แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้าราชการ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้าราชการ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2564

แค่เกษียณราชการ แต่อย่าเกษียณตัวเอง : Fine your passion

บทความนี้ เขียนขึ้นขณะที่ผมเหลือเวลารับราชการอีก 113 วัน ก่อนที่จะเกษียณราชการ โดยมุ่งหวังที่จะให้กำลังใจตัวผมเอง รวมทั้งผู้ที่จะเกษียณราชการ ในปี พ.ศ.2564 นี้ หรือผู้ที่เกษียณไปแล้ว และกำลังจะเกษียณในอีก 2-3 ปีข้างหน้า


สงบจิต คิดทบทวน
หากตั้งสมมติฐานว่า เราจะเสียชีวิตอายุ 80 ปี ดังนั้น หลังจากเกษียณราชการ เราก็ยังเหลือเวลาอีก 20 ปี คิดเป็นเวลา 1 ใน 4 ของชีวิต หรือ เหลือชีวิตอีก 25% เลยทีเดียว เราจึงต้องหันมาสงบจิตคิดทบทวนกันดูว่า "ชีวิตที่เหลือจะทำอะไร"

แค่เกษียณราชการ ไม่ได้หมายความว่าต้องเกษียณตัวเอง หากเราดูแผนภูมิชีวิต จะพบว่า การรับราชการเป็นเพียงห้วงเวลาหนึ่งของชีวิต คิดได้เพียงร้อยละ 47.50 ของเวลาทั้งหมด เวลาที่เราใช้ไปแล้วตั้งแต่เด็ก ๆ และตอนเรียนหนังสือ ร้อยละ 27.50  เวลาที่เหลือในชีวิตอีกร้อยละ 25 จึงควรทำให้มีคุณค่าสำหรับตัวเอง ตามที่เราชอบ ตามที่เราอยากทำ ตามที่เราฝัน อย่าเป็น คนสูงอายุหรือคนชรา (Older person) ที่เป็นภาระของผู้อื่น จงเป็นคนชราที่มีคุณค่า และพยายามบำรุงรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีอยู่เสมอ  เพราะสุขภาพจะเริ่มเสื่อมถอยลงตามสภาพสังขารและกาลเวลา  ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้ ตามภาพที่แสดงด้านล่าง


สังคมผู้สูงอายุ 
องค์การสหประชาชาติ (United Nations :UN) ได้ให้นิยาม ผู้สูงอายุ (Older person) หมายถึงประชากรทั้งเพศชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และได้แบ่งระดับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็น 3 ระดับ ได้แก่
  1. ระดับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
  2. ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์
  3. ะดับสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society) หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า ร้อยละ20 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่
ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่า ในช่วงปี 2544-2643 จะเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ  ประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ ไปแล้วเมื่อ พ.ศ.2549 ตามด้วย อิตาลี (พ.ศ.2550) เยอรมัน สวีเดน (พ.ศ.2555)  ฝรั่งเศส (พ.ศ.2563) อังกฤษ (พ.ศ.2564) 

ส่วนประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ สรุปว่า ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 และคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในช่วงปี พ.ศ.2567-2568

Fine your passion 
เพื่อให้คุณเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณค่า ผมขอแนะนำให้คุณ "ค้นหาความชอบของคุณ แล้วทำมัน" ที่ผ่านมาชีวิตคุณอาจคุ้นชินกับการมาทำงานตั้งแต่สองโมงเช้าเลิกสี่โมงเย็น หลังจากเกษียณราชการแล้ว คุณจะแค่รู้สึกเป็นอิสระในช่วงแรก ๆ  รู้สึกดี ไม่ต้องไปทำงาน แต่อีกไม่นานนัก คุณจะรู้สึกว่า ชีวิตตัวเองช่างไร้ค่าสิ้นดี วัน ๆ  ไม่มีอะไรจะทำ ชีวิตซ้ำซาก จำเจ  หลายคนเกิดความรู้สึกว่า ชีวิตช่างอับเฉา เงียบเหงา จนเกิดอาการซึมเศร้าไปเลยก็มี   

นอกเหนือจากกิจวัตรประจำวัน และงานอดิเรกที่คุณชอบแล้ว คุณลองหาความชอบความหลงไหลของคุณในด้านอื่น ๆ ให้พบ มันอาจจะทำให้ชีวิตคุณมีรสชาติมากขึ้น เช่น
  • ทำธุรกิจเล็ก ๆ ที่คุณชอบ โดยไม่ได้คาดหวังผลกำไรเป็นที่ตั้ง 
  • สมัครเป็นสมาชิกสมาคม องค์กร หรือชมรม  ที่คุณชอบ 
  • สมัครเป็นจิตอาสาทำงานให้ชุมชนและสังคม 
  • หารายได้จากการเล่นโซเซียลมีเดียต่าง ๆ 
  • เขียนหนังสือ บทความ เรื่องสั้น เรื่องเล่าของคุณ เพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง
  • รับเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่คุณถนัด
  • สมัครเป็นอาจารย์พิเศษ หรือวิทยากรบรรยายพิเศษในโอกาสต่าง ๆ 
  • เปิดสอนและอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ที่คุณเชี่ยวชาญ
  • ร่วมเป็นคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำงาน ด้านต่าง ๆ ให้สังคม
  • เป็นแกนนำจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่เพื่อน ๆ 
  • ฯลฯ

วิธีค้นหา Passion ลองฝึกทำตามขั้นตอน ดังนี้ 
  1. อะไรคือสิ่งที่คุณรัก (What you love) ลองเขียนกิจกรรมเอาไว้สัก 10 รายการ
  2. สิ่งใดที่คุณทำได้ดี (What you're good at) ลองเลือกกิจกรรมตามข้อ 1 เรียงลำดับดูว่ากิจกรรมใดที่คุณทำได้ดี จากมากไปหาน้อย 
  3. กิจกรรมในฝันของคุณคืออะไร (Just a dream) ลองดูผลจากข้อ 2 ว่าใช่กิจกรรมในฝันของคุณจริง ๆ หรือไม่
  4. กิจกรรมใดที่ทำให้คุณมีความสุขแต่มันทำยาก (Happy but poor) กิจกรรมในฝันตามข้อ 3 หากทำยากให้ตัดทิ้งไป
  5. ถึงแม้จะทำให้รวย แต่ก็รู้สึกเบื่อหรือไม่ชอบ (Rich but bored) กิจกรรมประเภทนี้ ไม่ใช่ Passion ของคุณแน่นอน
  6. คุณจะจ่ายให้กิจกรรมไหนดี (What pays well) ตัดสินใจว่าจะเลือกลงทุนทำกิจกรรมไหนดี ตามขีดความสามารถในการจ่ายของคุณเอง
เมื่อทำตามขั้นตอนทั้ง 6 ข้อ คุณจะได้กิจกรรมตาม Passion ของคุณ ต่อจากนั้นให้เริ่มศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ (Start Researching) ให้รอบคอบ แล้วลงมือทำ (Implement)


ขอให้พึงระลึกเสมอกว่า อายุ 60 ปี ก็แค่เปลี่ยนจากงานราชการ ไปเป็นงานที่ตัวเองชอบ จงทำตัวเองให้มีคุณค่าและเป็นคนชราที่มีคุณภาพอยู่เสมอ

*********************************
จุฑาคเชน : 9 มิ.ย.2564 

ที่มาข้อมูล
  • https://www.stou.ac.th/stouonline/lom/data/sec/Lom12/05-01.html

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เรื่องราวที่เขาจะเล่าขาน

30 ก.ย.2562 เป็นวาระที่เพื่อนร่วมรุ่นของผมส่วนใหญ่ถึงคราวเกษียณราชการ ส่วนตัวผมอายุน้อยกว่าเพื่อนเลยต้องรอไปอีก 2 ปี เพื่อนผมมีทั้งข้าราชการทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนๆ ในงานเลี้ยงเกษียณหลายวาระ ถึงชีวิตการทำงานของเพื่อนๆ ในระหว่างรับราชการว่าเป็นอย่างไรบ้าง....    

ที่มาของภาพ  ธเนศวร์ ธ.ยางกูร

มีผลงานอะไรบ้างที่รู้สึกภูมิใจ ตอนรับราชการ
ผมถามคำถามนี้ กับเพื่อนๆ ที่เกษียณ เพื่อนหลายคนก็เล่าให้ฟัง แต่เพื่อนหลายคนก็นั่งนึกอยู่นาน ก็ยังนึกไม่ออก  แต่จากการพูดคุย ผมพอสรุปประเด็นต่างๆ ที่สำคัญได้ ดังนี้ 
  • เพื่อนหลายคน ไม่มีผลงานอะไรเลยที่รู้สึกภูมิใจระหว่างทำงานราชการ 
  • การทำงานหนักแล้วจะเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการนั้น ไม่มีจริง  
  • การจะเจริญก้าวหน้า ได้ยศ ได้ตำแหน่ง มันขึ้นอยู่กับว่า ท่านเป็นคนของใคร 
  • ข้าราชการหลายคนไม่ได้มุ่งมั่นและจริงจังที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร ทำงานตามแต่ที่เจ้านายจะพึงพอใจ แม้จะไม่ถูกทำนองคลองธรรม
  • มีการคอรัปชั่นในทุกหน่วยงานราขการ  
  • หลายคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม 
  • หลายคนหวังแต่สิทธิ์ที่จะต้องได้รับจากราชการ แต่ไม่เคยถามตัวเองว่า จะทำอะไรให้ราชการบ้าง 
  • ระบบราชการไทยควรต้องได้รับแก้ไขโดยเร็ว โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า ข้าราชการเป็นชนชั้นสูง มีเกียรติยศที่ต้องได้รับการเคารพนับถือ  และมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนทั่วไป
คนอยากเป็นข้าราชการ เพราะอยากมีความมั่นคง  อยากเป็นคนที่มีเกียรติ เป็นชื่อเสียงแก่ครอบครัวและวงศ์ตระกูล มีบำนาญหลังเกษียณ แต่ไม่มีใคร "อยากเป็นข้าราชการเพราะอยากช่วยเหลือประชาชน"  เหมือนกับคนอยากเป็นหมอเพราะหมอรวย ไม่ใช่อยากเป็นหมอเพื่อช่วยชีวิตคน 

หากเริ่มต้นคิดกันเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะมีข้าราชการหรือหมอที่ดีได้  




เรื่องของเราที่เขาจะเล่าขาน 
ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับงานราชการของเพื่อนๆ แล้ว ผมหวนกลับมาคิดถึงตัวเองบ้าง สรุปได้ว่า ผมเองก็ยังตอบไม่ได้เช่นกันว่า ผลงานอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจในการรับราชการที่ผ่านมา 40 ปี ผมก็ยังนึกไม่ออกเช่นกัน แล้วอีก 2 ปีที่เหลือผมจะมีคำตอบหรือปล่าว ก็ยังไม่รู้ 

คำกล่าวสุนทรพจน์ของ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่กล่าวไว้ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 7 พ.ค.2489  ความตอนหนึ่งว่า

เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ก็ไม่มีประสบการณ์ แต่เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ ก็ไม่มีอำนาจ” 

จากสุนทรพจน์ดังกล่าวล้วนสะท้อนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในระบบราชการปัจจุบัน  ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญระดับผู้บริหารในระบบราชการ ส่วนใหญ่ไม่มีฝีไม้ลายมือหรือประสบการณ์ในงานนั้นๆ โดยตรง แต่กลับได้รับแต่งตั้งเพราะระบบอุปถัมภ์ เส้นสาย และพรรคพวก อยู่ๆ ก็กระโดดจากท้องฟ้าลงมาเป็นผู้บริหารเลย อย่างนี่เรียกได้ว่า ไม่มีประสบการณ์แต่ดันกลับมีอำนาจ งานราชการที่รับผิดชอบจึงล้มเหลวตามไปด้วย  

ส่วนข้าราชการที่มีฝีไม้ลายมือเป็นที่ยอมรับและมีประสบการณ์หลากหลาย มักถูกมองข้าม ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่สำคัญ เพราะคนเหล่านี้ไม่มีใครคิดอยากจะอุปถัมภ์ ไม่มีเส้นสาย และพรรคพวก ข้าราชการพวกนี้ จึงมักถูกดองเค็ม

คนเป็นโจร ก็จะแต่งตั้งโจรพวกเดียวกันขึ้นมาเป็นพรรคพวก สืบต่อๆ กันไป  ไม่มีทางที่คนดีจะได้ปกครองบ้านเมือง  
      
ข้อคิดสรุปสุดท้ายจากเพื่อนๆ ให้ข้อแนะนำว่า การที่เราจะคิดอะไรอย่างสร้างสรรค์ คิดใหม่ทำใหม่ในสิ่งที่ดีขึ้น หรือคิดที่อยากจะปรับปรุง แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่มีทางที่เราจะทำได้หรอก หากเราไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจโดยแท้จริง  เราคงทำได้ในหน้าที่เล็กๆ ที่เรารับผิดชอบให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง แม้หน้าที่ที่ถูกมอบหมายให้ทำจะแลดูโง่ๆ และไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก  แต่เราก็ต้องทำ      



ทุกคนล้วนเกษียณเหมือนกัน ทุกคนจึงไม่มีอะไรแตกต่าง
ยกเว้นเรื่องราวที่เขาจะเล่าขานถึงท่านว่าอย่างไร  

**************************  
จุฑาคเชน 8 ต.ค.2562 

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รู้ว่า..วันนี้ต้องมาถึง



ผมเคยคิดในใจเงียบๆ เสมอมาว่า วันนี้ ต้องมาถึง...
ผมเตรียมทำใจให้ยอมรับไว้เสมอ แล้วมันก็มาถึงจริงๆ ...
แม้จะเตรียมทำใจไว้แล้วก็ตาม  ความรู้สึกหดหู่ สูญเสีย และอ้างว้าง  มันก็ยังคงปกคลุมจิตใจของผมอยู่ดี แม้ว่าภายนอกผมจะดูเข้มแข็ง แต่ในใจกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่าตอนที่ผมสูญเสียพ่อของผมเองเสียอีก

หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา แผ่นดินไทยไม่เคยสงบอย่างจีรัง ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง ผลัดเปลี่ยนแย่งชิงอำนาจการปกครองกันมาโดยตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ.2489 พี่ชายซึ่งเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ท่าน ก็ต้องจากพระองค์ท่านไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยพิษสงของอำนาจดังกล่าว 

"ภาระความเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย จึงตกอยู่ที่พระองค์ท่านตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ท่ามกลางมนต์ดำแห่งความกระหายอำนาจของบุคคลหลายกลุ่มในประเทศไทย"




เหตุการณ์ร้ายในสมัยพระองค์
เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ท่าน  จากความหลงในมนต์ดำของอำนาจและความอยากเป็นผู้ปกครองของบรรดาคนไทยด้วยกันเอง พอที่จะสรุปเรียบเรียงได้ ดังนี้ 
  • พระชนมายุ 19 พรรษา 9 มิ.ย.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 สวรรคต (ดูรายละเอียด) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงขึ้นครองราชย์ เป็นรัชกาลที่ 9
  • พระชนมายุ 20 พรรษา 8 พ.ย.2490 การรัฐประหาร นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 21 พรรษา  6 เม.ย.2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พ.ย.2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
  • พระชนมายุ 21 พรรษา 1 พ.ย.2491 กบฎแบ่งแยกดินแดน (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 22 พรรษา 26 ก.พ.2492 กบฏวังหลวง (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 24 พรรษา 29 มิ.ย.2494 กบฏแมนฮัตตัน (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 24 พรรษา 29 พ.ย.2494 การรัฐประหาร นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 25 พรรษา 10 พ.ย.2495 กบฏสันติภาพ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 30 พรรษา 16 ก.ย.2500 การรัฐประหาร นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
  • พระชนมายุ 31 พรรษา 20 ต.ค.2501 การรัฐประหารเงียบ นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร (ดูรายละอียด)
  • พระชนมายุ 38 พรรษา 7 ส.ค.2508 วันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก (ดูรายละเอียด) เหตุการณ์พรรคคอมมิวนิสต์สงบลงในปี พ.ศ.2525
  • พระชนมายุ 44 พรรษา 17 พ.ย.2514 การรัฐประหาร  โดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 46 พรรษา 14 ต.ค.2516 วันมหาวิปโยค เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ขับไล่ จอมพลถนอม กิตติขจร  จอมพลประพาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร   (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 49 พรรษา 6 ต.ค.2519 การต่อต้านการเดินทางกลับประเทศไทยของ จอมพลถนอม กิตติขจร การรัฐประหาร นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 50 พรรษา 26 มี.ค.2520 กบฎพลเอกฉลาด (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 50 พรรษา 20 ต.ค.2520 การรัฐประหาร นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 
  • พระชนมายุ 64 พรรษา 23 ก.พ.2534 การรัฐประหาร นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 65 พรรษา พ.ศ.2535 เกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 78 พรรษา พ.ศ.2548 เกิดปรากฏการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาชนแบ่งแยกออกเป็น "เสื้อเหลือง" และ "เสื้อแดง" (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 79 พรรษา 19 ก.ย.2549 ปฏิวัติ นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 86 พรรษา พ.ศ.2556 เกิดปรากฏการณ์ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)(ดูรายละเอียด)
  • พระชนมายุ 87 พรรษา 22 พ.ค.2557 การรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (ดูรายละเอียด)
ที่นำมาเรียบเรียงก็เพื่อให้เห็นว่า ตลอดพระชนมายุของพระองค์ท่านที่ทรงครองสิริราชสมบัติ มีเรื่องราวที่ก่อให้เกิดความยากลำบากต่อพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านหลายครั้งหลายครา  พระองค์ไม่ได้มีความสุขอย่างที่พวกเราคิด  พระองค์ท่านได้ทรงประคับประคองราชอาณาจักรไทยจนกระทั่งสามารถผ่านร้อน ผ่านหนาวมาได้หลายครั้งหลายครา จากการแย่งชิงอำนาจของบรรดากลุ่มคนไทยด้วยกันเอง และจากปากเยี่ยวปากกาของชาวต่างชาติทั้งหลายที่ต้องการจะยึดครองราชอาณาจักรไทย 



แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ท่านก็ไม่วายที่จะทรงตรากตรำพระวรกายเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ทั่วประเทศไม่เว้นแม้แต่ในถิ่นทุรกันดาร  เพื่อหาทางช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้ราษฎรของพระองค์ท่าน มีความกินอยู่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเกิดโครงการตามแนวพระราชดำริจำนวนมากมายหลายโครงการ ดังเช่นปัจจุบัน

นักต่อจากนี้ ลูกๆ ของพ่อน่าจะหยุดทะเลาะกันได้แล้ว
ดวงพระวิญญาณของ "พ่อ" คงไม่อยากเห็น "ลูกๆ" ทะเลาะเบาะแว้งกันอีก 

เศรษฐกิจพอเพียง ที่ยังไม่สำเร็จ
ตั้งแต่ พ.ศ.2517 เป็นต้นมา พระองค์ท่านทรงเล็งเห็นว่ากระแสเศรษฐกิจทุนนิยมและบริโภคนิยมกำลังแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก พระองค์ท่านจึงได้เริ่มเผยแพร่ "แนวคิดปรัชญาเศรษกิจพอเพียง" ให้แก่ประเทศไทย 

“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (18 กรกฎาคม 2517) (ดูรายละเอียด)




หลายปีผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ในทัศนะส่วนตัวแล้ว ผมยังเห็นว่าแนวทางการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิตของคนไทย ยังถือว่าไม่ประสบผลสำเร็จ  พวกเราทำได้แต่เปลือกนอก ยังไม่ถึงแก่นที่แท้จริง สังเกตได้จากพฤติกรรมการบริโภคนิยมและวัตถุนิยมของลูกหลานชาว Generation Z ของเราส่วนใหญ่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงที่หน่วยงานภาคราชการพยายามสร้างและพัฒนาขึ้น ล้วนไม่มีความมั่นคงและยั่งยืน ประเทศไทยยังตกอยู่ภายใต้เศรษฐกิจของทุนนิยม 

ดังนั้น...หากพวกเรารักพระองค์ท่านจริง จงพยายามยึดมั่นแนวทางการดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่านไว้เป็นสำคัญ และช่วยสร้างให้มันเป็นจริงอย่างยั่งยืน 

สิ่งที่ผมทำได้
ผมเป็นเพียงข้าราชการเล็กๆ คนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีอำนาจบารมีอะไรมากนัก แต่สิ่งที่ผมคิดว่า ผมจะทำให้ดีที่สุดตอนนี้ ก็คือ คำสัตย์ปฎิญาณที่ผมเคยให้ไว้ต่อพระองค์ท่าน ที่กล่าวว่า

"ข้าพระพุทธเจ้า จะประพฤติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่ แก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดำเนินชีวิตโดยยึดมั่น ในหลักธรรมคำสอนแห่งศาสนา และตามแนวทางในพระบรมราโชวาท ตลอดไป"

แผ่นดินไทยจะเจริญหรือเสื่อมสลาย ก็เพราะข้าราชการอย่างพวกเรานี้แหละ ที่จะต้องเป็นเสาหลักสำคัญของแผ่นดิน หากเป็นเช่นนี้แล้ว ดวงพระวิญญาณพระองค์ท่านจะได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินสู่สวรรคาลัย ด้วยความสุขพระราชหฤทัยสืบไป

***********************
ชาติชยา ศึกษิต

จำขึ้นใจ ข้าราชการที่ดี (https://www.youtube.com/watch?v=sDfO0CQnc8k)

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ข้าราชการของใคร

การทุจริตคอรัปชั่น ในแวดวงข้าราชการของไทย เป็นเรื่องราวที่มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ปกครองหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา ล้วนพยามยามหาทางแก้ไขและกำจัดให้หมดสิ้นไป แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังมีให้เห็นกันดาดดื่น แม้ในสมัยปัจจุบัน ดูเหมือนจะยิ่งหนักกว่าเดิมเสียอีก

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ใกล้จะถึงเวลาล้มเหลว จากน้ำมือของนักการเมืองที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ แทรกแซงการทำงานและการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ  จนทัศนคติของข้าราชการในปัจจุบันเปลี่ยนไป ข้าราชการส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า หากจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่แล้ว ต้องใช้วิธีการทำงานแบบพยากรณ์ (ดูรายละเอียด)  มากกว่าวิธีการทำงานโดยใช้ฝีมือ

ที่มาของภาพ http://www.slideshare.net/Padvee/ss-36631498

งานกับเงิน

งานกับเงิน คำสองคำนี้เป็นสาเหตุหลักของการคอรัปชั่นในแวดวงข้าราชการไทย กล่าวคือ
  1. เงินไม่ตรงกับงาน สาเหตุเรื่องนี้เกิดจากหน่วยราชการจะต้องมีการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีล่วงหน้า แต่หน่วยงานไม่มีแผนการปฏิบัติงานในอนาคตรองรับ จึงคัดลอกงานเดิมๆ ที่ผ่านมาเมื่อปีก่อนๆ เสนอขอไป พอได้เงินมา กลับสวนทางกับนโยบายของรัฐบาล รัฐมนตรี หรือผู้บริหารระดับต่างๆ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ก่อให้เกิดปัญหาไม่มีงบประมาณเพื่อปฏิบัติงานตามนโยบายของผู้บริหารใหม่ ส่งผลให้เกิดการคอรัปชั่นโดย สร้างหลักฐานปลอมเพื่อเบิกเงินออกมา--->นำไปใช้งานตามนโยบายผู้บริหารใหม่ 
  2. เงินไม่มีแต่งานมา หลายครั้ง เมื่อรัฐบาล รัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวง คิดงานใหม่ๆ ใคร่อยากจะโชว์ผลงาน ก็สั่งงานมายังหน่วยราชการต่างๆ ในสังกัด แต่ไม่มีงบประมาณมาให้ หน่วยงานทั้งหลายจึงต้อง คอรัปชั่นเงินจากโครงการอื่นๆ มาสนองตอบต่องานของนายที่สั่งมา หรือไม่ก็ต้องไปรีดไถ บริษัทห้างร้าน ให้มาช่วยสนับสนุน เกิดบุญคุณกันต่อไปอีก
  3. งานมากกว่าเงิน  เงินให้มาเพียงน้อยนิด แต่งานที่สั่งมากมายเหลือเกิน จึงจำเป็นต้อง คอรัปชั่นเงินจากโครงการอื่นๆ มาสนองตอบต่องานที่สั่งมาเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 
  4. เงินมาไม่ตรงเวลากับงาน งานแต่ละงานล้วนมีจังหวะขั้นตอนของมัน บางงานควรทำก่อน บางงานก็ควรทำหลัง สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนที่วางไว้ แต่ถึงเวลาทำ เงินกลับไม่มา เพราะระบบงบประมาณที่อุ้ยอ้าย ยืดยาด เรื่องเยอะ จนกระทั่งใกล้สินปีงบประมาณ เงินจึงค่อนโอนมา ก่อให้เกิดการ  การสร้างหลักฐานปลอมเพื่อใช้เงินให้หมด--->ทำงานแบบลวกๆ ให้เสร็จๆ แบบขอไปที
  5. งานที่ต้องหาเงินมาทำ งานประเภทนี้ ผู้เป็นนายต้องหาเงินมาทำเอง อาจแบ่งได้เป็น 1) งานดูแลสวัสดิการลูกน้อง เช่น น้ำชา กาแฟ อาหาร เครื่องดื่ม ทุนการศึกษาบุตร การตัดเครื่องแบบเสื้อผ้าแจก ฯลฯ 2) งานเสริมบารมี เช่น การจัดหาของขวัญของที่ระลึกในโอกาสต่างๆ งานเลี้ยงสังสรรค์ ช่วยงานวันเกิด วันบวช วันแต่งงาน วันตาย งานการกุศล ฯลฯ และ 3) งานสร้างฐานะตัวเอง ซึ่งงานที่ 3 นี้ ยากที่จะอธิบาย  งานทั้ง 3 นี้ ผู้เป็นนายต้องหาเงินมาทำเอง ซึ่งก็คือการเบียดบังเงินจากการคอรัปชั่นใน 4 ข้อแรกที่กล่าวมานั่นเอง ไม่มีใครหรอกที่จะควักเงินเดือนตัวเองมาทำ
"งานสร้างฐานะตัวเอง" นี้อันตรายนัก
 ถือเป็นบ่อเกิดสำคัญของการคอรัปชั่น

เงิน อำนาจ บารมี
ข้าราชการหลายคนเชื่อว่า หากได้อยู่ในตำแหน่งนั้นๆ ตัวเองจะมีอำนาจ มีบารมี และมีทรัพยากรต่างๆ ตามที่ต้องการ ความเชื่อนี้เกิดจากการเห็นตัวอย่างของผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งนั้นๆ ในอดีต ระบบอุปถัมภ์และระบบการทำงานแบบพยากรณ์จึงเกิดขึ้น  ข้าราชการหลายคนแปลงตัวเป็นเหลือบยุงลิ้นไร เกาะคนที่คิดว่าจะช่วยตัวเองได้ แสดงตนเป็นข้ารับใช้จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นทายาทสืบทอดอำนาจต่อไป 

ส่วนข้าราชการเล็กๆ ที่ไม่มีปากมีเสียง ก็จำต้องทำงานตามคำสั่งอันไม่ชอบธรรมของผู้เป็นเจ้านาย โดยช่วยทำหลักฐานการทุจริตคอรัปชั่นให้เรียบร้อย ขอแต่เพียงเจ้านายพึงแบ่งเศษเงินเศษทองมาดูแลเอาใจใส่ตัวเองบ้างก็เพียงพอแล้ว

ช่วยทุจริต    เพื่อนาย       เสพสุข
แบ่งเศษสุข  เล็กน้อย      พอได้
ทำอย่างนี้    ให้นาย        ทุกคนไป
ตัวอยู่ได้      พองอกงาม  เจริญดี 

การรณรงค์สร้างสำนึกที่ดีให้ข้าราชการ จึงควรรีบกระทำโดยเร็ว ข้าราชการควรที่จะได้รับการปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ การปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีที่จัดขึ้นทุกปี อย่าให้มันเป็นเพียงแค่พิธีกรรม ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองที่มีหน้าที่และอำนาจในอยู่มือ ควรหันมารีบแก้ไขปัญหาสาเหตุของการคอรัปชั่นในแวดวงข้าราชการอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาที่ทำได้ในทันที ก็คือ การเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการทั้งหลายดู แต่วันนี้ พวกท่านหลายคนอาจเกิดความสับสนใช้ข้าราชการเป็นเครื่องมือปฏิบัติงานเพื่อสนองตอบต่อการดำรงคงอยู่ในตำแหน่งของตนเอง มากกว่าสนองตอบต่อความผาสุกของราษฎร

ข้าราชการของแผ่นดิน ไม่ใช่ ข้าราชการของคนใดคนหนึ่ง









************************
ชาติชาย คเชนชล : 5 มิ.ย.2559

อ่านเพิ่มเติม