แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การพัฒนาตนเอง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การพัฒนาตนเอง แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

นิสิต "สองแผ่นดิน"

พระบรมฉายาลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
เสด็จพระราชดำเนินมาในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์
เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อ วันที่ 17-18 กรกฏาคม 2541

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย.2560)  ผมมีโอกาสได้ไป "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" อีกครั้ง ซึ่งจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายไปเมื่อ 3 ปีก่อน ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของบุตรชาย แต่วันนี้ เป็นของบุตรสาว ทั้งสองคนล้วนจบจากสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้ ถือเป็นบุญของพวกเขา และยังเป็นความภาคภูมิใจแก่ พ่อ แม่ ญาติพี่น้องและวงศ์ตระกูล อีกด้วย  

วันรับปริญญาไม่ใช่ "ตอนจบ"
ในคราวรับปริญญาของบุตรชาย ผมเคยเขียนบทความเพื่อเตือนสติลูกชายในครั้งนั้นว่า ให้มีความสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องใช้ความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา หาเลี้ยงชีวิตของตนเองให้ได้ เพราะชีวิตหลังรับปริญญา คือ การเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่แท้จริงบนโลกใบนี้  อย่าให้ใครดูถูกเราได้ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

นิสิต "สองแผ่นดิน"
การรับพระราชทานปริญญาบัตรในปีนี้ บรรยากาศเรียบง่าย ไม่มีเสียงร้องเพลง เสียงเล่นกิจกรรม เสียงแสดงความยินดีจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ดังเซ็งแซ่เหมือนอย่างเคย ช่อดอกไม้และของขวัญที่ระลึกส่วนใหญ่ใช้โทนสีขาวดำ เทา หรือสีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด เนื่องจากกำลังอยู่ในห้วงไว้ทุกข์แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งเสด็จสวรรคตจากพวกเราไปเมื่อปีที่แล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

บัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีนี้  จึงถือได้ว่าเป็น "นิสิตสองแผ่นดิน" เพราะเรียนในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 และรับพระราชทานปริญญาบัตรในแผ่นดินรัชกาลที่ 10  




ทุกคนกำลังเฝ้าดู
ผมขอชื่นชมที่ คณะกรรมการบัณฑิตฯ ในปีนี้  ได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครัั้งสุดท้าย ที่ทรงเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง เมื่อปี พ.ศ.2541 พร้อมนำพระปฐมบรมราโชวาทฯ ที่เคยพระราชทานแก่บัณทิตของจุฬาฯ เมื่อ วันที่ 21 พ.ค.2493 มาจัดพิมพ์ไว้ด้านหลังของภาพด้วย ความว่า

".....  แต่ขอให้นึกเสมอว่า เมื่อท่านสำเร็จการศึกษาออกไปแล้ว ยังมีคนจำนวนมากที่เอาใจใส่เฝ้าดู การกระทำของท่านอยู่ต่อไป ใครทำดีก็ได้รับคำชมเชยและสรรเสริญ ใครไม่ทำดีเขาก็จะพากันติ และพลอยติชมถึงสถานศึกษาของท่านด้วย 

ชื่อมหาวิทยาลัยของท่านคือ "จุฬาลงกรณ์" จะติดตัวท่านไปด้วยเสมอไม่ว่าจะประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่ท่านกระทำสิ่งใดลงไป จงคิดแล้วคิดอีก ทบทวนดูทั้งทางได้ทางเสียให้แน่ชัดเสียก่อน

"จุฬาลงกรณ์" หาได้เป็นแต่เพียงชื่อของมหาวิทยาลัยนี้เท่านั้นไม่ ยังเป็นนามของผู้พระราชทานกำเนิดของสถานที่แห่งนี้ด้วย ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนไปจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้...." 

ผมอ่านแล้ว รู้สึกปลื้มปิติแทนลูกชาย ลูกสาว และผู้ที่เคยเป็นนิสิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกคน  ขอให้ลูกๆ ทั้งสองของพ่อ จงจดจำ "พระปฐมบรมราโชวาทฯ ของในหลวงรัชกาลที่ 9"  ที่ทรงให้ไว้แก่บัณฑิตเอาไว้ให้แม่น อย่าได้ลืมเลือนเป็นอันขาด 




เพราะชื่อ "จุฬาลงกรณ์ "จะติดตัวลูกไปเสมอ
จะทำการสิ่งใด จงคิดไตร่ตรองให้ดี 

********************************
ขอแสดงความยินดีกับลูกสาวของพ่อ "จุฑามาศ จันทรวงศ์"
จาก พ่อของลูก พันเอก ดร.สุชาต จันทรวงศ์



วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คืนสู่สามัญ..ไร้เฟส ไร้ไลน์

คงต้องยอมรับว่าสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ล้วนมีอิทธิพลไปเกือบทุกวงการ มีประโยชน์ทั้งทางบวกและทางลบ ผสมผสานกันไป ผู้คน/องค์กร ต่างๆ ล้วนติดสื่อสารถึงกันได้อย่างรวดเร็วทันใจ ด้วยแอพพลิเคชั่นที่มีให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะในประเทศไทย แอพฯ ยอดนิยม คือ เฟสบุ๊ค และไลน์ 

ของทุกอย่างมีทั้งข้อดี ข้อเสีย  เช่นเดียวกันกับ เฟสบุ๊คและไลน์ ย่อมมีเช่นเดียวกัน  ขึ้นอยู่กับคนใช้ว่าจะใช้ประโยชน์จากมันด้านไหน
  • ผมใช้เฟสบุ๊ค วัตถุประสงค์หลักคือเผยแพร่เรื่องราวของตัวเองที่คิดว่ามีประโยชน์  ให้แก่เพื่อนๆ ของผม ซึ่งเพื่อนผมส่วนใหญ่ก็จะเป็นครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เพื่อนร่วมงาน ลูกศิษย์ลูกหา  แต่ก็ไม่วายที่จะมีผู้ใช้อื่นๆ ปลอมตัวด้วยโปรไฟล์ดีๆ มาลอกล่อขอเข้าเป็นเพื่อน ผมก็หลงรับเป็นเพื่อน และต่อมาก็นำเรื่องราวที่ไม่ค่อยดีนัก มาแชร์ มาส่ง มาแท็ก มาล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัว จนเกินเลยมากเกินไป สิ่งที่ผมไม่อยากรู้ก็นำมาให้รู้  จนผมมีความรู้สึกช่างน่ารำคาญเสียจริง 
  • ต้องการให้คนถูกใจ หลายคนที่ใช้เฟสปุ๊ค พอโพสต์เรื่องราวอะไรของตัวเองขึ้นไปก็มักจะคอยเฝ้าติดตามดูว่า "มีผู้ถูกใจโพสต์ของเรากี่คนแล้ว" (ซึ่งผมก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน)  หากถูกใจมากจะรู้สึกภาคภูมิใจ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ผู้ใช้เฟสบุ๊คไม่ค่อยคัดเลือกเพื่อน ใครขอเป็นเพื่อนมาก็รับมันทั้งหมด  มีความเชื่อที่ว่า "มีเพื่อนเยอะ มีคนไลค์เยอะ จะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสังคม"  เช่น หากมีเพื่อน 2,000 คน กดไลค์ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ 200 ไลค์เข้าไปแล้ว ผมเชื่อว่า ไม่มีทางที่ใครจะรู้จักและมีเพื่อนได้เยอะแยะขนาดนี้ เขาแค่เป็นเพื่อนในโลกเสมือนจริงเท่านั้น
  • ไลน์ เป็นแอพพลิเคชั่นอีกแนวหนึ่งแตกต่างจากเฟสบุ๊ค เจ้าไลน์ตัวนี้ สร้างตำนานทั้งดีและไม่ดี มาให้เราได้รับทราบอยู่บ่อยๆ ไอ้อย่างที่ไม่ดีนี่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย และฆ่ากันตายก็เยอะ ครอบครัวแตกแยก สามีมีกิ๊ก ภรรยามีชู้ ก็เพราะเจ้าไลน์นี่แหละ หากใครตั้งค่ารับเป็นเพื่อนโดยอัติโนมัติแล้วจะมีเพื่อนเต็มไปหมด การแชทข้อความ รูปภาพ  สติ๊กเกอร์ ปลิวว่อนเป็นว่าเล่น มีทั้งดีและไม่ดี ใส่ร้ายป้ายสี ยุยง แต่มันก็มีข้อดีเยอะนะครับ อาทิ การใช้ไลน์กลุ่มในการทำงาน ส่งข้อความ เอกสาร ไฟล์ต่างๆ  การโทร.หากันฟรี เป็นต้น  

เมื่อก่อนเราทำกันอย่างไร
ผมแทบนึกไม่ออกว่า หากวันนี้เราไม่มีเฟสบุ๊ค และไลน์ แล้วจะติดต่อสื่อสารกันอย่างไร ผมจำได้ว่าผมเคยใช้การติดต่อสื่อสารตั้งแต่อดีตเรื่อยมา ตั้งแต่ จดหมาย โทรเลข วิทยุ แพ็คลิงค์ เพจเจอร์ โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือ (เครื่องใหญ่ๆ) จนกระทั้งถึงสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ที่สามารถเนรมิตทุกอย่างตามสารพัดนึกในเครื่องเดียว และหากวันนี้ เราไม่มีเจ้าสมาร์ทโฟน เครื่องนี้ เราจะทำอย่างไร



คืนสู่สามัญ..ไร้เฟส ไร้ไลน์
ลองสังเกตุดูในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ว่างเว้นจากกิจกรรมต่างๆ  ผู้คนต่างก็จะหยิบเจ้าสมาร์ทโฟนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ ขึ้นมา แล้วก้มหน้า สไลด์ รูดๆ  พิมพ์ๆ แล้วก็หัวเราะ  ซึ่งผมก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกรำคาญตัวเอง ที่ผมต้องคอยดูหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก เพื่อคอยติดตามว่าจะมีผู้คนแชร์เรื่องราวอะไรมาให้อ่านบ้าง 

ผมตัดสินใจเลิกเล่นเฟส เล่นไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
  1. ผมอยากเป็นอิสระจากมัน ไม่เอาเวลาไปจดจ่ออยู่กับแอพฯ  ทั้งสองตัวนี้ 
  2. ผมอยากได้ความไว้เนื้อเชื่อใจกลับมาจากครอบครัว ว่าผมไม่มีเรื่องกิ๊กหรือเรื่องชู้สาว ใดๆ ทั้งสิ้น
  3. ผมอยากลองพัฒนาพฤติกรรมตัวเองใหม่ ไม่นั่งก้มหน้าอยู่กับจอสี่เหลี่ยม เพื่อเอาเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น
  4. ผมคิดว่าการติดต่อสื่อสารยังมีทางเลือกอีกหลายวิธี  ไม่จำเป็นต้องใช้มัน
การคืนสู่สามัญในครั้งนี้ อาจจะมีผลกระทบด้านการติดต่อสื่อสารอยู่บ้าง กับครอบครัว เพื่อนๆ  กลุ่มเพื่อน หรือกลุ่มที่ใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา ที่ชอบสั่งงานทางไลน์ ผมก็ขอโทษด้วย แต่ทุกคนก็ยังติดต่อและสั่งงานผมได้ทางโทรศัพท์เช่นเดิม

ลองดูสักตั้ง เพื่อความเป็นอิสระของตัวเอง


**************************

พันเอก ดร.สุชาต จันทรวงศ์
16 ก.พ.2559               

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Slow life & Less is more

ในโอกาสที่อีกไม่กี่วันจะถึงวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2559 ผมอยากจะเขียนบทความสักเรื่องหนึ่งไว้เป็นข้อคิดสำหรับการดำเนินชีวิตในปีหน้า แต่ยังไม่รู้จะเขียนอะไรดี เผอิญเมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้ไปพบแนวคิดของการออกแบบคอนโดมิเดียมแห่งหนึ่งย่านปู่เจ้าสมิงพราย สมุทรปราการ เขาใช้แนวคิดการออกแบบที่ว่า "Slow life" และ "Less is More"

Slow life หมายถึง การปรับสมดุลชีวิตให้ช้า และเรียบง่ายขึ้น 
ส่วน Less is More หมายถึง น้อยแต่มากด้วยประโยชน์
เห็นท่าจะจริงนะครับ ชีวิตเราในปัจจุบันนี้ รู้สึกว่าทุกอย่างรวดเร็วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางขึ้นรถลงเรือไปไหนมาไหน มีความสะดวกรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านทาง Facebook, LINE และโซเซียลมีเดียอื่นๆ ทำได้อย่างทันทีทันใด  แอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ที่อำนวยความสะดวกให้พวกเรามากมาย ทั้ง ดูหนัง ฟังเพลง จ่ายเงินค่าน้ำ ค่าไฟ จองตั๋วเดินทาง โอนเงิน โอนทอง  หลายคนเวลานี้มักก้มหน้าอยู่กับวัตถุสี่เหลี่ยมผืนผ้าสารพัดนึกของตัวเองมากกว่าจะเงยหน้ามาพูดคุยกัน 


ที่มาของภาพ
http://slowlifes.blogspot.com/2009/12/slow-life-japan-style.html
ชีวิตดูเหมือนดีนะ แต่เมื่อทุกอย่างมันรวดเร็วทันใจ นึกอยากได้อะไร ก็ได้ทันที ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงอาจทำให้ทุกคนจึงรู้สึกใจร้อนขึ้น แทบไม่รู้จักการอดทนและรอคอย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ปัจุบันเรามักพบเจอคดีทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำร้ายร่างกายกัน ฆ่ากัน ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องแปลกๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง  

ผมลองสืบค้นข้อมูลจากโลกออนไลน์ต่างๆ เรื่องการใช้ชีวิตแบบ Slow life นี้ มีข้อมูลเยอะมาก ลองหาอ่านดูเอานะครับ วิธีการทำชีวิตให้เป็นแบบ Slow Life ที่ผมค้นพบจาก http://health.kapook.com น่าสนใจครับ มีดังนี้
  1. จัดลำดับความสำคัญ เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดก่อน
  2. อยู่กับปัจจุบัน มีสติกับสิ่งที่เป็นอยู่
  3. เลิกจ้องจอบ้าง งดออนไลน์ให้ใจได้พัก
  4. ใส่ใจคนรอบข้าง ให้เวลากับพวกเขามากขึ้น
  5. ซึมซับธรรมชาติ ไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ้าง
  6. กินให้ช้าลง ละเอียดความอร่อยจากอาหาร
  7. ขับรถให้ช้าลง มีน้ำใจ บนท้องถนน
  8. ปรับมุมมอง มองหาสิ่งที่สวยงามแทนสิ่งแย่ๆ
  9. ทำทีละอย่าง ค่อยเป็นค่อยไป ทำบ้าง พักบ้าง
  10. หายใจลึกๆ อยู่นิ่งๆ หายใจ เข้า-ออกช้าๆ บ้าง
ทั้ง 10 ข้อนี้ ผมจะลองนำไปใช้ดูบ้าง ไม่รู้จะทำได้สักกี่ข้อ

Less is More
คำว่า Less is More นี้ก็น่าสนใจครับ เมื่อคืนนี้ เชื่อไหมว่า ที่ห้องพักผมถูกตัดไฟ (เพราะไม่ได้ไปจ่ายค่าไฟ) จึงไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ผมก็อยู่ได้ด้วยแสงเทียน แค่ไม่มีพัดลมให้ใช้ และทีวีให้ดู เท่านั้นเอง ชีวิตก็อยู่ได้ 

ผมลองเหลียวมองสิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ดูทำไมมันมีเยอะแยะมากมาย ตอนอยากได้ก็ซื้อ แต่พอเอาจริงเข้า เรามักจะใช้ของที่จำเป็นจริงๆ เพียงไม่กี่ชิ้น ที่เหลือถูกเก็บเอาไว้ ไม่ได้ใช้ บางทีก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าเราเคยมี นี่กระมังเป็นสาเหตุหนึ่งที่บ้านของเรามีข้าวของรกรุงรังเต็มไปหมด ทั้งที่บางอย่างไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย สู้มีของน้อยๆ แต่มากด้วยประโยชน์ดีกว่า




ในปีใหม่ พ.ศ.2559 ที่จะถึงนี้ ลองนำแนวคิดการใช้ชีวิตแบบ  Slow life & Less is More ไปใช้ดูนะครับ มันอาจจะทำให้เรามีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้  ลองดูครับ! 

**************************
ชาติชาย คเชนชล : 29 ธ.ค.2558  

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ครูเปรียบเสมือน "ปากกา" และ "ยางลบ"


ไม่ได้เขียนบทความในบล็อกนี้มานานมาก  วันนี้พอจะปลีกเวลาจากงาน (บางอย่างที่ไร้สาระ) มาได้บ้าง ตั้งใจนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เขียนบทความสักเรื่องเกี่ยวกับ "ครู"  เพราะใกล้จะถึงวันครูแล้ว คือ วันที่ 16 ม.ค.2558 ที่จะถึงนี้ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี   


ผมนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่ง ซึ่งเป็นความเชื่อที่แตกต่างกัน บางคนเชื่อว่า   
"เด็กที่เกิดมาเปรียบเสมือนผ้าขาว หากเราใช้ปากกาขีดเขียนอะไรลงไปบนผ้านั้น เด็กก็จะเป็นคนเช่นนั้น"

แต่บางคนก็เชื่อว่า 
"เด็กที่เกิดมาเปรียบเสมือนผ้าดำต่างหาก เกิดมามีกิเลส ตัณหา เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั่วไป เราจะต้องหายางลบ มาลบความดำมืดให้ออกจากตัวเขา ขัดเกลาให้เขาเป็นคนดี เปรียบเสมือนเปลี่ยนจากผ้าดำให้เป็นผ้าขาวบริสุทธิ์"  

ในทัศนะส่วนตัวแล้ว ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไร ล้วนมีความมุ่งหวังให้เด็กเป็นคนดีด้วยกันทั้งสิ้น

ปากกาที่ใช้เขียนลงไปในผ้าขาว
เด็กๆ ยุคเศรษฐกิจดิจิตอลนี้ มีปากกาจำนวนมากมายหลายแท่ง ที่ช่วยกันทิ่มแทงและเขียนลงไปบนตัวเด็ก ข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมายมหาศาล ที่เด็กๆ ได้รับและได้สัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ ทีวี อินเตอร์เน็ต วิทยุออนไลน์ คลิบวิดีโอ คลิบเพลง เกมส์ แอปพลิเคชั่นต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข่าวสารทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นต้น ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงที่เด็กๆ ได้รับ อาจทำให้เขาไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่า "อะไรดี หรืออะไรไม่ดี" 

ยางลบที่คอยลบผ้าดำ
ตรงกันข้ามกับยางลบ ที่จะคอยลบสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวเด็ก ซึ่งกลไกที่เป็นยางลบในสังคมไทยปัจจุบันนี้ ก็มีอยู่จำนวนน้อยมาก สิ่งหนึ่งที่คาดหวังก็คือ "พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า" ที่จะคอยช่วยลบและชำระสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวและจิตใจของเด็ก  แต่ดูเหมือนกลไกนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ  เด็กเบื่อวัด  เด็กเบื่อการสวดมนต์  เด็กเบื่อการใส่บาตร  เด็กเบื่อการนั่งสมาธิ เด็กเบื่อการฟังเทศน์ ฟังธรรม เด็กเบื่อการเรียนวิชาศีลธรรม ฯลฯ กลไกที่สังคมคาดหวังที่จะเป็นยางลบชั้นดีอีกกลไกหนึ่ง ก็คือ "การอบรมสั่งสอนของครู"

ครู...จึงควรเป็นปากกาและยางลบไปพร้อมๆ กัน
เด็กๆ เริ่มเข้าเรียนนับตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี นับเป็นเวลาโดยเฉลี่ยแล้ว เกือบ 20 ปีที่ต้องอยู่ในสถานศึกษา วันละ 6-8 ชั่วโมง (เว้นเสาร์-อาทิตย์ และปิดเทอม) เด็กๆทุกคนได้สัมผัสกับ  "ครู" คนแล้วคนเล่าที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนในแต่ละชั้นปี  ครูจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะคอยใช้ปากกาเขียนสิ่งที่ดีดีอะไรก็ได้ลงไปในตัวเด็ก และใช้ยางลบ คอยลบสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากตัวเด็กเช่นกัน หน้าที่ที่เป็นทั้งปากกาและยางลบนี้ ครูจึงต้องทำไปพร้อมๆ กัน ครูไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน แต่ครูต้องทำหน้าที่อบรมบ่มนิสัยด้วย "การอบรมบ่มนิสัย" นี้เอง คือ "ยางลบชั้นดี"    

ครูเปรียบเสมือน "ปากกา" ที่คอยเขียนสิ่งดีๆ ลงในตัวเด็ก
และในคราวเดียวกัน ครูก็จะเป็น "ยางลบ" คอยลบสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวเด็กไปพร้อมๆ กัน 

ชะตากรรมของประเทศอยู่ในมือครู
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กล่าว่า 
"ไม่มีอาชีพไหนเลยที่จะวิเศษ และยิ่งใหญ่เท่าอาชีพครู
และไม่มีอาชีพไหนเลยที่จะกำหนดชะตากรรมของประเทศ เหมือนที่ครูทำได้..
ไม่มีอาชีพไหนที่จะช่วยให้อนาคตของโลก เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
นอกจากอาชีพ "ครู"


        
ดร.อาจองฯ ท่านกล่าวถูก ครูมีความสำคัญต่อในอนาคตของชาติมาก เพราะครูอยู่กับเด็กๆ ถึง 20 ปี ซึ่งถือว่า "ครูเป็นอาชีพที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและทัศนคติของตัวเด็กมาก"  ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะหันกลับมาให้ความสำคัญต่อวิชาชีพครูมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ครูต้องมีเกียรติและศักดิ์ศรีได้รับการยอมรับจากสังคม ครูจะต้องได้รับการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา มีรายได้พอสมควรแก่ฐานะวิชาชีพ มีขวัญและกำลังใจที่ดี มีโอกาสมองเห็นความก้าวหน้าในวิชาชีพของตนเอง และมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพครู 


อย่าปล่อยให้ครูต้องไปทำงานจิปาถะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนเด็ก  เช่น  งานธุรการ งานบัญชี งานจัดซื้อจัดจ้าง งานร่วมพิธีกรรมที่ไม่จำเป็น งานต้อนรับ ชงกาแฟ  ครูบางโรงเรียนถึงขั้นต้องถูห้อง ถูระเบียง ตัดหญ้า ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้เอง เพราะไม่มีภารโรง และบ่อยครั้ง ที่ครูหลายคนต้องทิ้งเด็ก ทิ้งการสอนไปประชุมเรื่องการประเมินมาตรฐาน  การประกันคุณภาพ แล้วยังต้องกลับมาจัดทำเอกสารเพื่อโกหก อีกจำนวนมากมายจนหน้าเบื่อ  


นอกจากนั้น ครูสมัยนี้ยังต้องวุ่นวายอยู่กับการหาข้อสอบมาติวสอบ O-net , A-net เพื่อยกระดับตัวเลข ตัวสถิติ หรือตัวชี้วัดต่างๆ ตามที่ผู้บริหารตามลำดับชั้นต้องการ ครูบางคนแทบไม่ได้มีเวลาอยู่กับเด็กเลย  ยิ่งโรงเรียนขนาดเล็กๆ ที่มีครูอยู่ 4-5 คน แต่กลับมีปริมาณงานเท่ากับโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีครูเป็น 100 คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ครูทำงานแบบ "ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต" เลย เห็นแล้วน่าสงสารครู และเป็นห่วงเด็กๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ


ในโอกาสใกล้จะถึงวันครูประจำปี พ.ศ.2558 นี้ ผมขอเป็นกำลังใจแด่คุณครูทุกท่าน  ได้ยึดมั่นตามแนวทางที่ในหลวงฯ ได้พระราชทานไว้ใน  ส.ค.ส.2558  ที่ว่า "ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์" เพื่อท่านทุกคนจะได้เป็นครูที่ดีของแผ่นดิน ครูที่ดีของศิษย์ และครูที่ดีของสังคม สืบไป




****************************
ชาติชาย คเชนชล : 7 ม.ค.2558 

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมบัติของผู้ดี

หนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่อง "สมบัติของผู้ดี"  กระทรวงศึกษาธิการได้มอบ ม.ล. ป้อง มาลากุล จัดทำคำอธิบายเพิ่มเติมจากหนังสือสมบัติของผู้ดีของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา และมอบให้นายสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้ตรวจทาน กรมวิชาการจัดพิมพ์จำหน่ายใช้ประกอบการ เรียนการสอนตามหลักสูตรประโยคประถมศึกษา พุทธศักราช 2503 มาตั้ง แต่ปีพุทธศักราช 2504 


















หนังสือเรื่องสมบัติผู้ดีนี้ เขาบอกว่า "เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา" ผมได้คัดลอกสมบัติของผู้ดีบางภาคบางข้อ มาเขียนไว้  ตั้งใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยได้อ่าน ...แต่เธอคงไม่เข้าใจแน่ๆ เลยครับ  เพราะเธอไม่ใช่เด็กประถมศึกษา......

สมบัติของผู้ดี  ภาค 1  ผู้ดี ย่อมรักษาความเรียบร้อย
  • กายจริยา 
    • ข้อ 3 ผู้ดีย่อมไม่ล่วงเกินถูกต้องผู้อื่นซึ่งไม่ใช่หยอกกันฐานเพื่อน หมายความว่า การที่จะถูกต้องตัวผู้อื่นนั้น ต้องระมัดระวังถ้าเป็นผู้ใหญ่กว่า หรือคนที่ไม่ได้คุ้นเคยอย่างเพื่อนกัน
    • ข้อ 4 ผู้ดีย่อมไม่เสียดสีกระทบกระทั่งกายบุคคล หมายความว่า ตามปรกติร่างกายผู้อื่นนั้นไม่ควรถูกต้อง หากมีความจำเป็นจะต้องเสียดสีกระทบกระทั่ง เช่น ในยวดยานพาหนะ ต้องขอประทานโทษก่อนจึงเสียดสีไปได้เป็นต้น
  • มโนจริยา
    • ข้อ 1 ผู้ดีย่อมไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกำเริบหยิ่งโยโส หมายความว่า ต้องทำใจให้ติดอยู่ในการงานที่กำลังทำอยู่ มุ่งทำงานให้สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ทำรวนเรจับจด คิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ เห็นดีเห็นชอบเพียงชั่วขณะ หรือเมื่อได้ทำงานอะไรทำสำเร็จแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ทำหยิ่งยโสนึกว่าไม่มีใครสู้ได้ ต้องสะกดอกสะกดใจ มุ่งทำงานที่กำลังทำอยู่นั้นให้สำเร็จเป็นเรื่อง ๆ ไป
สมบัติผู้ดีภาค 4  ผู้ดีย่อมมีกริยาเป็นที่รัก
  • กายจริยา
    • ข้อ 13  ผู้ดีย่อมไม่จ้องดูบุคคลโดยเพ่งพิศเหลือเกิน หมายความว่า เมื่อพบปะบุคคลใด ๆ ก็ตาม ไม่ควรจ้องดูบุคคลนั้นจนผิดปรกติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกจ้องดูนั้นเห็นเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ได้ แม้จำเป็นต้องดู ก็เพียงเพื่อกำหนดหมายจำหน้าจำหน้าจำตากันไว้เท่านั้น
สมบัติผู้ดีภาค 10  ผู้ดีย่อมไไม้ประพฤติชั่ว
  • มโนจริยา
    • ข้อ 3 ผู้ดีย่อมมีความเหนี่ยวรั้งใจตนเอง  หมายความว่า ตามปรกตินั้นใจของคนมีกิเลส ย่อมแส่หาอารมณ์และส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ คือ ความรัก ความชัง ความหลง และสิ่งทั้งหลายอันแวดล้อมตนอยู่เล่า แต่ละอย่างล้วนยั่วยวนชวนให้เกิดอารมณ์ทั้งนั้น สิ่งที่ดีงามย่อมยั่วให้รัก สิ่งที่ไม่ดีงามย่อมยั่วให้ชัง สิ่งอันมีอย่างนั้นย่อมยั่วให้หลง เมื่อประสบอย่างนั้นย่อมเหนี่ยวรั้งใจไว้ไม่ให้ส่ายไปตามอารมณ์เหล่านั้น รักษาใจให้เป็นปรกติไว้อย่างนี้จึงชอบจึงควร













ขอแถมเรื่องนี้อีกเรื่องครับ คือ การโปรยเสน่ห์ 8 วิธี ให้เพศตรงข้ามแบบไม่ทิ้งความเป็นคุณ เผอิญผมไปค้นพบในเว็บไซต์ อิงดาว พราวฟ้า ลองอ่านดูนะครับ ว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใช้วิธีไหนบ้าง

  1. พัฒนาลักษณะท่าทางของคุณ (การเดิน การนั่ง อิริยาบถต่างๆ)
  2. ทำหน้าตาให้รีแลกซ์
  3. ใช้สายตาเป็นการเชื่อมต่อ
  4. จำชื่อของคนอื่นให้ได้
  5. คุยกันเรื่องงานอดิเรก
  6. ชมบุคคลที่สาม แทนการซุบซิบนินทา
  7. ปรับระดับน้ำเสียง (ให้ดีขึ้นได้)
  8. ยิ้มให้เห็นฟันขาว
ผมไม่ทราบว่าสมบัติของผู้ดี และวิธีโปรยเสน่ห์ ที่เขียนมานี้ ท่านนายกฯ หญิงของไทย ท่านชอบอ่านอะไรมากกว่ากัน ...แต่จะอ่านอะไรก็ตาม ท่านพึงตระหนักเอาไว้ว่า

"หญิงไทย ควรรักนวลสงวนตัว"

ดูนายกหญิงชาติอื่นๆ เขาสิ...เธอแลดูสง่างาม น่าเกรงขาม
...แต่หันมาดูนายกหญิงของไทย เหมือนกับ......?????????




































**************************************
ที่มา : 
สมบัติของผู้ดี  : http://olddreamz.com/bookshelf/properties/properties.html

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท  ปีที่ 23 ฉบับที่ 403 ประจำเดือน ธันวาคม 2555 หน้า 3


วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Tablet ไทยเวอร์ชั่น

ในที่สุด รัฐบาลไทยก็ตัดสินใจซื้อแท็บเล็ต เพื่อแจกนักเรียนชั้น ป.1 ของเราตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้จำนวน 800,000 เครื่องกับรัฐบาลจีน แบบ government to government (G to G) โดยใช้วิธีนำข้าวไปแลกกับแท็บเล็ต และผมเชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลไหน ก็คงต้องมีการแจกแท็บเล็ตอย่างนี้กันต่อไป

หากเรารู้ว่าในอนาคตเราคงต้องแจกแท็บเล็ตอย่างนี้ให้เด็กๆของเราเป็นประจำทุกปี ปีละเกือบ 1 ล้านเครื่อง ผมเสนอว่า "เราควรจะหันกลับมาวางแผนหาทางผลิตแท็บเล็ตเองมากกว่าที่จะต้องซื้อใหม่จากต่างชาติเป็นประจำทุกปี"  ผมว่าคนไทยมีคนเก่งอยู่มาก แต่เรามักไม่ให้โอกาสพวกเขา พวกเขาจึงต้องระเหเร่ร่อนไปสมัครงานเป็นลูกจ้างของบริษัทฯต่างชาติแทน รัฐบาลไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับนโยบายการวิจัยและพัฒนา เราเป็นประเทศที่ชอบซื้อเทคโนโลยี มากกว่าเป็นประเทศที่จะสร้างเทคโนโลยี คนจีนในสมัยก่อนก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรไปมากกว่าเรา มีการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ด้วยซ้ำไป แต่วันนี้เรากลับต้องซื้อเทคโนโลยีจากเขา

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัดว่า รัฐบาลไทยแต่ละสมัยไม่ค่อยสนใจในการวิจัยและพัฒนา เช่น สมัยก่อนหลายคนคงได้เคยสัมผัสและใช้งาน "เวิร์ดจุฬา" และ "เวิร์ดราชวิถี" ก่อนที่จะมีไมโครซอร์ฟเวิร์ดด้วยซ้ำไป ใช้กันอย่างกว้างขว้างในแวดวงราชการและสถานศึกษา ทั้งสองเวิร์ดสร้างและพัฒนาโดยคนไทยแท้ๆ คือ สถาบันบริการคอมพิวเตอร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชมรมไมโครคอมพิวเตอร์ โรงพยาบาลราชวิถี แต่กลับไม่มีการต่อยอด วันนี้...เวิร์ดเหล่านี้ตายไปหมดแล้ว กลายเป็นเพียงแค่ตำนาน วันนี้เราจึงต้องใช้เทคโนโลยีของคนอื่นอยู่ร่ำไป

รัฐบาลน่าจะจัดสรรงบประมาณแก่สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษาต่างๆ ของไทยที่มีอยู่มากมายช่วยกันระดมมันสมอง อาจจัดตั้งเป็นทีมงานวิจัยและพัฒนาสร้างต้นแบบ "Tablet ไทยเวอร์ชั่น" ขึ้นมาสักเครื่องหนึ่ง เสร็จแล้วนำมาผลิตเพื่อแจกจ่ายให้เด็กๆ ของพวกเราใช้เรียนหนังสือ แรกๆ อาจจะไม่ดีนักก็ค่อยพัฒนาปรับปรุงเป็นเวอร์ชั่นใหม่กันไปเรื่อยๆ  หากเป็นอย่างนี้ ต่อไปเราก็จะมีเทคโนโลยีที่เป็นของเราเอง ไม่ต้องพึ่งพาจากผู้อื่น  แถมอนาคตอาจสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นเชิงพาณิชย์ได้อีกทางหนึ่งด้วย

ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ
ไทยไม่เคยทำ ชอบซื้อเขามาใช้ แล้วใครเจริญ


***********************************
ชาติชาย  คเชนชล : 14 ก.พ.2555

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

การอ่านคนจากน้ำเสียงและการพูดจา

การอ่านคนจากน้ำเสียงและลักษณะการพูดจานี้ ผมค้นหามาจากเว็บไซต์ http://www.pattanakit.net  ซึ่งเขียนเกี่ยวกับเรื่อง วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคน   เหตุที่ผมค้นหาเรื่องนี้ เพราะผมสังเกตว่า การพูดจา การตอบคำถาม การให้สัมภาษณ์ต่างๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ดูแล้วแปลกๆ ทั้งสีหน้า ท่าทาง แววตา การมอง น้ำเสียง การจีบปากจีบคอ การดัดเสียง บางครั้งก็มีอาการโกรธ เกี้ยวกราด หรือประหวั่นพรั่นพรึง ไม่ค่อยนิ่ง ซึ่งมีความแตกต่างจากผู้นำท่านอื่นๆ ทั่วไป  จึงเป็นแรงจูงใจทำให้ผมลองค้นคว้าเรื่องนี้ดู  บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาจะจับผิดต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ แต่ที่เลือกนำท่านมาเป็นตัวอย่างเพราะท่านเป็นบุคคลสาธารณะ จึงเลือกที่จะศึกษาท่าน  เพื่อเป็นความรู้ต่อไป      


โปรดดูคลิบวีดิโอตัวอย่างก่อนอ่านบทความต่อไป






การอ่านคนจากน้ำเสียง
ระดับความดังของเสียง
  • คนเสียงดังผิดปกติ แต่มีรูปร่างเล็ก จะเป็นคนชอบใช้อิทธิพล หรืออำนาจไปควบคุมผู้อื่น  ขาดความอดทน หรือ เป็นผู้ที่มีความมั่นใจสูง
  • เสียงเบาและมีโทนเสียงต่ำ จะเป็นผู้ที่มีความสงบภายใน และมั่นใจในตัวเอง
  • ข้อสังเกตุ : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
    • จากปกติพูดเสียงเบา ---> เปลี่ยนเป็นพูดเสียงดังผิดปกติ  มีแนวโน้มว่าช่วงนั้นอาจเกิดการตื่นเต้น
    • จากปกติพูดเสียงดัง ---> เปลี่ยนเป็นพูดเสียงเบาผิดปกติ มีแนวโน้มว่าอาจมีปัญหาในชีวิต มีความทุกข์ทางกายหรือทางใจ
จังหวะของเสียง
  • พูดเร็วมากๆ แบ่งได้ออกเป็น 2 ขั้ว
    • เป็นคนใจร้อน  มุ่งมั่น หรือ
    • Self-esteem ต่ำ จะพูดเร็วแต่ไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำ หรือพูดติดอ่าง  เพราะตั้งใจให้คนฟังไม่ทัน
  • พูดช้ามากๆ แบ่งตามรูปร่าง
    • ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างเล็ก อาจป่วย หรือเป็นคนที่ Negative มากจนเกิดอาการอ่อนเพลีย
    • ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ จะเป็นคนชอบดูถูกผู้อื่น คิดว่าตัวเองเก่งกว่า และมักมีสายตาเหยียดผู้ฟัง
  • ข้อสังเกต : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
    • จากปกติพูดช้า ---> เปลี่ยนเป็นพูดเร็ว แสดงว่ากำลังโกรธ หรือกำลังโกหก
    • จากปกติพูดเร็ว ---> เปลี่ยนเป็นพูดช้า แสดงว่ากำลังคิดหาคำพูดที่จะสื่อความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจยิ่งขึ้น
พูดจาติดๆ ขัดๆ
  • แนวโน้มนิสัย  แบ่งได้ 2 ขั้ว คือ
    • ไม่จริงใจ พยายามหาเหตุผลต่างๆ เพื่อเข้าข้างตัวเอง
    • จริงใจ คือพยายามสรรหาคำพูดเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ
  • ข้อสังเกต : ให้สังเกตจากร่างกาย
    • ท่าทางไม่นิ่ง ขาแกว่งไปมา ไม่สงบตัวสั่น แสดงว่า ไม่จริงใจ
    • ท่าทางสงบ สายตานิ่งสงบ แสดงว่า จริงใจ
น้ำเสียงที่มีการดัด หรือไม่เป็นธรรมชาติ
  • แนวโน้มลักษณะนิสัย ต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ มีปัญญาความสามารถสูงกว่าคนอื่นๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่

การอ่านคนจากลักษณะการพูดจา
วิธีการตอบคำถาม
  • นิ่ง แสดงว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
  • พูดยืดยาว แสดงว่า  จริงๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น
พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
  • เป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
  • จิตใจโหดร้าย ขอบข่มขู่ผู้อื่น
การเปลี่ยนเรื่องพูด อาจมีสาเหตุดังนี้
  • เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
  • ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น จึงไม่อยากพูด
  • ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยนนั้น หากไม่มีความเกี่ยวโยงกับเรื่องเดิม แสดงว่ากำลังปกปิดความจริง
คนที่เปิดเผยตัวมาก
  • แสดงว่าเขาสนใจในตัวเราจึงยอมเปิดเผยข้อมูลเยอะ หรือ
  • อาจต้องการสรางภาพ
คนที่ชอบพูดจาว่า "ลุย"
  • เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว

หากท่านดูคลิบวีดิโอตัวอย่างที่นำมาให้ชมข้างต้น แล้วนำมาวิเคราะห์ประกอบกับหลักการการอ่านคนจากน้ำเสียงและลักษณะการพูดจาที่เขียนมา ท่านอาจจะพอมองเห็นได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย เป็นคนเช่นไร? นอกจากนี้ ท่านยังสามารถใช้หลักการนี้อ่านนักการเมืองท่านอื่นๆ ได้อีกหลายท่าน เช่น ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง เป็นต้น 


***************************************
จุฑาคเชน : 23 ม.ค.2555  

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รวมนวัตกรรมการดำรงชีพระหว่างน้ำท่วม 2554 "ภูมิปัญญาประชาชน"

ในขณะที่ประเทศไทยของเราต้องประสบกับมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ในหลายจังหวัด ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2554 ที่ผ่านมาจนกระทั่งปัจจุบัน (ณ วันที่เขียนบล็อกนี้ 24 ต.ค.2554) มวลน้ำมหาศาลหลากมาจากทางภาคเหนือ ลงมาภาคกลาง กำลังจะไหลทะลักเข้าท่วมกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย 

มหาอุทกภัยครั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำและพื้นที่ต่ำต่างๆ ล้วนต้องผจญกับน้ำท่วมอย่างแสนสาหัส บางส่วนถึงขั้นต้องอพยพจากบ้านเรือนไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ที่ทางราชการได้จัดไว้ให้จำนวนหลายแห่ง   

คนไทยไม่เคยทิ้งกัน
การบริจาคทรัพย์สิน ข้าว ปลา อาหาร สิ่งของเครื่องใช้จำเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย เป็นไปอย่างต่อเนื่อง    นอกจากนั้นยังมีนวัตกรรมต่างๆ ที่เป็น "ภูมิปัญญาประชาชน" ช่วยกันคิดขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้ประสบภัยสามารถดำรงชีพในระหว่างน้ำท่วมอยู่หลายรายการ  ซึ่งผู้เขียนได้ไปพบตามสื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ เว็บบล็อก และเครื่อข่ายสังคมออนไลน์ จึงได้นำมารวบรวมไว้ เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้อ่าน และอาจจะเป็นช่องทางช่วยเผยแพร่ไปยังผู้ประสบภัยน้ำท่วมอีกช่องทางหนึ่ง  นวัตกรรมต่างๆ ที่เสนอไว้นี้ ยังไม่หมดเสียทีเดียว หากผู้อ่านท่านใดไปพบเจอสามารถเพิ่มเติมไว้ได้ในท้ายบทความนี้ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อไป 


นวัตกรรมระหว่างน้ำท่วม 2554 "ภูมิปัญญาประชาชน"

นวัตกรรมแรกที่เอามาดูเล่นๆ กัน  ในยามที่รถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์ ใช้การไม่ได้ นายกระบือ (ควาย) นี่แหละจะเป็นพระเอกเลยทีเดียว


















การเตรียมตัวก่อนน้ำมาถึงพื้นที่


























จุดเฝ้าระวังป้องกันน้ำเข้าบ้าน


 ส้วมฉุกเฉิน


สุขาเคลื่อนที่รักษ์สิ่งแวดล้อม


สุขากระดาษ


ส้วมฉุกเฉินสามแบบ

ถุง"จัดหนัก"
(ผลิตโดยศิษย์เก่าสถาปัตย์ จุฬา และ เพื่อนๆ นิเทศ หอการค้า แจกจ่ายฟรีครับ อ่านเพิ่มเติม http://men.mthai.com/content/5855 )


วิธีการทำน้ำสะอาด


ผ้าอนามัยยามฉุกเฉิน


ทำถุงยังชีพเป็นเสื้อชูชีพ


รองเท้าถุงพลาสติก



การเก็บอาหารไว้ให้นานเมื่อไม่มีตู้เย็น






ตะเกียงฉุกเฉิน



ของใช้จำเป็นยามน้ำท่วม


โมบายขวดน้ำสื่อความหมาย



ไม้เช็คไฟฟ้ารั่ว

เครื่องช่วยกรอกทรายใส่ถุง


สร้างเรือจากฟิวเจอร์บอร์ด


สร้างแพจากขวดน้ำดื่ม


สร้างแพจากลังใส่ขวดน้ำอัดลม


สร้างเรือและแพแจกท่อพีวีซี


เรือแบบต่างๆ


แพทำจากต้นกล้วย


เรือจากท่อ PVC


แพแสวงเครื่อง


















แพพิทักษ์ที่พักชั่วคราว


แพพึ่งพิงพร้อมผลักดันน้ำ


การห่อรถยนต์กันน้ำ



การสร้างทำนบกั้นน้ำ





5 วิธีป้องกันอุบัติเหตุที่มากับน้ำ

พิสูจน์ทราบงูที่มากับน้ำท่วม



เตือนภัยระวังไฟดูด ระหว่างน้ำท่วม


รวมเบอร์โทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือ



****************************************