ของประชากร แต่พวกเขาก็คือ 100% ของอนาคต

หากคุณหมอสามารถผ่าตัดหัวใจช่วยชีวิตเด็กได้
ครูที่ดีก็สามารถเข้าถึงหัวใจของเด็กและชี้แนะเด็กให้ใช้ชีวิตที่แท้จริงได้ เช่นกัน

การวัดผล
Prince กล่าวฟ้องต่อว่า แนวคิดว่าการกาข้อสอบของเด็ก จะเป็นตัววัดความสำเร็จ ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย ความจริงคือ การสอบแบบนี้มันใช้ไม่ได้ ตามที่ J.Kelly ซึ่งเป็นคนค้นคิดมาตรฐานการสอบบอกว่า "การสอบแบบนี้ มันยากเกินกว่าจะเอาไปใช้" และต้องถูกแบน จริงอยู่ วิชาคณิตศาสตร์อาจสำคัญแต่ไม่ได้สำคัญไปกว่าวิชาศิลปะ หรือการเต้น ควรให้ทุกๆ พรสวรรค์มีโอกาสเท่าเทียมกัน

การศึกษาต้องสามารถดึงจิตวิญญาณจากเด็ก
การศึกษาต้องสามารถปรับแต่งได้ เพื่อการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง การศึกษาจะต้องสามารถดึงจิตวิญญาณจากเด็กนักเรียนแต่ละคนออกมาได้ ต้องเข้าถึงหัวใจของเด็กๆ ทุกคน  

Prince กล่าวต่อว่า มันอาจจะดูเหมือนเรื่องเพ้อฝัน แต่มันกำลังเกิดขึ้นในประเทศฟินแลนด์ พวกเขามีชั่วโมงเรียนน้อยลง ครูมีรายได้ที่มากพอ เด็กไม่มีการบ้าน พวกเขาเน้นความร่วมมือ แทนที่จะแข่งขัน การศึกษาของพวกเขาทิ้งประเทศอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น ประเทศอย่างสิงคโปร์ก็พัฒนาการศึกษาอย่างรวดเร็ว 

การศึกษาไม่ได้มีทางออกแค่ทางเดียว
"โลกของปลา ที่ไม่ต้องต้องถูกบังคับให้ปีนต้นไม้อีกต่อไป"

สุดท้าย Prince EA ขอบคุณทุกท่านที่ชมวิดีโอนี้ และเขาอยากให้ทุกคนช่วยแสดงความคิดเห็นว่า จะสามารถสร้างอนาคตด้านการศึกษาที่ดีได้อย่างไร ทาง https://www.neste.com/preorderthefuture/



6 นาที อาจเปลี่ยนความคิดคุณได้ 
คลิบวิดีโอนี้ มีความความยาวเพียง 6 นาที แต่เป็น 6 นาทีที่อาจเปลี่ยนความคิดเรื่องระบบการศึกษาของคุณได้ ที่ผมสรุปมาเป็นเพียงบางช่วงบางตอน หากท่านผู้อ่านสนใจสามารถคลิกชมได้ตามลิงค์ที่ให้ไว้ด้านล่างนี้  

****************************
รวมรวมโดย 
ชาติชยา ศึกษิต : 29 ก.ย.2559

ที่มาข้อมูล

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

ถนนที่ไม่ได้เลือก (The Road not taken)

ผมได้เห็นนโยบายใหม่ที่จะมีการเสนอให้เริ่มต้นใช้ในปีการศึกษา 2560 คือ ส่งเสริมให้เด็กไทยทุกคนเล่นดนตรีไทยให้เป็นคนละ 1 ชนิด ภายใน 5 ปี โดยคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) เป็นผู้เสนอให้กระทรวงวัฒนธรรมเตรียมหารือกับกระทรวงศึกษาธิการ นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้คงอยู่ และเป็นการฝึกสมาธิ ให้เด็กรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์


วิธีคิดดังกล่าวข้างต้น ผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด เพียงแต่สงสารเด็กนักเรียนไทยที่ต้องถูกบังคับให้ทำ โดยความคิดของผู้หลักผู้ใหญ่ที่อาจไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการจัดการศึกษาที่แท้จริง  ปัจจุบันนโยบาย "โลกสวยทางการศึกษา" หลายเรื่องที่ถูกกำหนดมาให้เด็กและครูต้องปฏิบัติ เช่น STEM ศึกษา การลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ การเรียนภาษาอังกฤษวันละ 1 ชม. การเรียนรู้แนวประชารัฐ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างภาระอันหนักอึ้งให้แก่เด็กๆ ของเรา รวมทั้งครูที่ทำหน้าที่เป็นผู้สอนอีกด้วย 

นโยบายดี แต่ควรเปลี่ยนวิธีทำ
ตามทฤษฎีพหุปัญญาแล้ว มนุษย์มีความสามารถทางปัญญาอยู่ 8 ด้าน ซึ่งแต่ละคนจะมีความชอบและความสามารถในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป เด็กหลายคนอาจชอบภาษา หลายคนอาจชอบคณิตศาสตร์ หลายคนอาจชอบดนตรี และหลายคนอาจชอบด้านอื่นๆ 

ปัญหาระบบการศึกษาของเรา คือ สนใจความอัจฉริยภาพของเด็กเพียงไม่กี่ด้าน  ออกแบบมาเพื่อสอนเด็กบางคนเท่านั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสอนเด็กทุกคน

ดูแต่การสอบ O-net ที่รัฐจัดให้มีการสอบทุกปี มันแค่เป็นตัวชี้วัดพหุปัญญาหรืออัจฉริยภาพของเด็กบางคนและบางด้านเท่านั้น มันไม่สามารถวัดอัจฉริภาพของเด็กในแต่ละด้านได้ทุกคน  การสอบวัดมาตรฐานที่รัฐจัดให้มีขึ้นกลับทำให้เด็กๆ ของเราต้องเครียด  ผู้ปกครองก็เครียด ผู้บริหารโรงเรียนก็เครียด โรงเรียนหลายแห่งพยายาม "สอนให้เด็กสอบ" มากกว่าจะสอน "ให้เด็กค้นหาตัวเองให้พบและเรียนรู้ตามที่ตัวเองถนัด" 


ที่มาของภาพ http://www.mindecodetd.com/multi-th/index.php




นโยบายส่งเสริมให้เด็กไทยทุกคนเล่นดนตรีไทยให้เป็นคนละ 1 ชนิด ภายใน 5 ปี นั้น
ดีเชิงนโยบาย แต่ก็ไม่ควรที่จะบังคับให้เด็กทุกคนต้องทำ   
การเล่นดนตรีไทย  จึงควรจะเป็นทางเลือกมากกว่า  

ถนนที่ไม่ได้เลือก (The Road not taken)
ปัจจุบันการจัดการศึกษาของไทยมีลักษณะของถนนที่เด็กไม่ได้เลือกเอง ผู้กุมนโยบายด้านการศึกษามักชอบยัดเหยียดให้แก่เด็กๆ ว่าพวกเขาจะต้องทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ นู้น..นี่..นั่น ทำให้การเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อ อันที่จริงพวกเขาควรมีเสรีภาพในการเลือกมากกว่านี้ การศึกษาต้องพยายามดึงเอาความเป็นอัจฉริยะของเด็กแต่ละคนออกมาให้ได้ และต่อยอด หาทางส่งเสริมเขาในด้านนั้นๆ 

เมื่อ 15 ปีที่แล้วผมอ่านหนังสือเรื่อง "พ่อรวยสอนลูก" ที่เขียนโดยโรเบิร์ต คิโยซากิ มีคำพูดน่าคิดเกี่ยวกับการศึกษาของผู้มีชื่อเสียง ดังนี้

วินสตัน เชอร์ชิล 
"ผมพร้อมที่จะเรียนเสมอ แต่ผมไม่ชอบถูกสอน"

จอห์น อัพไดค์
"เมื่อพ่อแม่ทั้งหลายพบว่าเด็กเป็นภาระอันหนักอึ้ง เขาจึงส่งเด็กไปอยู่ในคุกที่เรียกว่าโรงเรียน และใช้การศึกษาเป็นเครื่องทรมาน"   

นอร์มัน ดักลาส
"การศึกษา คือ โรงงานผลิตเสียงสะท้อนที่ควบคุมโดยรัฐ"

เอช. แอล. แม็คเค็น
"ชีวิตในโรงเรียน เป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขที่สุด"

กาลิเลโอ
"ไม่มีใครสอนใครได้ อย่างมากที่ทำได้คือ ช่วยให้เขาค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง"

มาร์ค ทเวน
"ฉันไม่เคยให้โรงเรียนเข้ามายุ่งกับการศึกษาของฉัน"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
"การศึกษามีมากเกินไป โดยเฉพาะในโรงเรียนอเมริกัน"

นอกจากนั้น โรเบิร์ตฯ ยังกล่าวถึงทัศนะของระบบการศึกษาในอเมริกาสมัยนั้นไว้ว่า เป็นระบบการศึกษาที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับความเปลี่ยนแปลง มันถูกออกแบบให้คงอยู่อย่างถาวร นักจัดการศึกษามักบอกว่า "ลูกคุณมีปัญหาในการเรียนรู้" มากกว่าจะบอกว่า "ระบบของเรามีปัญหาในการสอน" สอดคล้องกับคำกล่าวของท่านผู้หนึ่งจากเว็บไซต์ www.livebox.me/ajwiriyah ที่กล่าวถึงระบบการศึกษาไทย ไว้อย่างน่าคิดว่า 

"เราไม่มีทางพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ ถ้ายังคิดว่าเด็กเราโง่ และไม่รับผิดชอบ 
ที่โง่นะ คือ ระบบการศึกษา และที่ไม่รับผิดชอบ คือ ผู้มีอำนาจ"

เพราะถนนที่เด็กๆ ไม่ได้เลือกเอง (The Road not taken) ปัจจุบันจึงเป็นปัญหาของผู้จบการศึกษาของไทย เด็กๆ หลายคนต้องตกหล่นระหว่างการเรียน และหลายคนก็สามารถตะเกียกตะกายเรียนได้ถึงปริญญาตรี ปริญญาโท แต่กลับตกงาน หรือทำงานไม่ตรงตามที่เรียน และอีกหลายคนก็ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ถึงเวลาที่นักจัดการศึกษาทั้งหลายของไทยต้องหันกลับมานั่งคิดกันอย่างจริงจังเสียที เพราะโลกของการศึกษาในที่ทำงาน ในห้องประชุม จากแบบวัด แบบประเมิน จากผลการสอบ และสถิติทั้งหลายที่พวกท่านรวบรวมไว้ มันแตกต่างจากสภาพความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง

โลกการศึกษาไม่ได้สวยงามอย่างที่ท่านคิด 
อย่าคิดอะไรได้แว๊บๆ แล้วจะกลายเป็นนโยบายไปเสียทั้งหมด
การปฏิรูปการศึกษาไม่สำเร็จ ก็เพราะ
มันเป็นไฟไหม้ฟาง มันมอดเร็ว หุ้งข้าวไม่สุกเสียที   


***********************************
ที่มาข้อมูล
  • รักครู. (2559). เตรียมดีเดย์ใหเด็กไทยทุกคนเล่นดนตรีไทยเป็น 1 ชนิดเริ่มปีการศึกษา 60. [Online]. Available :http://www.xn--12cg5gc1e7b.com/6343. [2559 กันยายน 1 ]
  • คิโยซากิ, โรเบิร์ต ที. (2544). พ่อรวยสอนลูก # 3 : สอนลูกให้รวย. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น.
  • คิโยซากิ, โรเบิร์ต ที. (2544). พ่อรวยสอนลูก # 2 : เงินสี่ด้าน. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น.
  • คิโยซากิ, โรเบิร์ต ที. (2544). พ่อรวยสอนลูก. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น.