แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเมือง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเมือง แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิกิลีกส์ "คนเมื่อสวมหน้ากากแล้ว จะกล้าพูดความจริง"


เมื่อวานนี้ ผมชม DVD เรื่อง "The Fifth Estate" แปลเป็นภาษาไทยว่า "วิกิลีกส์ เจาะปมลับเขย่าโลก" (จริงๆ แล้วน่าจะแปลว่า "ฐานันดรที่ 5" มากกว่า)  ภาพยนต์เรื่องนี้บอกว่าสร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริง ผมเลยลองค้นหา "วิกิลีกส์" จาก Google พบว่ามันมีอยู่จริงครับ อ่านดูแล้วมีทั้งความน่าชื่นชม และน่าตกใจ    

Wikileaks
วิกิลีกส์ ( Wikileaks) เป็นเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ "ผู้ใช้" สามารถนำข้อมูล คำสัมภาษณ์ บทสนทนา คลิบภาพ คลิบวิดีโอ หรือเอกสารที่ไม่เคยเปิดเผย ที่เรียกว่า "ความลับ" ของรัฐบาลหรือองค์กรต่างๆ มาเผยแพร่ได้  ผู้ก่อตั้งฯ กล่าวว่าด้วยระบบความปลอดภัยที่เขาออกแบบและวางระบบไว้ "ผู้ใช้, ผู้ที่ส่งข้อความลับ หรือผู้ที่เป็นแหล่งข่าว" ที่ส่งข้อมูลมายังวิกิลีกส์นั้น จะมีความปลอดภัย และไม่มีทางที่ใครจะสืบค้นได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกส่งมาจากที่ไหน และส่งมาจากใคร  และจะไม่มีใครสามารถติดตามหรือหาที่อยู่ของผู้ส่งสารได้ แม้จะเป็นนักแฮกเกอร์ระดับโลกที่เก่งกาจปานใดก็ตาม      


วิกิลีกส์ แฉข้อมูลลับของโลกหลายเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้รู้ ได้ฟัง  จนกระทั่งเสถียรภาพของรัฐบาลประเทศมหาอำนาจหลายประเทศถึงกับสั่นคลอน  และถึงขั้นรัฐบาลของสหรัฐอเมริกามีความพยายามโจมตีและปิดเว็บไซต์นี้  เว็บไซต์วิกิลีกส์นี้เรียกง่ายๆ ก็คือ " เว็บไซต์ของนักเปิดโปง" นั่นเอง   
(อ่านเพิ่มเติม ได้ที่  : https://th.wikipedia.org/wiki/วิกิลีกส์ และ Wikileaks คืออะไร)


จิ้งจอกเดียวดาย
สถานการณ์ของการก่อการร้ายตามลำพัง (Lone Wolf Terrorism) ปัจจุบันเริ่มปรากฏให้เห็นบนโลกใบนี้แล้วและจะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ การก่อการร้ายชนิดนี้ หมายถึง ผู้ก่อการร้ายที่ก่อเหตุความรุนแรงด้วยตัวคนเดียวหรือแค่กลุ่มเล็กๆ โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากองค์กรใดๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาทางจิต ได้รับอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจมาจากอุดมการณ์และความเชื่อของตนเอง "โลนวููล์ฟ" แปลเป็นไทยแบบเท่ๆ ก็คือ "จิ้งจอกเดียวดาย"  
(อ่านเพิ่มเติม Lone wolf (terrorism))



คนเมื่อสวมหน้ากากแล้ว จะกล้าพูดความจริง
ปัจจุบันข้อมูล ข่าวสาร จำนวนมากมายมหาศาลบนโลกไซเบอร์ขณะนี้ กำลังทะลักลื่นไหลด้วยความรวดเร็วและไม่จำกัดขอบเขต มันสามารถที่จะสร้างกระแสสังคมให้หันไปในทิศทางใดๆ ก็ได้ หลายคนแค่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถสร้าง "ข้อมูลข่าวสาร" ของตนเองและเผยแพร่มันไปทาง Social media ต่างๆ ได้ หลายคนถึงขั้นสำคัญตัวผิดว่า "ตัวเองเป็นนักข่าว"   


ข้อมูลข่าวสารที่เสพอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มักเป็นข้อมูลที่เกิดจากการสร้างขึ้น มีการวางแผนจัดเตรียมว่าจะเผยแพร่ออกไปอย่างไร และต้องการผลอย่างไรจากข้อมูลข่าวสารที่ส่งออกไปนั้น  จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น  "ข้อมูลเทียม" ไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง"  

วิกิลีกส์ถูกสร้างขึ้นภายใต้ตรรกกะที่ว่า "คนเมื่อสวมหน้ากาก แล้วจะพูดความจริง"   ผู้จัดทำเว็บไซต์วิกิลีกส์ เป็นกลุ่มคนเล็กๆ ไม่เกิน 5 คน ที่สามารถเขย่าโลกได้จากข้อมูลลับที่มีผู้ส่งมาให้จากทั่วโลก คนกลุ่มนี้ จึงเปรียบได้เสมือนกับ "จิ้งจอกเดียวดาย" 

ในประเทศไทยตอนนี้ ก็เริ่มมีเว็บไซต์ และ Social media ประเภทเปิดโปงข้อเท็จจริงต่างๆ ของรัฐบาลให้เห็นมากขึ้น  คนหรือกลุ่มคนที่สร้างขึ้นเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนกับ "จิ้งจอกเดียวดาย" สัญชาติไทย เช่นกัน ซึ่งรัฐบาลมักมองเขาเสมือนผู้ก่อการร้าย คอยจ้องที่จะล้มล้างรัฐบาลอยู่ร่ำไป     

จิ้งจอก(สัญชาติไทย)เดียวดาย เหล่านี้อาจไม่สามารถเขย่าบัลลังก์ของรัฐบาลได้ ดั่งเช่น เว็บไซต์วิกิลีกส์ อาจเป็นเพราะในประเทศไทยไม่มีคนกล้าพอที่จะส่งข้อมูลลับให้กับเขา แต่ในส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า "ยังมีคนไทยหลายคนอยากจะแฉความจริง แต่เขายังไม่มีหน้ากากที่จะสวมใส่เท่านั้นเอง"

หาหน้ากากให้คนเหล่านั้นใส่เสีย แล้วเขาจะพูดความจริง

******************************
ชาติชยา ศึกษิต : 5 ก.พ.2561

คนเมื่อสวมหน้ากากแล้ว จะกล้าพูดความจริง
     
          

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

ํYou can't develop Thailand alone but we can.

ผมไม่ทราบว่าตนเอง รู้สึกสนใจเรื่อง "การเมือง" ตั้งแต่เมื่อใด  เดิมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว ผมคิดผิด แท้จริงมันเกี่ยวพันกับตัวเรา มาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน


ตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่และครูบาอาจารย์ เคยเล่าให้ฟังถึงคุณงามความดีของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม , จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และอีกหลายคนให้ฟัง แต่พอโตขึ้นมา ผมลองศึกษาประวัติของท่าน จากหนังสือและเอกสารต่างๆ ในหลากหลายแง่มุุม  ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ท่านเล่า 

คณะราษฎร ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2475 ดูเหมือนจะเป็นการ Start up ประเทศไทยใหม่เพื่อความศิวิไลซ์ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย" จนล่วงมาบัดนี้ รวม 86 ปีแล้ว ผมคิดว่ามันไม่ไปถึงไหนเลย  "อำนาจไม่เคยอยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริง  ส่วนอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือของกลุ่มคนที่ได้ขึ้นมาปกครอง"  

เหตุการณ์รัฐประหารที่ผมพอจะจำได้ เพราะเริ่มโตแล้ว
  • 14 ต.ค..2516 ตอนนั้นผมยังเรียนชั้น ม.ศ.1  เกิดเหตุการณ์ "วันมหาวิปโยค" เรียกร้องรัฐธรรมนูญ ขับไล่ จอมพลถนอม กิตติขจร  จอมพลประพาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร เหตุการณ์นี้ ผมคอยฟังข่าวอย่างตื่นเต้น แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ  ห้วงเวลานั้นทราบว่า เวลาทหารจะเดินทางไปไหนมาไหน ไม่กล้าแต่งเครื่องแบบ เพราะกลัวจะโดนประชาชนชนรุมด่ารุมทำร้าย  
  • 6 ต.ค.2519 ผมเริ่มเข้าโรงเรียนทหาร เกิดเหตุการณ์ต่อต้านการเดินทางกลับประเทศไทยของ จอมพลถนอม กิตติขจร และเกิดการรัฐประหาร นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจจากรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เรียกตัวเองว่า "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" ตอนนั้นผมก็ได้แต่คอยฟังข่าวสาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข่าวจากทางกองทัพฝ่ายเดียว ข่าวฝ่ายประชาชนไม่เคยทราบเลย และผมไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ ได้แต่เตรียมพร้อมอยู่ในกรมกอง 
  • 26 มี.ค.2520 เกิดเหตุการณ์กบฎพลเอกฉลาด หิรัญศิริ  ตอนนี้ ผมเริ่มตั้งคำถามในใจว่า ทำไม พลเอก ฉลาดฯ จึงพยายามจะทำการปฏฺิวัติฯ  บ้านเมือง มันเกิดอะไรขึ้น แต่เผอิญท่านทำไม่สำเร็จก็เลยถูกตราหน้าว่าเป็น "กบฏ"
  • 20 ต.ค.2520 เกิดการรัฐประหารอีกครั้ง นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เข้ายึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 
  • 23 ก.พ.2534 การรัฐประหาร นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาลจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเรียกคณะตัวเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ" (รสช.) 
  • พ.ศ.2535 เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ต่อต้าน พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก   
เหตุการณ์ที่ผมมีส่วนร่วมโดยตรง 
การรัฐประหารที่กล่าวมา ส่วนใหญ่ ผมจะถูกสั่งให้แค่เตรียมพร้อมอยู่ในกรมกอง ส่วนเหตุการณ์ที่ผมเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง มีดังนี้ 
  • พ.ศ.2548 เกิดปรากฏการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กลุ่มคนเสื้อเหลือง) นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล  ลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลและระบอบทักษิณ งวดนี้ผมแอบไปร่วมชุมนุมด้วยครับ   
  • 19 ก.ย.2549 เกิดการปฏิวัติ นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  เรียกตัวเองว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) 
  • พ.ศ.2550 เกิดการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ใช้วาทะกรรม "ไพร่และอำมาตย์" เป็นเงื่อนไข   
  • พ.ศ.2556 เกิดปรากฏการณ์ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ครั้งนี้ ผมก็แอบไปร่วมเป่านกหวีดด้วยเหมือนกัน 
  • 22 พ.ค.2557 เกิดการรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเรียกคณะตัวเองว่า  คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

จากวันนั้น ถึงวันนี้ ประเทศไทยได้อะไร
จากการทำรัฐประหารของบรรดาขุนพลทหารทั้งหลาย ตั้งแต่ พันเอกพระยาทรงสุรเดช (เมษายน 2476) พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (มิถุนายน 2476)  จอมพลผิน ชุณหะวัณ (2490 และ 2491) จอมพลแปลก พิบูลสงคราม (2494) จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (2500 และ 2501) จอมพลถนอม กิตติขจร · (2514)  พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ (2519 และ 2520) พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ (2534) พลเอกสนธิ บุณยรัตกลิน (2549) และคนสุดท้ายคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (2557) รวมแล้ว  10 ขุนพล  

หากเราลองนั่งสงบจิตคิดทบทวนดูด้วยใจเป็นกลางว่า
หลังจากรัฐประหารแล้ว ประเทศไทยได้อะไรบ้าง?  

ในความเห็นส่วนตัว ผมว่าคิดว่ามันเป็นการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในช่วงเวลานั้นๆ  แต่กลับไม่ส่งผลต่อการพัฒนาบ้านเมืองในระยะยาวและมีความยั่งยืนแต่อย่างใด ประเทศไทยจึงไม่ได้พัฒนาไปถึงไหนเสียที ผิดกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศที่เราเคยดูแคลนเขา กลับพัฒนานำหน้าเราไปกันเกือบหมดแล้ว 

ฤา มันเพียงเป็นแค่วงจรเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา มีอำนาจแล้วก็ถูกชิงอำนาจ เป็นงูกินหางเช่นนี้ตลอดไป ประเทศเราไม่เคยหลุดพ้นจากมันเลย และสถานการณ์การเมืองขณะนี้  ก็กำลังจะเข้ารูปเดิมอีกแล้ว  ที่กระทำรัฐประหาร...แล้วเสียของ 



ที่มาของภาพ http://www.lazerface.net/justiceleaguerunbkk/

You can't Develop Thailand alone.
ผมว่า คนไทยทุกคนล้วนรักประเทศไทย แต่เราไม่เคยพยายามให้ทุกคนได้รับโอกาสและมีส่วนร่วม มาช่วยกันคิดเพื่อพัฒนาประเทศของเราอย่างจริงจัง  ผู้ที่มีอำนาจมักมองเห็นว่าความคิดของตนเองและพรรคพวกนั้นดีและถูกต้องเสมอ ไม่ค่อยยอมรับฟังข้อคิดเห็นจากคนอื่นๆ  หากใครคิดต่าง ถือว่าไม่ใช่พวก  ผู้มีอำนาจมักชอบผูกขาดว่า "วิธีของเขาเท่านั้น ที่จะพัฒนาประเทศไทยได้" รัฐธรรมนูญไม่รู้กี่ฉบับ ถูกฉีกทิ้งและเขียนขึ้นใหม่จากผู้มีอำนาจใหม่เสมอ  แล้วมันจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนถึงเมื่อใดไม่ทราบได้       
ประเทศไทยมีคนเก่งอยู่มากมาย ในทุกสาชาวิชาชีพ เราจะทำอย่างไร จะให้คนไทยเหล่านั้น ได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยอย่างแท้จริง    ไม่ใช่เอาแต่พรรคพวกและคนใกล้ตัวมานั่งบริหารประเทศ 

คุณไม่สามารถพัฒนาประเทศไทยได้เพียงลำพังหรอก เราต้องช่วยกัน
You can't develop Thailand alone but we can.

******************************
ชาติชาย คเชนชล : 25 ม.ค.2561 

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

ก็ "ว่างงาน" ใช่ไหม ปลาก็กำลังจะได้กินฟรี หัดตอบแทนสังคมบ้างก็ดี

ภาพจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์

สอนให้ลูกจับปลา ไม่ใช่หาปลาให้ลูกกิน
คำกล่าวนี้ ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายความใดๆ ทุกท่านก็คงเข้าใจ  มีบทความที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้พร้อมทั้งยกตัวอย่างให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวที่อดีตพระราชาของเราได้เคยทรงทำให้เราดู 

แต่ผู้ปกครองของประเทศไทย ที่ชอบอ้างว่าเดินทางตามรอยพ่อ กลับไม่เดินจริง  ยังชอบ "หาปลาให้ลูกกิน" เสมอ เพราะมันเป็นวิธีการที่เร็วและง่ายที่จะทำให้คนชื่นชมยกย่อง ที่เรียกว่าเพื่อให้ "ประชานิยม" นั่นเอง 


ผมไม่เห็นด้วยกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ใครจะว่าผมไม่มีจิตคิดเมตตากรุณา ผมก็ยอม เพราะผมเห็นว่า นโยบายที่รัฐจะมอบสวัสดิการให้กับคนมีรายได้น้อย (คนจน) มันไม่ใช่นโยบายที่ยั่งยืน แต่มันจะกลับกลายเป็นยาพิษทำลายคนเหล่านั้นแทน รัฐควรพยามยามสร้างให้เขาทำมาหากินเป็น ไม่ใช่การแบมือขอความช่วยเหลืออยู่ร่ำไป 

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนผมเสียภาษีให้ประเทศชาติเดือนละ 8,000 บาทเศษ แต่ผมก็ต้องการให้ภาษีของผมนำไปพัฒนาด้านสวัสดิการเพื่อคนส่วนรวม หรือเพื่อนำไปใช้ลงทุนในกิจการต่างๆ ของรัฐเพื่อให้ประเทศชาติมีรายได้  "ไม่ใช่นำไปแจกคน 11.4 ล้านคนที่รัฐเรียกว่าเป็น "คนจน" เพื่อใช้ในเรื่องส่วนตัว"   

หากจะให้จริง ก็ควรแลกด้วยสิ่งตอบแทนบ้าง
จนป่านนี้แล้ว คงแก้ไขอะไรไม่ได้ก็คงต้องให้มันเป็นไปตามนั้น คนจำนวน 11.4 ล้านคน กำลังจะได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เดือนละ 200 บาทบ้าง 300 บาทบ้างตามรายได้ที่มีต่อปี แถมยังมีค่าเดินทางรถโดยสารรถเมล์รถไฟอีกเดือนละ 1,500 บาท และลดหย่อนค่าก๊าซหุงต้มอีก 45 บาท/คน/3 เดือน รวมแล้วรัฐต้องใช้เงินแบบให้ฟรีแก่คนจน เฉลี่ยประมาณเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท น่าเสียดายนะครับ รู้ไหมเงินเหล่านี้ ก็คือเงินอัดฉีดให้นายทุนและกิจการของรัฐ ที่รัฐชอบเรียกว่า "ระบบเศรษฐกิจ" นั่นเอง  
  • สินค้ายี่ห้อ A ไม่ว่าจะขายในห้างสรรพสินค้า หรือในร้านธงฟ้าประชารัฐ ก็ล้วนเจ้าของเดียวกัน ซึ่งสินค้ายี่ห้อ A ก็จะขายได้มากขึ้น ไม่มีใครขายของขาดทุนหรอกครับ มีแต่กำไรน้อยกำไรมากเท่านั้น 
  • กิจการรถโดยสาร รถเมล์ และรถไฟก็ล้วนเป็นกิจการของรัฐ ซึ่งรัฐเป็นเจ้าของสัมปทานและกำลังขาดทุน
  • ก็าซหุงต้ม ก็รู้ๆ อยู่ว่าใครเล่าที่เป็นเจ้าของผูกขาด 
เห็นไหมว่า "ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งหลายตัว"  

"ว่างงาน" ก็หัดตอบแทนสังคมบ้าง ก็ได้   
ผมข้อเสนอแนะว่า คนจน 11.4 ล้านคน ที่กำลังจะได้รับ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ซึ่งรัฐต้องเจียดจ่ายจากเงินภาษีให้ท่านเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท จากคุณสมบัติแล้ว ท่านมีอายุมากกว่า 18 ปี และท่านเป็น  "ผู้ว่างงาน" ดังนั้น ท่านน่าจะมีจิตสำนึกในการตอบแทนแก่สังคมบ้างก็ดี  เช่น ยามว่างหรือเสาร์-อาทิตย์ ลองไปช่วยงานอาสาสมัครหรือจิตอาสาเพื่อสาธารณะประโยชน์ให้แก่สังคมบ้าง ซึ่งงานอาสามีรอให้ช่วยทำมากมาย หรือไม่ก็ไปช่วยกวาดลานวัด กวาดโรงเรียนบ้างก็ได้ ไม่ใช่นั่งรับเงินโดยไม่ทำอะไรตอบแทนแก่สังคมบ้างเลย    


ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์  การคิดที่จะทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพนั้น ผมว่าไม่ยาก เพียงแต่ว่าระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจที่รัฐสร้างขึ้นควรเอื้อประโยชน์ให้คนที่มีรายได้น้อยมีโอกาสทำมาหากินจริงๆ  ไม่ใช่เอื้อประโยชน์ให้เฉพาะนักลงทุนอย่างเดียว ความยุ่งยากความหยุมยิมของกฏหมาย และจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ล้วนไม่เอื้อประโยชน์ให้คนเหล่านี้ทำมาหากินเท่าใดนัก หรือหากคิดทางลบก็คือ คนพวกนี้ เป็นคนจำพวกขี้เกียจทำมาหากิน จึงไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือใดๆ    

รัฐควรมีนโยบายพยายาม "สอนให้เขาจับปลา" ซิครับ 
ดีกว่า "หาปลาให้เขากิน" มากมายนัก      

*******************************
ชาติชาย คเชนชล 25 ก.ย.2560

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การใช้คำถาม 5 ข้อ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก่อนตัดสินใจ

ตอนนี้เริ่มมีการนำ "ศาสตร์พระราชา" มาใช้ในการจัดทำโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ กันมากขึ้น มุ่งประสงค์ก็เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ผมรู้สึกชื่นชมที่หลายคนหลายองค์กรพยายามถอดความรู้เกี่ยวกับ " หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"  ซึ่งในหลวงฯ รัชกาลที่ 9 ได้ทรงมอบไว้เป็นหลักคิดสำคัญแก่คนไทย ไม่เว้นแม้แต่คนต่างชาติในหลายประเทศก็นำไปใช้แล้วเช่นกัน


หลักการสำคัญของแนวคิดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล ความมีภูมิคุุ้มกันที่ดี ภายใต้เงื่อนไขของการมีความรู้และความมีคุณธรรม 

แต่ว่าการกระทำหลายอย่างที่เราได้พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน ผมเห็นว่า พวกเราหรือแม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่สามารถถอดรหัสความรู้เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้แจ่มชัดนัก เพราะยังมีความสับสนในการที่จะนำมาเป็นหลักคิดพื้นฐานของการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ

คำถาม 5 ข้อ 
ผมฟังจากอาจารย์ท่านหนึ่งบรรยายเอาไว้ในหลักสูตร e-learning โครงการ “สร้างและพัฒนาผู้ประกอบการใหม่เชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม” (New Entrepreneurs Creation) ซึ่งจัดทำโดยสำนักพัฒนาผู้ประกอบการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม   ท่านบรรยายว่า ลองใช้คำถาม 5 ข้อ แล้วตอบด้วยตัวเองดูว่า จะสอดคล้องกับหลักคิดตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ ดังนี้
  1. ทำไม? เราต้องทำ : หากเราตอบได้จะสอดคล้องกับ "ความมีเหตุมีผล"
  2. แล้วเราจะทำแค่ไหน? : หากเราตอบได้จะสอดคล้องกับ "ความพอประมาณ"
  3. แล้วเรามีแผนหรือยุทธศาสตร์สู่เป้าหมายที่จะทำชัดเจนแค่ไหน? และมีแผนฉุกเฉินเตรียมไว้บ้างหรือปล่าว? : หากเราตอบได้จะสอดคล้องกับ "ความมีภูมิคุ้มกันที่ดี"
  4. เราได้ศึกษาคนที่เขาทำมาก่อนเพื่อวิเคราะห์ เปรียบเทียบ เสริมจุดแข็ง ลบจุดอ่อน หรือยัง?  : หากตอบได้จะสอดคล้องกับเงื่อนไขของ "การมีความรู้"
  5. สิ่งที่เราทำเกิดประโยชน์ หรือมีผลกระทบทางลบกับประชาชน สังคม และสิ่งแวดล้อมหรือไม่? : หากตอบได้จะสอดคล้องกับเงื่อนไขของ "ความมีคุณธรรม"
ไม่ว่าผู้อ่านกำลังจะทำอะไรสักอย่าง ลองตอบคำถาม 5 ข้อนี้ดู ท่านจะได้รู้ว่า นั่นแหละคือหลักคิดตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  หากเริ่มต้นด้วยเหตุผลไม่พอแล้ว ก็หยุดทำเสีย และหากท่านตัดสินใจทำแล้ว ท่านก็จะได้ไม่โลภมากจนเกินพอดี  มีแผนการทำงานเพื่อประกันความสำเร็จ มีความรู้ในการทำงาน และมีคุณธรรมต่อสังคม  


ก่อนคิดโครงการและแผนงาน
งบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไทย ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากโครงการและแผนงานของกระทรวง ทบวงกรม ต่างๆ เกือบทั้งสิ้น (ตามภาพด้านบน) ดังนั้นการคิดโครงการหรือแผนงานใดๆ หากยึดหลักคำถาม 5 ข้อ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว จะเป็นวิธีที่ใช้งบประมาณแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่า อย่าลืมว่าปัจจุบัน "ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวย ยังต้องกู้เงินต่างประเทศมาใช้จ่ายในบ้านตัวเอง" ซึ่งมันสวนทางกับคำว่าพอเพียงหรือพอประมาณอย่างสิ้นเชิง ลองแค่ตอบคำถามข้อแรก ซึ่งหากไม่เข้าข้างตัวเอง มีความเป็นกลาง และมีเหตุผลเพียงพอแล้ว ก็ทำต่อ หากคิดว่าไม่สมเหตุสมผลก็ควรหยุดทำ เช่น
  • ทำไม? เราต้องซื้อเครื่องบิน รถถัง และเรือดำน้ำ
  • ทำไม? เราต้องรีบเร่งสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา
  • ทำไม? เราต้องใช้เงินมหาศาลเพื่อกำจัดผับชวา
  • ทำไม? เราต้องใช้ยางพาราทำถนน 
  • ทำไม? เราต้องปฏิรูปตำรวจ
  • ทำไม? เราต้องปราบปรามการทุจริต คอรัปชั่น
  • ทำไม? เราต้องเชิญชาวต่างประเทศมาลงทุนในบ้านเรา
  • ทำไม? เราต้อง.................??????? 
เหตุเพราะประเทศไทยของเรามีรายได้น้อย เป็นประเทศกำลังพัฒนา ต้องกู้หนี้ยืมสินเขามาใช้จ่าย  ดังนั้น หากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนเลือกโครงการที่มีความจำเป็นตามลำดับความเร่งด่วนที่แท้จริงแล้ว จะช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศลงได้มาก ไม่ใช่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อย่างเช่นโครงการหลายโครงการในทุกวันนี้

**********************
จุฑาคเชน : 20 ก.ค.2560

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ขอตอบคำถาม 4 ข้อด้วยคน แค่ 3 คำ : Let it be

ตอนนี้ ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดต่างๆ เชิญชวนประชาชนตอบคำถาม 4 ข้อ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี ในตอนเริ่มแรกผมไม่ค่อยกล้าตอบเพราะเป็นแค่กระแสข่าว แต่ตอนนี้มีการเชิญชวนอย่างเป็นทางการ ผมจึงขอตอบด้วยคน ซึ่งคำตอบของผมถือเป็นทัศนะส่วนตัว คิดว่าคงไม่น่ามีผลกระทบต่อหน้าที่การงานใดๆ 


ผมเข้าไปดูแบบฟอร์มการตอบคำถามที่ศูนย์ดำรงธรรมฯ โพสต์ไว้  รู้สึกไม่กล้าตอบเลย โดยเฉพาะคำตอบ ข้อ 1 ให้เลือกแค่ ได้ หรือ ไม่ได้ ส่วนข้อ 3 ให้เลือกว่า ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้อง หลายคนอาจเห็นว่าเรื่องแค่นี้ไม่สลักสำคัญใดๆ แต่ส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าคำตอบเหล่านี้ หากมีการสรุปผลเป็นเชิงสถิติออกมาแล้วล่อแหลมต่อการชี้นำสังคมได้  เช่น   
  • ข้อ 1 ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่ได้ ร้อยละ 80
  • ข้อ 3 ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่ถูกต้อง ร้อยละ 70
หากคำตอบเป็นเช่นนี้ ย่อมส่งผลต่อสังคมทั้งทางด้านบวกและลบ ทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์และผู้ที่สูญเสียประโยชน์จากข้อคำถามนั้นๆ ผมจึงคิดว่าการตอบคำถามในแบบฟอร์มควรเป็นปลายเปิดทั้งหมด ให้ประชาชนเขียนพรรณาได้เอง เช่น ได้หรือไม่ได้ เพราะสาเหตุอะไร เป็นต้น อย่างนี้น่าจะมีความเหมาะสมกว่า ซึ่งรัฐบาลอาจจะได้แนวคิดหรือข้อสังเกตของประชาชนเพื่อไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาอีกทางหนึ่งด้วย
 


ขอตอบด้วยคน
คำถามทั้ง 4 ข้อนั้น  หากวิเคราะห์ "ผู้ที่คิดคำถาม" ในภาพรวมแล้วเห็นว่า ผู้คิดคำถามมีทัศนคติเชิงลบเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีความเชื่อว่านักการเมืองเป็นคนไม่ดี มองโลกในแง่ลบและเชื่อว่าประเทศไทยจะมีปัญหาในอนาคต ไม่มีใครดีพอที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้   

แต่หากมองในทางที่ดี คำถามเหล่านี้ "ก็สามารถช่วยสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน ให้หันมาเลือกตั้งคนที่ดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง" ได้เช่นกัน

ผมขอตอบคำถามทั้ง 4 ข้อ สั้นๆ เพียง 2 บรรทัด ว่า 

ทุกอย่างมันมีทางของมันเอง อย่าไปพะวงมาก ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีของมัน หรือ 3 คำสั้นๆ คือ "Let it be"    

ประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่ผ่านมาล้วนมีการปฏิวัติรัฐประหารมาหลายครั้ง ก็เพราะมันเป็นไปตามวิถีของมัน  เมื่อถึงเวลานั้น มันจะมีทางออกของมันเอง 
  • ไม่ต้องกลัวว่ารัฐบาลจะไม่มีธรรมาภิบาล 
  • ไม่ต้องกลัวว่าประชาชนจะเลือกตั้งนักการเมืองเลวๆ เข้ามาอีก  
  • ไม่ต้องกลัวว่ารัฐบาลใหม่ จะไม่คำนึงถึงยุทธศาสตร์หรือการปฏิรูป  เขาย่อมมีวิถีในการบริหารจัดการประเทศของเขาเอง
และเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลมีอยู่ ซึ่งท่านสร้างเอาไว้เอง ก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่ท่านกล่าวว่า "เป็นฉบับปราบโกง" ดังนั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ ดังนั้น ท่านจึงไม่ต้องกลัวในสิ่งที่ท่านได้ตั้งคำถามมาหรอกครับ  น่าจะสบายใจได้ 




ท่านใด อยากตอบคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี  ไปที่ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดของท่านได้ สำหรับชาวราชบุรี ไปได้ตามภาพด้านล่างนี้ครับ 




อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีของมัน 
Let it be and Let it go.

**********************
ชาติชาย คเชนชล : 13 มิ.ย.2560

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ผมตัดสินใจ "ไม่เห็นชอบ" ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง

ปัจจุบันการสร้างสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนรับรู้และตัดสินใจเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงนั้น มีปรากฏให้เห็นอยู่จำนวนมาก ส่วนความเห็นต่างกลับถูกปิดกั้น ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น หน่วยงานภาคราชการและกองทัพล้วนถูกใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญของรัฐบาลในการปฏิบัติการครั้งนี้

วันนี้ (5 ส.ค.2559) เหลืออีก 2 วันจะถึงวันออกเสียงประชามติ คือในวันที่ 7 ส.ค.2559 ผมได้พยายามติดตามข่าวสารทั้งฝ่ายเห็นชอบและที่ไม่เห็นชอบ ว่าแต่ละฝ่ายมีเหตุผลใด หลังจากนั่งคิดไตร่ตรองด้วยความรู้อันน้อยนิดที่มี ผมตัดสินใจจะไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง เหตุผลประการสำคัญที่สนับสนุนการตัดสินใจของผมในครั้งนี้ คือ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ปี พ.ศ.2535 ที่เรียกว่า "พฤษภาทมิฬ"  


บางครั้ง การค้นหาอดีต อาจช่วยให้เราแก้ปัญหาในปัจจุบันได้

พฤษภาทมิฬ 2535
สาเหตุสำคัญที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในครั้งนั้น มาจากการที่ผู้ยึดอำนาจไม่รักษาสัจจะวาจา และไม่มีความจริงใจที่จะคืนอำนาจให้แก่ประชาชน ผ่านรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง  

"ที่พูดกันว่า สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) จะสืบทอดอำนาจโดยการใช้รัฐธรรมนูญนั้น เราขอยืนยันว่าจะไม่มีการสืบทอดอำนาจโดยการใช้รัฐธรรมนูญ โดยสมาชิก สภา รสช. จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล หลังจากการเลือกตั้งแล้ว สภา รสช. ก็หมดไปเองโดยอัตโนมัติ  ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็จะกลับไปทำหน้าที่ในกองทัพอย่างเดียว"

" และที่พูดกันว่า พลเอกสุจินดาฯ จะเป็นนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอกเกษตรฯ จะเป็นนายกรัฐมนตรี  ขอยืนยันในที่นี้ว่า    ทั้งพลเอกสุจินดาฯ และพลอากาศเอกเกษตรฯ จะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี "  

ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2534
สภา รสช. ประกาศใช้ "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534"  เมื่อ 9 ธ.ค.2534  สาระสำคัญในรัฐธรรมนูญ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตย เช่น การให้ประธานวุฒิสภาเป็นประธานรัฐสภา การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นหน้าที่ของประธานสภา รสช. นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอกได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. การให้อำนาจที่มากเกินไปแก่สมาชิกวุฒิสภา และอีกหลายประเด็น 

5 พรรคการเมืองร่วมกับ รสช. สืบทอดอำนาจ
พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคชาติไทย พรรคราษฎร และพรรคสามัคคีธรรม รวมกลุ่มกันก่อนการเลือกตั้ง โดยหัวหน้าพรรคแต่ละพรรคประกาศว่าตนเองพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี 
  • 22 มี.ค.2535 เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และในวันเดียวกันนี้  สภา รสช.ก็ประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 270 คน และช่วงกลางคืนมีการประชุมระหว่าง 5 พรรคการเมืองร่วมกับ สภา รสช. เตรียมเสนอ ชื่อนายณรงค์ วงศ์วรรณ  ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
  • 7 เม.ย.2535  สภา รสช. ร่วมกับพรรคการเมือง 5 พรรค กลับเสนอชื่อ พลเอกสุจินดา คราประยูร   ขี้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แทนนายณรงค์ วงศ์วรรณ พลเอกสุจินดาฯ แถลงว่ามีความจำเป็นต้อง "เสียสัตย์เพื่อชาติ"
  • เดือน พ.ค.2535 จึงเกิดเหตุการณ์นองเลือดที่เรียกว่า พฤษภาทมิฬ  ดังที่ทุกคนได้ทราบ

ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก
อาจเป็นความวิตกจริตหรือความคิดฟุ้งซ่านของผมเอง ผมเชื่อว่าหากประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2559 และคำถามพ่วง ในครั้งนี้แล้ว เหตุการณ์ดังเช่น พฤษภาทมิฬ 2535 อาจจะหวนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย เพราะสถานการณ์ทุกอย่างมีความคล้ายคลึงกัน เช่น การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา 250 คน และมีวาระถึง 5 ปี การร่วมกันเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอกได้ เกิดการรวมกลุ่มผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองขนาดเล็ก กับกลุ่ม คสช. (ผ่านทางสมาชิกวุฒิสภา) ประเทศไทยจะถูกกลุ่มคณะผู้ยึดอำนาจ (คสช.) สืบทอดอำนาจการบริหารประเทศไปอีก 8 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่ใช่อำนาจที่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง  เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นชนวนเหตุจูงใจให้ประชาชนผู้รักชาติและรักประชาธิปไตยลุกฮือขึ้นต่อต้านอีกครั้ง  
   
ดังนั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์นองเลือดที่อาจเกิดขึ้นอีก ผมจึงเลือกที่จะไม่เห็นชอบ  เพื่อมุ่งหวังให้รัฐบาลและ คสช. จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับใหม่ขึ้นมา โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง การจัดร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับใหม่นี้ ไม่ควรเป็นคณะบุคคลที่ คสช. แต่งตั้งขึ้น เพื่อจัดทำร่างฯ เหมือนแต่เดิมอีก  หากจำเป็นต้องเกิดสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) อีกครั้งก็ต้องทำ   



ผมไม่อยากให้เกิดการนองเลือดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย 
ผมจึงเลือก "ไม่เห็นชอบ" กับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงในครั้งนี้
   
*****************************
ชาติชยา ศึกษิต : 5 ส.ค.2559

(ที่มาข้อมูล  พฤษภาทมิฬ )

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ใช้หลักกาลามสูตร ตัดสินใจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ

7 สิงหาคม 2559 จะเป็นวันออกเสียงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.....และประเด็นเพิ่มเติม พร้อมกันทั่วประเทศไทย ระหว่างเวลา 08:00-16:00 น.  โดยมีประเด็น 2 ประเด็นที่ต้องออกเสียง คือ
  • ประเด็น "ให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช........ทั้งฉบับ" ให้ทำเครื่องหมายกากบาท X ว่า เห็นชอบ หรือ ไม่เห็นชอบ
  • ประเด็นเพิ่มเติม "ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรก นับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี" ให้ทำเครื่องหมายกากบาท X ว่า เห็นชอบ หรือ ไม่เห็นชอบ


จุลสาร 1 เล่ม กับ ความเชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้...ปราบโกง 
ผมลองสอบถามครอบครัว ญาติพี่น้อง รวมทั้งพี่น้องเพื่อนฝูงหลายคน ที่มีสิทธิ์ออกเสียงประชามติรัฐธรรมนูญ โดยถามว่า เคยอ่านรัฐธรรมนูญฉบับที่เขาให้ไปออกเสียงบ้างไหม ทุกคนตอบทำนองคล้ายๆ กันว่า "ไม่เคยอ่าน" กับ "รู้คร่าวๆ"  และพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่มีทีท่าที่แสดงออกถึงความสนใจหรือความกระตือรือล้นที่อยากจะรู้เนื้อหาของรัฐธรรมนูญอีกด้วย   

ข้อมูลที่พวกเขามีตอนนี้ คือ "จุลสารการออกเสียงประชามติ" ฉบับเล็กๆ ที่ทาง กกต.ส่งมาให้ที่บ้านจำนวน 1 เล่มต่อครอบครัว ในเนื้อหามีการสรุปสาระสำคัญบางประการในร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมอ่านแล้วรู้สึกว่า มันคล้ายๆ กับนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองมากกว่า ดูคล้ายกับนโยบายประชานิยมหรือการให้คำมั่นสัญญาแก่ประชาชน อะไรทำนองนั้น  ลองดูตัวอย่าง วลีจากบางข้อ เช่น คุ้มครองตั้งแต่ท้องแม่จนแก่เฒ่า, เรียนฟรี 14 ปี ตั้งแต่ก่อนอนุบาลถึง ม.3, ปฎิรูปตำรวจอย่างเร่งด่วน, สกัดคนโกงเข้าสภาด้วยกติกาในรัฐธรรมนูญ, ปฏิรูปประเทศให้เสร็จภายใน 5 ปี,  ป้องกันไม่ให้การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐรั่วไหล, การบริหารงานท้องถิ่นมีความโปร่งใสเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนและประชาชนมีส่วนร่วม ฯลฯ นอกจากนั้น ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่พวกเขามี คือ ความเชื่อใจใน คสช.และรัฐบาล ที่ว่า  "รัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ ร่างขึ้นมาเพื่อปราบโกง"  



จากข้อมูลที่มีไม่มาก บวกด้วยความเชื่อใจใน คสช. กับการรณรงค์ออกเสียงประชามติ (สีเทาๆ) โดยภาคราชการ ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ผมเชื่อได้เลยว่า พวกเขาเหล่านี้ คงให้ความเห็นชอบผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ 100% 

ทำไม? ต้องมีประเด็นเพิ่มเติม
ที่ต้องมีการออกเสียงประเด็นเพิ่มเติม ในจุลสารฯ ดังกล่าวให้เหตุผลว่า นายกรัฐมนตรี คือ หัวหน้าทีมคนสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปประเทศประสบผลสำเร็จ ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติต้องใช้เวลาวางรากฐานอย่างน้อย 5 ปีจึงจะเห็นเป็นรูปธรรม ดังนั้นจึงสมควรให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา (หมายถึงประชุมร่วมระหว่าง ส.ส.และ ส.ว.) เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี 
บทเรียนจากอดีต
หลายคนหากได้ลองศึกษาเรื่องราวในอดีตย้อนหลังดู  จะมองเห็นเหตุการณ์และสถานการณ์หลายอย่างมีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น

  • การรัฐประหารเงียบของโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ.2501 รัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ถูกใช้ปกครองบ้านปกครองเมืองอยู่ถึง  13 ปี และอ้างว่ากำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เหมาะสมอยู่  (ดูรายละเอียด)
  • เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี พ.ศ.2535  หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี และสัญญาว่าจะคืนประชาธิปไตยให้ประชาชนโดยเร็ว แต่กลับมอบรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจแทน เกิดการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก จนเกิดปรากฏการณ์ "เสียสัตย์เพื่อชาติ" (ดูรายละเอียด)
  • ฯลฯ
วันนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงได้ถอดบทเรียนในอดีตที่ว่ามาหมดแล้วเช่นกัน จึงสามารถอุดช่องว่างและลดเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดสถานการณ์อันเลวร้ายขึ้นได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ผมไม่อาจคาดเดาได้ว่า เมื่อผลของการออกเสียงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญฯ ออกมาแล้ว เหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป 

เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ปัจจุบัน ข่าวสารเรื่องการให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญ ล้วนหลั่งไหลเข้ามาสู่ประชาชนจำนวนมากมายหลายช่องทาง ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ข่าวสารของการเห็นชอบจะมีมากกว่า เพราะ คสช.และรัฐบาล ไม่เปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง   

ดังนั้น ทุกคนจึงควรมีวิธีการที่จะตัดสินใจที่ดีว่าข่าวสารที่ได้รับมานั้นเป็นเท็จ เป็นจริง แค่ไหน ก่อนที่จะตัดสินใจทำอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป 



ใช้หลักกาลามสูตร ตัดสินใจ
กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณหรือโทษ ดีหรือไม่ดี ก่อนที่จะเชื่อ ซึ่งมีหลักอยู่ 10 ประการ ได้แก่ (ขออนุญาตปรับปรุงคำพูดให้เข้าใจง่ายๆ ครับ)

  1. อย่าเชื่อ ด้วยการฟังหรือการบอกเล่าต่อๆ กันมา
  2. อย่าเชื่อ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เขาทำตามๆ กันมา 
  3. อย่าเชื่อ เพราะว่าเขาเล่าลือกันกระฉ่อนไปหมดว่ามันเป็นความจริง
  4. อย่าเชื่อ เพราะว่ามันมีอ้างอยู่ในตำรา หนังสือ หรือทฤษฎี
  5. อย่าเชื่อ เพราะว่ามันเป็นตรรก หรือจากการคำนวณ
  6. อย่าเชื่อ โดยการอนุมานเทียบเคียง หรือการคาดคะเนเอาเอง
  7. อย่าเชื่อ โดยการตรึกตรองเอาตามอาการ
  8. อย่าเชื่อ เพราะมันตรงกับความเชื่อหรือทฤษฎีของตัวเอง 
  9. อย่าเชื่อ เพราะมองเห็นรูปร่างลักษณะที่น่าเชื่อถือได้
  10. อย่าเชื่อ เพราะผู้ที่บอกเป็นครู อาจารย์ของเรา
ท่ามกลางกระแสและเกมการเมืองที่ร้อนแรงระหว่าง คสช. นปช. พรรคการเมือง และภาคประชาสังคม ในขณะนี้ หลักกาลามสูตรที่พระพุทธองค์ได้ทรงให้ไว้ ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราควรตัดสินใจ

การออกเสียงประชามติครั้งนี้ จงคิดพิจารณาไตร่ตร่องให้ดี เพราะอนาคตของประเทศไทยในวันข้างหน้าอยู่ในมือของท่านทุกคน 


***********************
ชาติชยา ศึกษิต : 26 ก.ค.2559

ข้อมูลที่ควรอ่านประกอบการตัดสินใจ (โปรดทำใจให้เป็นกลาง มองหลายๆ มุม)

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ข้าราชการของใคร

การทุจริตคอรัปชั่น ในแวดวงข้าราชการของไทย เป็นเรื่องราวที่มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ปกครองหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา ล้วนพยามยามหาทางแก้ไขและกำจัดให้หมดสิ้นไป แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังมีให้เห็นกันดาดดื่น แม้ในสมัยปัจจุบัน ดูเหมือนจะยิ่งหนักกว่าเดิมเสียอีก

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ใกล้จะถึงเวลาล้มเหลว จากน้ำมือของนักการเมืองที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ แทรกแซงการทำงานและการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ  จนทัศนคติของข้าราชการในปัจจุบันเปลี่ยนไป ข้าราชการส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า หากจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่แล้ว ต้องใช้วิธีการทำงานแบบพยากรณ์ (ดูรายละเอียด)  มากกว่าวิธีการทำงานโดยใช้ฝีมือ

ที่มาของภาพ http://www.slideshare.net/Padvee/ss-36631498

งานกับเงิน

งานกับเงิน คำสองคำนี้เป็นสาเหตุหลักของการคอรัปชั่นในแวดวงข้าราชการไทย กล่าวคือ
  1. เงินไม่ตรงกับงาน สาเหตุเรื่องนี้เกิดจากหน่วยราชการจะต้องมีการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปีล่วงหน้า แต่หน่วยงานไม่มีแผนการปฏิบัติงานในอนาคตรองรับ จึงคัดลอกงานเดิมๆ ที่ผ่านมาเมื่อปีก่อนๆ เสนอขอไป พอได้เงินมา กลับสวนทางกับนโยบายของรัฐบาล รัฐมนตรี หรือผู้บริหารระดับต่างๆ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ก่อให้เกิดปัญหาไม่มีงบประมาณเพื่อปฏิบัติงานตามนโยบายของผู้บริหารใหม่ ส่งผลให้เกิดการคอรัปชั่นโดย สร้างหลักฐานปลอมเพื่อเบิกเงินออกมา--->นำไปใช้งานตามนโยบายผู้บริหารใหม่ 
  2. เงินไม่มีแต่งานมา หลายครั้ง เมื่อรัฐบาล รัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวง คิดงานใหม่ๆ ใคร่อยากจะโชว์ผลงาน ก็สั่งงานมายังหน่วยราชการต่างๆ ในสังกัด แต่ไม่มีงบประมาณมาให้ หน่วยงานทั้งหลายจึงต้อง คอรัปชั่นเงินจากโครงการอื่นๆ มาสนองตอบต่องานของนายที่สั่งมา หรือไม่ก็ต้องไปรีดไถ บริษัทห้างร้าน ให้มาช่วยสนับสนุน เกิดบุญคุณกันต่อไปอีก
  3. งานมากกว่าเงิน  เงินให้มาเพียงน้อยนิด แต่งานที่สั่งมากมายเหลือเกิน จึงจำเป็นต้อง คอรัปชั่นเงินจากโครงการอื่นๆ มาสนองตอบต่องานที่สั่งมาเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 
  4. เงินมาไม่ตรงเวลากับงาน งานแต่ละงานล้วนมีจังหวะขั้นตอนของมัน บางงานควรทำก่อน บางงานก็ควรทำหลัง สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนที่วางไว้ แต่ถึงเวลาทำ เงินกลับไม่มา เพราะระบบงบประมาณที่อุ้ยอ้าย ยืดยาด เรื่องเยอะ จนกระทั่งใกล้สินปีงบประมาณ เงินจึงค่อนโอนมา ก่อให้เกิดการ  การสร้างหลักฐานปลอมเพื่อใช้เงินให้หมด--->ทำงานแบบลวกๆ ให้เสร็จๆ แบบขอไปที
  5. งานที่ต้องหาเงินมาทำ งานประเภทนี้ ผู้เป็นนายต้องหาเงินมาทำเอง อาจแบ่งได้เป็น 1) งานดูแลสวัสดิการลูกน้อง เช่น น้ำชา กาแฟ อาหาร เครื่องดื่ม ทุนการศึกษาบุตร การตัดเครื่องแบบเสื้อผ้าแจก ฯลฯ 2) งานเสริมบารมี เช่น การจัดหาของขวัญของที่ระลึกในโอกาสต่างๆ งานเลี้ยงสังสรรค์ ช่วยงานวันเกิด วันบวช วันแต่งงาน วันตาย งานการกุศล ฯลฯ และ 3) งานสร้างฐานะตัวเอง ซึ่งงานที่ 3 นี้ ยากที่จะอธิบาย  งานทั้ง 3 นี้ ผู้เป็นนายต้องหาเงินมาทำเอง ซึ่งก็คือการเบียดบังเงินจากการคอรัปชั่นใน 4 ข้อแรกที่กล่าวมานั่นเอง ไม่มีใครหรอกที่จะควักเงินเดือนตัวเองมาทำ
"งานสร้างฐานะตัวเอง" นี้อันตรายนัก
 ถือเป็นบ่อเกิดสำคัญของการคอรัปชั่น

เงิน อำนาจ บารมี
ข้าราชการหลายคนเชื่อว่า หากได้อยู่ในตำแหน่งนั้นๆ ตัวเองจะมีอำนาจ มีบารมี และมีทรัพยากรต่างๆ ตามที่ต้องการ ความเชื่อนี้เกิดจากการเห็นตัวอย่างของผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งนั้นๆ ในอดีต ระบบอุปถัมภ์และระบบการทำงานแบบพยากรณ์จึงเกิดขึ้น  ข้าราชการหลายคนแปลงตัวเป็นเหลือบยุงลิ้นไร เกาะคนที่คิดว่าจะช่วยตัวเองได้ แสดงตนเป็นข้ารับใช้จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นทายาทสืบทอดอำนาจต่อไป 

ส่วนข้าราชการเล็กๆ ที่ไม่มีปากมีเสียง ก็จำต้องทำงานตามคำสั่งอันไม่ชอบธรรมของผู้เป็นเจ้านาย โดยช่วยทำหลักฐานการทุจริตคอรัปชั่นให้เรียบร้อย ขอแต่เพียงเจ้านายพึงแบ่งเศษเงินเศษทองมาดูแลเอาใจใส่ตัวเองบ้างก็เพียงพอแล้ว

ช่วยทุจริต    เพื่อนาย       เสพสุข
แบ่งเศษสุข  เล็กน้อย      พอได้
ทำอย่างนี้    ให้นาย        ทุกคนไป
ตัวอยู่ได้      พองอกงาม  เจริญดี 

การรณรงค์สร้างสำนึกที่ดีให้ข้าราชการ จึงควรรีบกระทำโดยเร็ว ข้าราชการควรที่จะได้รับการปรับเปลี่ยนทัศนคติใหม่ การปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีที่จัดขึ้นทุกปี อย่าให้มันเป็นเพียงแค่พิธีกรรม ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองที่มีหน้าที่และอำนาจในอยู่มือ ควรหันมารีบแก้ไขปัญหาสาเหตุของการคอรัปชั่นในแวดวงข้าราชการอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาที่ทำได้ในทันที ก็คือ การเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ข้าราชการทั้งหลายดู แต่วันนี้ พวกท่านหลายคนอาจเกิดความสับสนใช้ข้าราชการเป็นเครื่องมือปฏิบัติงานเพื่อสนองตอบต่อการดำรงคงอยู่ในตำแหน่งของตนเอง มากกว่าสนองตอบต่อความผาสุกของราษฎร

ข้าราชการของแผ่นดิน ไม่ใช่ ข้าราชการของคนใดคนหนึ่ง









************************
ชาติชาย คเชนชล : 5 มิ.ย.2559

อ่านเพิ่มเติม

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปลดระวางกลุ่ม Baby Boomer ออกจากการบริหารประเทศไทย

เมื่อวานตอนเย็น (17 ก.ค.2558)  ขณะขับรถกลับบ้าน ผมเปิดวิทยุฟังคลื่น FM 101.00 Mhz  ไม่ทราบชื่อรายการอะไร มีอาจารย์ท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ในรายการว่า "วันนี้ วิธีคิดของคนบนโลกนี้เปลี่ยนไป เพราะมีเสรีภาพทางการคิด หรือที่เรียกว่าคิดนอกกรอบ  สภาพสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามวิธีคิดใหม่ๆ ดังนั้น หากประเทศไทยและคนไทยปรับตัวไม่ทัน และยังมีวิธีคิดแบบเดิมๆ อาจจะเกิดความเสียหายได้"   


ที่มาของภาพ : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372060771


หลังจากที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2557 โดยเน้นย้ำ Road map ที่ตนเองร่างขึ้นโดยมีแม่น้ำ 5 สายและกองทัพ เป็นเครื่องมือในการปฏิรูปประเทศไทย แต่ดูเหมือนแม่น้ำทั้ง 5 สาย ดูจะกลายเป็นน้ำวน ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ไม่ได้สักที จมปรักอยู่แต่ในเรื่องเดิมๆ เก่าๆ ให้ความสำคัญแต่เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่คาดหวังว่าจะเป็นคัมภีร์นำทางให้ประเทศไทยเดินทางไปสู่ความศิวิไลซ์ จนลืมที่จะแก้ปัญหาสำคัญด้านอื่นๆ ที่ควรจะเร่งปฏิรูปอีกมากมาย ซึ่งปัญหาบางอย่างแทบไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย  

ผมว่านี่แหละครับคือ วิธีคิดแบบเดิมๆ ที่อาจารย์ท่านนั้นกล่าวเอาไว้  คนรุ่นนี้ยังไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิด ประเทศไทยจึงเดินหน้าไปไหนไม่ได้สักที ย่ำเท้าอยู่ที่เดิมมานานกว่าแปดสิบปีที่เรียกว่าประชาธิปไตย วนเวียนอยู่กับการยึดอำนาจ การปฏิวัติ การรัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนประเทศไทยบอบช้ำ กลุ่มการเมือง กลุ่มการทหาร ต่างผลัดกันขึ้นชื่นชม เสวยอำนาจ แต่ไม่เคยเห็นจะแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนสักคณะฯ  

ประเทศไทยก็ยังประสบกับปัญหาเดิมๆ การทุจริตคอรัปชั่นในเกือบทุกวงการ น้ำก็ยังท่วม ภัยก็ยังแล้ง ฝนก็ไม่ยอมตก น้ำไม่มีในเขื่อน ชาวนาต้องหยุดทำนา ประชาชนหันมาแย่งน้ำเพื่อกินเพื่อใช้ ราษฎรบุกรุกป่าสงวน พืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง น้ำมันขึ้นราคา ค่าไฟ้ฟาก็ขึ้น  ประชาชนจมปรักอยู่กับการแทงหวย การปฏิรูปการศึกษา(ที่ไม่มีวันเสร็จ) ครูขาดแคลน การประมงก็เถื่อน การบินก็ไม่ได้มาตรฐาน ต้องกู้เงินต่างชาติมาใช้จ่ายรายปี ชวนแต่ชาวต่างชาติมาลงทุน ไม่เคยส่งเสริมให้คนไทยลงทุน สุรุ่ยสุรายด้วยนโยบายประชานิยม ทั้งรถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีก็ต้องซื้อเขามาใช้ ไม่เคยผลิตได้เอง วัฒนธรรมของชาติเริ่มถูกกลืน เด็กๆ ไทยจะกลายเป็นเด็กญี่ปุ่นเกาหลีไปหมดแล้ว (ฯลฯ)   

ที่ประเทศไทยเป็นเช่นนี้ ล้วนเกิดจากฝีมือการบริหารบ้านเมืองของคนรุ่น Baby Boomer ในประเทศไทยทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า ประเทศไทยไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย ย่ำเท้าอยู่กับที่ แก้ปัญหาไปวันๆ  ประเทศไทยหากไม่ได้รับการเยียวยาโดยเร็วแล้ว อาจจะทรุดหนัก และถึงตายไปในที่สุด  

Generation : กลุ่ม Baby Boomer คือใคร
นักประชากรศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้แบ่งกลุ่มประชากรรุ่นต่างๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม  โดยใช้สัญลักษณ์ที่โดดเด่นในประสบการณ์ของแต่ละช่วงเวลา โดยเริ่มนับจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา คือ
  1. Baby  Boomer คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2486-2507 ปัจจุบันคือพวกที่มีอายุประมาณ  51-72 ปี  เป็นคนยุคที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง หลังจากที่มีผู้เสียชีวิตระหว่างสงครามไปเป็นจำนวนมาก
  2. Generation X   คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2508-2524 ปัจจุบันคือพวกที่มีอายุประมาณ  34-50 ปี  เป็นกลุ่มคนยุคที่มหาอำนาจของโลกคือ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต กำลังขับเคี่ยวกัน หรือที่เรียกว่ายุคสงครามเย็น 
  3. Generation Y  คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2525-2543 ปัจจุบันคือพวกที่มีอายุประมาณ  15-33 ปี  คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกของกลุ่ม Baby Boomer เป็นรุ่นที่มีการเติบโตทางเทคโนโลยี และมีการใช้ Personal Computer กันอย่างแพร่หลาย
  4. Generation Z  คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2544-ปัจจุบัน คือพวกที่มีอายุประมาณ  1-14 ปี  เป็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ มีอัตราการเกิดลดลง ส่วนใหญ่เป็นลูกของกลุ่ม Generation X
หาก Baby Boomer เก่ง ประเทศก็พัฒนา
หากนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ถือว่าแต่ละประเทศเริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมด กลุ่ม Baby  Boomer คือ กลุ่มที่เป็นผู้บริหารประเทศในปัจจุบัน รวมทั้งประเทศไทยด้วย  

หากคนกลุ่มนี้ฯ เก่ง ก็จะนำพาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า  
ดังเช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น 

หากคนกลุ่มนี้ฯ ไม่เก่ง ประเทศชาติก็จะเดินย้ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร 
ดังเช่น ประเทศไทย เมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชา และลาว เป็นต้น


ที่มาของภาพ
http://www.franchiseperformancegroup.com/lead-generation-mistake-1/

ปลดระวาง กลุ่ม ฺBaby Boomer ผลักดันกลุ่ม Generation X ขึ้นมาบริหารแทน 
การพัฒนาของประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย แตกต่างกับประเทศไทยโดยสิ้นเชิง จึงพอเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า กลุ่มผู้บริหารประเทศไทยในปัจจุบันและที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นคนกลุ่ม Baby Boomer ไม่เก่งและมีฝีมือพอที่จะนำพาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าได้ หากยังปล่อยหรือพยายามผลักดันให้มีการต่ออายุคนกลุ่มนี้ ให้มาบริหารบ้านเมืองอีก ประเทศไทยก็คงจะไม่ไปรอด

ดังนั้นจึงเห็นสมควรที่จะสนับสนุนและผลักดันกลุ่มคนไทยที่ เป็นกลุ่ม Generation X  คือพวกที่มีอายุประมาณ  34-50 ปี ขึ้นมาบริหารบ้านเมืองแทน เพราะกลุ่มคนพวกนี้จะมีวิธีการคิดใหม่ หลุดออกจากกรอบและความเชื่อเดิมๆ ไม่เหมือนกลุ่ม Baby Boomer ที่ยังคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ยึดติดแต่กรอบความคิดเก่าๆ  

และผมยังมีความเชื่อมั่นว่า กลุ่ม Generation X   จะบริหารบ้านเมืองได้ดี นำพาไปประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ามากกว่ากลุ่ม Baby Boomer เพราะเขาจะต้องบริหารบ้านเมืองเพื่อกลุ่ม Generation Z  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกของพวกเขานั่นเอง


ที่มาของภาพ
http://futureaa.com.au/generation-x-gets-busy-self-managed-superannuation-smsf/


**************************************
จุฑาคเชน : 18 ก.ค.2558