แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิต แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เวลาที่ผ่านมา กับ เวลาที่เหลืออยู่ อย่างไหนจะมีมากกว่ากัน....สงบจิตคิดทบทวน

ผมไปเจอคำคมที่เพื่อนแชร์มาให้ พออ่านแล้วถึงกับหยุดชะงัก ต้องหันมาสงบจิตคิดทบทวนชีวิตตัวเองดู 

ไม่มีใครรู้หรอกว่า เวลาที่ผ่านมา กับ เวลาที่เหลืออยู่ 
อย่างไหนจะมีมากกว่ากัน ฉะนั้น..จงใช้เวลาให้ "คุ้มค่า" 


ตอนนี้ ผมอายุใกล้ 60 ปีแล้วเหลือเวลาอีก 3 ปีก็จะเกษียณจากราชการ กลายมาเป็นคนแก่อยู่บ้าน ไม่รู้จะเป็น "คนแก่ที่มีคุณภาพ" หรือเป็น "คนแก่ที่เป็นภาระของคนอื่น" แต่ที่แน่ๆ คือ ความฝันของผม ที่อยากจะมี อยากจะเป็น อยากจะได้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จ   

ความฝันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ความฝันจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย  ประสบการณ์ สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม สภาพสังคม ในวัยเยาว์ เราก็จะคิดแบบหนึ่ง ในวัยทำงานก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง พอแต่งงานมีครอบครัวก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง ในวัยใกล้เกษียณหรือวัยสูงอายุ ก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง และหากเวลาใดที่รู้ว่าตัวเองใกล้จะตายก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง เป็นเช่นนี้เรื่อยไป  ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ความฝันของเราเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ก็คือ
  1. ความคิดที่ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ชอบทำตัวให้เป็นตามความคิดของคนอื่นที่อยากให้เราเป็น ซึ่งมักจะขัดแย้งกับเสียงเพรียกร้องในใจเสมอ         
  2. ค้นหาความชอบหรือความหลงใหล (Passion) ของตัวเองไม่พบ ซึ่ง Passion นี้มันจะอยู่ภายใต้จิตสำนึกของแต่ละคนเสมอ และทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกคนจะพยายามสร้างฝันตาม Passion ของตนเองโดยไม่รู้ตัว  

ความชอบหรือความหลงใหล (Passion) ของผมเอง
อะไรก็ได้ที่ทำให้ผมได้สัมผัสกับพวกเขา
ชีวิตของเราใช้ซะ ก่อนที่จะไม่มีชีวิตให้ใช้   
ผมหันมาของทบทวนความคิดและความชอบของตัวเอง ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่เป็นไปตามนั้น  ประกอบกับเวลาที่เหลืออยู่สำหรับชีวิตจะมีมากน้อยเท่าใด ผมก็ไม่มีทางรู้ได้เช่นกัน  ดังนั้น เราจึงน่าที่จะเลือกทำในสิ่งที่เราชอบและหลงไหลตั้งแต่บัดนี้ ดังวลีที่ว่า "ชีวิตของเราใช้ซะ ก่อนที่จะไม่มีชีวิตให้ใช้"  ผมตั้งใจใช้เวลาที่เหลือ ดังนี้   
  • พยายามทำดีที่สุดกับทุกคน ซึ่งอาจจะไม่ดีเลิศประเสริฐศรีตามที่พวกเขาคาดหวังนัก  โดยเฉพาะกับครอบครัว ภรรยา และลูกๆ เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ ผมจะจากพวกเขาไป หรือบางทีพวกเขาจะจากผมไปก่อนก็ได้  ไม่มีใครรู้   
  • ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่โกรธ ไม่โมโห  ไม่คิดแต่เอา "ตัวกู ของกู"  มาเป็นอัตรา ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระสิ้นดี    
  • พยายามทำในสิ่งที่อยากทำ โดยไม่ทำความเดือดร้อน รำคาญให้แก่ผู้อื่น  เพราะถ้าคุณตายแล้วคุณคงไม่ได้ทำ 
  • ไม่ทำตัวให้เรื่องมากเกินไป ใช้ชีวิตแบบ Slow Life สบายๆ เรียบง่าย พอเพียง
การใช้ชีวิตแบบ Slow life
ที่มา : www.kapook.com
Cr: LeoBabauta, Zenhabits.net

จงใช้เวลาที่เหลือ ตามหาความฝันของตัวเองให้พบ  แล้วลงมือทำ เพราะเมื่อมันสำเร็จแล้ว คุณจะมีความสุขและนอนตายตาหลับ 

ความฝัน ไม่มีวันหมดอายุ
ความพยายาม ต่างหากที่หมดไปก่อน 

**************
ชาติชาย คเชนชล : 16 ก.ค.2561

วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

นิสิต "สองแผ่นดิน"

พระบรมฉายาลักษณ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
เสด็จพระราชดำเนินมาในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์
เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อ วันที่ 17-18 กรกฏาคม 2541

เมื่อวานนี้ (28 ก.ย.2560)  ผมมีโอกาสได้ไป "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" อีกครั้ง ซึ่งจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายไปเมื่อ 3 ปีก่อน ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของบุตรชาย แต่วันนี้ เป็นของบุตรสาว ทั้งสองคนล้วนจบจากสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้ ถือเป็นบุญของพวกเขา และยังเป็นความภาคภูมิใจแก่ พ่อ แม่ ญาติพี่น้องและวงศ์ตระกูล อีกด้วย  

วันรับปริญญาไม่ใช่ "ตอนจบ"
ในคราวรับปริญญาของบุตรชาย ผมเคยเขียนบทความเพื่อเตือนสติลูกชายในครั้งนั้นว่า ให้มีความสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องใช้ความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา หาเลี้ยงชีวิตของตนเองให้ได้ เพราะชีวิตหลังรับปริญญา คือ การเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่แท้จริงบนโลกใบนี้  อย่าให้ใครดูถูกเราได้ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

นิสิต "สองแผ่นดิน"
การรับพระราชทานปริญญาบัตรในปีนี้ บรรยากาศเรียบง่าย ไม่มีเสียงร้องเพลง เสียงเล่นกิจกรรม เสียงแสดงความยินดีจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ดังเซ็งแซ่เหมือนอย่างเคย ช่อดอกไม้และของขวัญที่ระลึกส่วนใหญ่ใช้โทนสีขาวดำ เทา หรือสีเรียบๆ ไม่ฉูดฉาด เนื่องจากกำลังอยู่ในห้วงไว้ทุกข์แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งเสด็จสวรรคตจากพวกเราไปเมื่อปีที่แล้ว และอีกไม่กี่วันก็จะถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

บัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปีนี้  จึงถือได้ว่าเป็น "นิสิตสองแผ่นดิน" เพราะเรียนในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 และรับพระราชทานปริญญาบัตรในแผ่นดินรัชกาลที่ 10  




ทุกคนกำลังเฝ้าดู
ผมขอชื่นชมที่ คณะกรรมการบัณฑิตฯ ในปีนี้  ได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครัั้งสุดท้าย ที่ทรงเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรด้วยพระองค์เอง เมื่อปี พ.ศ.2541 พร้อมนำพระปฐมบรมราโชวาทฯ ที่เคยพระราชทานแก่บัณทิตของจุฬาฯ เมื่อ วันที่ 21 พ.ค.2493 มาจัดพิมพ์ไว้ด้านหลังของภาพด้วย ความว่า

".....  แต่ขอให้นึกเสมอว่า เมื่อท่านสำเร็จการศึกษาออกไปแล้ว ยังมีคนจำนวนมากที่เอาใจใส่เฝ้าดู การกระทำของท่านอยู่ต่อไป ใครทำดีก็ได้รับคำชมเชยและสรรเสริญ ใครไม่ทำดีเขาก็จะพากันติ และพลอยติชมถึงสถานศึกษาของท่านด้วย 

ชื่อมหาวิทยาลัยของท่านคือ "จุฬาลงกรณ์" จะติดตัวท่านไปด้วยเสมอไม่ว่าจะประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ฉะนั้นทุกๆ ครั้งที่ท่านกระทำสิ่งใดลงไป จงคิดแล้วคิดอีก ทบทวนดูทั้งทางได้ทางเสียให้แน่ชัดเสียก่อน

"จุฬาลงกรณ์" หาได้เป็นแต่เพียงชื่อของมหาวิทยาลัยนี้เท่านั้นไม่ ยังเป็นนามของผู้พระราชทานกำเนิดของสถานที่แห่งนี้ด้วย ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนไปจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้...." 

ผมอ่านแล้ว รู้สึกปลื้มปิติแทนลูกชาย ลูกสาว และผู้ที่เคยเป็นนิสิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทุกคน  ขอให้ลูกๆ ทั้งสองของพ่อ จงจดจำ "พระปฐมบรมราโชวาทฯ ของในหลวงรัชกาลที่ 9"  ที่ทรงให้ไว้แก่บัณฑิตเอาไว้ให้แม่น อย่าได้ลืมเลือนเป็นอันขาด 




เพราะชื่อ "จุฬาลงกรณ์ "จะติดตัวลูกไปเสมอ
จะทำการสิ่งใด จงคิดไตร่ตรองให้ดี 

********************************
ขอแสดงความยินดีกับลูกสาวของพ่อ "จุฑามาศ จันทรวงศ์"
จาก พ่อของลูก พันเอก ดร.สุชาต จันทรวงศ์



วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Slow life & Less is more

ในโอกาสที่อีกไม่กี่วันจะถึงวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2559 ผมอยากจะเขียนบทความสักเรื่องหนึ่งไว้เป็นข้อคิดสำหรับการดำเนินชีวิตในปีหน้า แต่ยังไม่รู้จะเขียนอะไรดี เผอิญเมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้ไปพบแนวคิดของการออกแบบคอนโดมิเดียมแห่งหนึ่งย่านปู่เจ้าสมิงพราย สมุทรปราการ เขาใช้แนวคิดการออกแบบที่ว่า "Slow life" และ "Less is More"

Slow life หมายถึง การปรับสมดุลชีวิตให้ช้า และเรียบง่ายขึ้น 
ส่วน Less is More หมายถึง น้อยแต่มากด้วยประโยชน์
เห็นท่าจะจริงนะครับ ชีวิตเราในปัจจุบันนี้ รู้สึกว่าทุกอย่างรวดเร็วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางขึ้นรถลงเรือไปไหนมาไหน มีความสะดวกรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านทาง Facebook, LINE และโซเซียลมีเดียอื่นๆ ทำได้อย่างทันทีทันใด  แอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ที่อำนวยความสะดวกให้พวกเรามากมาย ทั้ง ดูหนัง ฟังเพลง จ่ายเงินค่าน้ำ ค่าไฟ จองตั๋วเดินทาง โอนเงิน โอนทอง  หลายคนเวลานี้มักก้มหน้าอยู่กับวัตถุสี่เหลี่ยมผืนผ้าสารพัดนึกของตัวเองมากกว่าจะเงยหน้ามาพูดคุยกัน 


ที่มาของภาพ
http://slowlifes.blogspot.com/2009/12/slow-life-japan-style.html
ชีวิตดูเหมือนดีนะ แต่เมื่อทุกอย่างมันรวดเร็วทันใจ นึกอยากได้อะไร ก็ได้ทันที ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงอาจทำให้ทุกคนจึงรู้สึกใจร้อนขึ้น แทบไม่รู้จักการอดทนและรอคอย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ปัจุบันเรามักพบเจอคดีทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำร้ายร่างกายกัน ฆ่ากัน ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องแปลกๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง  

ผมลองสืบค้นข้อมูลจากโลกออนไลน์ต่างๆ เรื่องการใช้ชีวิตแบบ Slow life นี้ มีข้อมูลเยอะมาก ลองหาอ่านดูเอานะครับ วิธีการทำชีวิตให้เป็นแบบ Slow Life ที่ผมค้นพบจาก http://health.kapook.com น่าสนใจครับ มีดังนี้
  1. จัดลำดับความสำคัญ เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดก่อน
  2. อยู่กับปัจจุบัน มีสติกับสิ่งที่เป็นอยู่
  3. เลิกจ้องจอบ้าง งดออนไลน์ให้ใจได้พัก
  4. ใส่ใจคนรอบข้าง ให้เวลากับพวกเขามากขึ้น
  5. ซึมซับธรรมชาติ ไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ้าง
  6. กินให้ช้าลง ละเอียดความอร่อยจากอาหาร
  7. ขับรถให้ช้าลง มีน้ำใจ บนท้องถนน
  8. ปรับมุมมอง มองหาสิ่งที่สวยงามแทนสิ่งแย่ๆ
  9. ทำทีละอย่าง ค่อยเป็นค่อยไป ทำบ้าง พักบ้าง
  10. หายใจลึกๆ อยู่นิ่งๆ หายใจ เข้า-ออกช้าๆ บ้าง
ทั้ง 10 ข้อนี้ ผมจะลองนำไปใช้ดูบ้าง ไม่รู้จะทำได้สักกี่ข้อ

Less is More
คำว่า Less is More นี้ก็น่าสนใจครับ เมื่อคืนนี้ เชื่อไหมว่า ที่ห้องพักผมถูกตัดไฟ (เพราะไม่ได้ไปจ่ายค่าไฟ) จึงไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ผมก็อยู่ได้ด้วยแสงเทียน แค่ไม่มีพัดลมให้ใช้ และทีวีให้ดู เท่านั้นเอง ชีวิตก็อยู่ได้ 

ผมลองเหลียวมองสิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ดูทำไมมันมีเยอะแยะมากมาย ตอนอยากได้ก็ซื้อ แต่พอเอาจริงเข้า เรามักจะใช้ของที่จำเป็นจริงๆ เพียงไม่กี่ชิ้น ที่เหลือถูกเก็บเอาไว้ ไม่ได้ใช้ บางทีก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าเราเคยมี นี่กระมังเป็นสาเหตุหนึ่งที่บ้านของเรามีข้าวของรกรุงรังเต็มไปหมด ทั้งที่บางอย่างไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย สู้มีของน้อยๆ แต่มากด้วยประโยชน์ดีกว่า




ในปีใหม่ พ.ศ.2559 ที่จะถึงนี้ ลองนำแนวคิดการใช้ชีวิตแบบ  Slow life & Less is More ไปใช้ดูนะครับ มันอาจจะทำให้เรามีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้  ลองดูครับ! 

**************************
ชาติชาย คเชนชล : 29 ธ.ค.2558  

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันรับปริญญาไม่ใช่ "ตอนจบ"

เมื่อวันพฤหัสบีดีที่ 3 ก.ค.2557 ผมได้ไปร่วมพิธีพระราชทานปริญญาบัตรบุตรชายของผมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะถึงการทอดสดพิธีพระราชทานปริญญาบัตรทางโทรทัศน์วงจรปิดภายในจุฬาฯ  นิสิตคณะนิเทศน์ศาสตร์ได้จัดสกูปพิเศษ ตอนหนึ่งเตือนสติไว้ว่า 

วันรับปริญญา ไม่ใช่ "ตอนจบ"
ชีวิตที่รออยู่ข้างหน้า คือ "ตอนต่อไป"


ผมรู้สึกกินใจกับข้อความนี้มาก

ในวันนั้นผมเห็นนิสิตที่จบการศึกษาทุกคนล้วนมีความสุข  ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องต่างปลื้มปิติ ดวงตาและรอยยิ้มเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจต่อบุตรหลานของตนเอง บรรดาเพื่อนๆ ของแต่ละคนต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันมากมาย บรรยากาศมีแต่รอยยิ้ม การมอบของขวัญ การถ่ายรูป การโพสต์ท่าทางต่างๆ ตามสมัย Social Media  ช่อดอกไม้ ตุ๊กตา ของที่ระลึก มีขายอยู่เต็มไปหมด พวกจบปริญญาตรี ดูเหมือนจะมีความสุขมากที่สุด เพราะถือเป็นความสำเร็จครั้งแรก  ส่วนพวกจบปริญญาโทไม่ค่อยมีเพื่อนมาแสดงความยินดีมากเท่าใดนัก ส่วนปริญญาเอกแทบไม่ค่อยเห็นเลย.....

ผม ภรรยา และบุตรสาวก็ไปร่วมแสดงความยินดีกับบุตรชายเหมือนกับหลายๆ ครอบครัว ถ่ายรูปกันจนสิ้นแสงตะวัน พอเริ่มประมาณหนึ่งทุ่มบรรยากาศภายในจุฬาลงกรณ์ฯ  ก็เริ่มคืนสู่ความเหงียบเหงา

ผมย้อนนึกถึงคำกล่าวข้างต้น หลังค่ำคืนนี้ไปแล้ว พอรุ่งสาง มันคงจะเป็น "ตอนต่อไป" ของชีวิตนิสิตเหล่านี้รวมทั้งลูกชายของผมด้วย ชีวิตการเป็นนิสิต นักศึกษา แทบไม่ต้องรับภาระอะไรมากมาย เพียงแค่เรียนหนังสือ ทำกิจกรรม  แต่หลังจากรับปริญญาแล้ว ทุกอย่างคงเปลี่ยนไป 

การเรียนหนังสือ เปลี่ยนเป็น "การเรียนรู้กับชีวิต"
การทำกิจกรรม เปลี่ยนเป็น "การทำมาหากิน"

ปริญญาบัตร...เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า เรามีวิชาความรู้เพียงพอที่จะสามารถนำพาตนเองให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุขตามสถานะ แต่หลายครั้ง หลายหน ที่ผมเห็นบัณฑิต ต้องกลายเป็นคนว่างงาน คนตกงาน คนรองาน และคนเลือกงาน

จริงอย่างที่ว่า "ชีวิตจริงที่รออยู่ข้างหน้า คือ ตอนต่อไป" ต่างหาก
ชีวิตจริงไม่มีอาจารย์  มีแต่คำว่า "เจ้านาย" กับ "ผู้บังคับบัญชา"
เพื่อนนิสิต นักศึกษา กลายเป็นอดีต   มีแต่คำว่า "เพื่อนร่วมงาน" เข้ามาแทน
ค่าเช่าหอพัก กลับกลายเป็น "ค่าเช่าบ้าน"
ค่าขนมที่เคยแบมือขอจากพ่อแม่  กลายเป็นสิ่งเราไม่อยากได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้บัณฑิตที่จบการศึกษาทุกคน ทุกมหาวิทยาลัย ในวิชาความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา จงใช้วิชาความรู้เหล่านั้นหาเลี้ยงชีวิตของตนเองให้ได้ หลังจากนั้นจึงค่อยคิดไปเลี้ยงผู้อื่น  อย่าให้ใครดูถูกเราได้ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"

***********************

ชาติชาย คเชนชล : 9 ก.ค.2557

               

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผู้คนหมื่นแสน ทั่วแดนนับล้าน แต่ว่าแม่นั้น เห็นมีอยู่แค่ "คนเดียว"

ประเทศไทยของเรานี้ดีนะ..ที่ทุกปีมี  "วันแม่แห่งชาติ" ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ พระราชินีของเรา เกือบทุกสถานที่ ทุกหน่วยงาน ทุกสถานศึกษา ช่วยกันจัดกิจกรรม ทำให้ทุกคนได้ระลึกถึง "พระคุณแม่ของตนเอง" แต่อีกหลายคนก็มักจะบอกว่า "อย่ารักแม่..เฉพาะวันแม่วันเดียว"  ผมก็เห็นด้วยนะครับ แต่บางทีของภาระงาน ภาระครอบครัว ก็อาจจะทำให้เราลืมเลือนแม่ของเราไปบ้าง...

ในกิจกรรมวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ของทุกปี...

อย่างน้อยก็ทำให้เราได้คิดถึงพระคุณแม่ของเราบ้าง อย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี

หนึ่งเดียวคือแม่
มีบทเพลง ร้อยแก้ว ร้อยกรอง กาพย์ ฉันท์ โคลง กลอน ฯลฯ ที่ประพันธ์ขึ้นเกี่ยวกับพระคุณแม่จำนวนมากมาย ล้วนแล้วแต่ไพเราะจับใจเกือบทั้งสิ้น มีคำร้องของบทเพลงๆ หนึ่ง ชื่อว่า "หนึ่งเดียวคือแม่" ซึ่งนำมาร้องโดยไม่ใส่ดนตรี  ผมฟังแล้วรู้สึกน้ำตาไหลเลยทีเดียว  เห็นว่าคำร้องนี้ ตั้นฉบับแต่งโดย อาจารย์ดวงใจ สุริยา ศิลปินผู้ขับร้อง ชิซูกะ ชนันท์กานต์  ทำนองเพลงไทยเดิม  เรียบเรียงโดย กิตติศักดิ์ สายน้ำทิพย์ (หมู) และชล ปากช่อง เป็นผู้ผลิต แต่คนที่นำมาร้องในคลิบวีดีโอนี้ ผมไม่ทราบว่าใคร ผมฟังดูแล้วรู้สึกคิดถึงแม่...ขึ้นมาอย่างจับใจ  

"หลับตาฟังดูก็ได้ครับ ไม่ต้องดูภาพ 
แล้วลองจินตนาการถึงแม่ของคุณดู..."



ที่มา : Anakaric Dharma
 
อันพระคุณแม่ นับคณา เกินกว่า ยากหาไหน 
พสุธา ที่กว้างไกล ยังไม่...เท่าแม่นี้
รวมแผ่นฟ้า มหานที พระคุณแม่นี้ มากเสียยิ่งกว่า 
ยามแม่อุ้มท้อง แสนทรมาน
เมื่อลูกเกิดมา แม่นั้นยินดี......

ยามหนาวลูกนอน แม่ซ่อนอกไว้ 
ยามร้อนผิวกาย แม่ใช้พัดวี
ยามหิวคราใด  แม่ให้ห่วงหา 
ป้อนน้ำข้าวปลา ลูกแสนเปรมปรี 
พระคุณแม่นั้น อนันต์เหลือที่ 
ผู้ใดจะมี เสมอเหมือนได้ 
แม่ทนอ่อนล้า เลี้ยงมาจนใหญ่ 
แม่ยอมเหนื่อยกาย หาเงินส่งเสียให้เรียน.....

จงอย่าลืม คิดทดแทน คุณท่าน ก่อนบั้นปลาย 
แม่เปรียบดัง เหมือนร่มไทร ใบแก่ แผ่เหนือเศียร 
วัยผ่านผัน สักวันคงเปลี่ยน 
คอยหมั่นเพียร เยี่ยมเยียน เมื่อท่านชรา 
แม่คงชะแง้ อยากแลเห็นหน้า แม้ลูกไม่มา แม่คงเจ็บช้ำฤดี......

อย่าทิ้งให้แม่ ได้แต่หงอยเหงา 
มองหาลูกเต้า สักคนไม่มี 
อย่าคิดลืมแม่ เมื่อแก่ชรา 
ท่านเลี้ยงเรามา ช่วยชุบชีวี
เลือดในอกนั้น กลั่นจนล้นปรี่ น้ำนมแม่นี้ มีค่านับอนันต์ 
ผู้คนหมื่นแสน ทั่วแดนนับล้าน 
แต่ว่าแม่นั้น เห็นมีอยู่แค่ "คนเดียว".........  

*******************************

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ถั่วกรอบแก้วที่พ่อทำ

เมื่อเย็นวันที่ 29 ธ.ค.2555 ผมและครอบครัวไปนั่งรับประทานส้มตำ หมูคลุกฝุ่น ไก่ย่างเกลือ และอาหารอิสานอีกหลายอย่าง ที่บริเวณตลาดเมืองทองซึ่งเป็นตลาดโต้รุ่งแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี คล้ายๆ กับสนามหญ้า เย็นวันนั้นผู้คนเยอะมาก คงเป็นเพราะใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายคนก็กลับมาเยี่ยมบ้าน หลายคนก็มาเยี่ยมญาติ หลายคนก็มาเที่ยวบ้านเพื่อนๆ ทะเบียนรถมาทั้งจากกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ เต็มไปหมด 

ระหว่างรับประทานอาหารอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปีกว่าๆ เดินกระย่องกระแย่งคล้ายคนสุขภาพไม่ค่อยดี แต่งตัวมอซอ มือซ้ายหิ้วตระกร้าสีเขียวใบไม่ใหญ่มากนัก ในตระกร้าเป็นถั่วกรอบแก้วบรรจุถุงเล็กๆ อยู่สักประมาณ 20 ถุง ส่วนมือขวาก็จูงลูกชายวัยกำลังซนเดินเตาะแตะตามมาด้วย เดินเร่ขายตามโต๊ะอาหาร เดินมาหลายโต๊ะแล้ว มีแต่คนโบกมือว่าไม่เอา พอมาถึงโต๊ะผม ก็เสนอขายถั่วกรอบแก้ว ถุงละ 10 บาท ผมมองหน้าลูกสาวด้วยเหมือนจะเข้าใจตรงกันว่าสงสารเขา เราน่าจะทำบญและให้ทาน ผมควักเงินซื้อถั่วจำนวน 2 ถุง รวม 20 บาท ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้อยากกินถั่วกรอบแก้ว 2 ถุงนั้นเลย ผมได้พูดคุยกับชายคนนั้นเล็กน้อยได้ความว่า ภรรยาเพิ่งเสียชีวิตไป ส่วนลูกก็ยังไม่ถึงวัยเข้าเรียน 

"ผมทำถั่วกรอบแก้วเองครับ วันละประมาณ 100 ถุง แต่ก่อนผมเดินขายคนเดียว ผมขายไม่ค่อยได้ ถั่วเหลือทุกวัน พอผมพาไอ้ตัวเล็กมาเดินขายด้วย ผมจึงพอขายได้ ผมรู้ว่าที่ผมขายได้ ไม่ใช่เพราะถั่วของผมอร่อย เพราะเขารู้สึกสงสารลูกชายของผมต่างหาก" 

ผมก็นึกในใจเช่นกัน ที่ผมซื้อก็เพราะ "ผมไม่ได้อยากกินถั่วกรอบแก้วในตระกร้าสีเขียวใบนั้นเลย แต่ผมซื้อเพราะความสงสารเด็ก" 

ตามตลาดโต้รุ่งในที่ต่างๆ ทุกคนคงเคยเห็นภาพเรื่องราวเหล่านี้บ่อยๆ บ้างก็อุ้มทารกตัวเล็กๆ ยังไม่อดนม มาขอทานบ้าง มาขายของบ้าง บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นคนแก่ มาคนเดียวบ้าง มาหลายคนบ้าง ขายถั่วต้ม ขายผลไม้ ขายดอกไม้ ขายเครื่องจักสาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นดาษดื่นอยู่ในสังคมไทยจนเป็นปกติ จนทำให้หลายคนที่มานั่งรับประทานอาหารเกิดความเบื่อหน่าย และคิดว่าพวกเหล่านี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ทำกันเป็นแก๊งค์ เป็นขบวนการ ไม่น่าสงสารจริงๆ อย่างที่เห็น 

ลูกสาวถามผมว่า "คืนถั่วให้ชายคนนั้นเพื่อให้เขานำไปขายต่อ จะดีไหม" 
ผมตอบว่า "ไม่ควรทำ เพราะหากทำเช่นนั้น มันจะเป็นการดูถูกเขา เขาทำมาหากินด้วยการขายถั่วกรอบแก้วเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเขาด้วยน้ำพักน้ำแรงและน้ำมือ และด้วยศักดิ์ศรีของตัวเขาเอง หากเราทำเช่นนั้น เขาอาจจะคิดว่า เราดูถูกว่าเขาเป็นขอทาน ไม่รู้จักทำมาหากินเพื่อเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น เราจึงต้องซื้อถั่วกรอบแก้วจากเขา (ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากกินก็ตาม) และต้องไม่คืนถั่วทั้ง 2 ถุงที่เราซื้อให้เขา...คนเราถ้าขยันจะไม่อดตาย แต่อาจจะมีมากหรือน้อยไปบ้างตามสติปัญญาก็ไม่เป็นไร ถ้าทุกคนรู้จักความพอดีและพอเพียง" 

ผมไม่ได้คิดอะไรมากมายกับคำบอกเล่าของชายขายถั่วผู้นั้นว่า "เขาจะโกหกผมหรือไม่" แต่ผมก็รู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้ซื้อถั่วกรอบแก้ว 2 ถุงนั้น เพราะมันทำให้ผมมีความรู้สึกที่ดีดีในการช่วยเหลือและแบ่งปัน อาหารมื้อเย็นวันนั้น ผมและครอบครัวรับประทานกันกว่า 700 บาท กับเงินแค่ 20 บาท คงไม่ทำให้เราเดือดร้อนอะไรมากนัก เหมือนกับเวลาที่เรารู้สึกอยากใส่บาตรพระ แต่พอเรารู้ว่าพระองค์นี้ประพถติไม่ดี เราเลยไม่ใส่บาตร อย่างนี้ผมว่าไม่ใช่วิธีคิดที่ถูก 

ผมแอบขอตัวออกจากโต๊ะอาหาร เพื่อไปติดตามดูชายขายถั่วผู้นี้ ที่ยังคงจูงมือลูกชายตัวเล็กเดินเร่ขายไปตามโต๊ะต่างๆ ในตลาดเมืองทอง โดยสังเกตอยู่ห่างๆ เขาเดินขายไปตามร้านข้าวต้ม ร้านบะหมี่เกี้ยว ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวผัดปู ร้านหอยทอดผัดไทย ร้านขนมหวาน ร้านน้ำปั่นไอศครีม ฯลฯ ผมนับแบบคร่าวๆ มีมากกว่า 100 โต๊ะ ผมก็ลุ้นอยู่ว่าเขาจะขายหมดหรือไม่ ปรากฎว่ามีคนซื้อเขาเพียง 5 โต๊ะ นอกนั้น ส่วนใหญ่ก็โบกไม้โบกมือว่าไม่ซื้อ บางโต๊ะนอกจากไม่ซื้อ ยังกล่าวว่าดูถูกเขาเสียอีกว่ารำคาญคนพวกนี้ ส่วนเจ้าลูกชายตัวเล็ก พอเจออะไรแปลกๆ อยากจะกิน ก็สลัดมือหลุดจากพ่อ วิ่งไปจ้องดูที่หน้าร้าน โดยเฉพาะหน้าร้านน้ำปั่นและไอศครีม จนพ่อต้องไปเดินจูงมือกลับมา เพื่อจะเดินขายต่อไป 

เขาเลิกขายแล้ว เวลาประมาณเกือบ 3 ทุ่ม เขาเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซต์คันเก่าๆ เอาเจ้าตัวเล็กนั่งหน้ารถ หิ้วตระกร้าสีเขียวใบเดิมที่ยังคงเหลือถั่วกรอบแก้วอีก 5 ถุง ผมเดินเข้าไปทักทาย เขาจำผมได้ เขาบอกว่า "พี่..เหมาเลยครับ ผมขายให้พี่หมดเลย 5 ถุง 30 บาท ผมจะได้พาไอ้ตัวเล็กกลับบ้านเสียที" 

ผมตอบเขาไปว่า
"ไปขายต่อเถิด ตลาดข้างหน้า..คงมีคนใจดีอยู่บ้าง" 

*************** 
จุฑาคเชน : 30 ธ.ค.2555

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่

วันนี้หยิบหนังสือเล่มเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เรื่อง "การบริหารจัดการในศตวรรษที่ 21" เขียนโดย ปีเตอร์ เอฟ ดรัคเกอร์ เมื่อปี ค.ศ.1999  ตอนท้ายเล่มท่านได้เขียนเกี่ยวกับ "เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่"  ถึงแม้ท่านจะเขียนมากว่า 12 ปีแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทย 

ที่มาของภาพ
http://www.dek-ac.com/knowledge-id27.html
ท่านบอกว่า ผู้บริหารระดับกลางขององค์กรธุรกิจ หรือบรรดาพวกข้าราชการ อาจารย์ หลายคนในสมัยนั้น เริ่มคิดถึงชีวิตการทำงานของตนเอง ตอนอายุประมาณ 30 ปี ชึ่งถือว่าได้ผ่านการทำงานมาแล้วครึ่งชีวิต การจะอยู่ในอาชีพเดิมให้ถึง 40-50 ปี อาจจะยาวนานเกินไปสำหรับพวกเขา พวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย ท้อถอย ไม่รู้สึกสนุกกับงานอีกต่อไป รู้สึก "หมดไฟในการทำงาน" และพวกเขาก็เห็นว่าหลายๆ องค์กรในอดีตกลับต้องล้มหายตายจากไปก่อนที่พนักงานของเขาจะเกษียณอายุ 60 ปีด้วยซ้ำไป 

ความคิดเกี่ยวกับ "เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่" จึงเกิดขึ้น 
คำตอบที่สรุปได้ คือ เขาเหล่านั้นเริ่มมองหาอาชีพที่สองซึ่งแตกต่างไปจากอาชีพเดิม โดยทำเป็นอาชีพคู่ขนานแล้วทุ่มเทและใช้เวลาทำงานในอาชีพคู่ขนานตลอดระยะเวลาที่เหลือของชีวิต  ส่วนพวกที่เคยประสบความสำเร็จในอาชีพแรกของตน เช่น พวกนักธุรกิจ แพทย์ ที่ปรึกษา หรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัย พวกเหล่านี้ก็ยังรักในงานอาชีพแรกของตน เพียงแต่ไม่รู้สึกว่างานนั้นมีความท้าทายอีกต่อไป พวกเขาจะยังคงทนทำงานที่เดิม แต่ก็พยายามให้เวลากับมันน้อยลง แล้วหันไปเริ่มงานใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นงานในองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร หรือไม่ก็เป็นผู้ประกอบการสังคมสงเคราะห์ (Social Entrepreneurs) เป็นต้น 

ผมก็รู้สึกเช่นนั้น 
ตอนนี้ผมเหลือเวลาอีก 9 ปี จะเกษียณอายุราชการ ผมก็รู้สึกว่าอาชีพนี้ มันไม่ท้าทายผมอีกต่อไป ผมมองเห็นภาพตัวผมได้ดีตอนที่ผมเกษียณ เพราะผมมองเห็นคนเกษียณมาทุกปี ยิ่งระบบราชการในสมัยนี้ มันทำให้ผมรู้สึกหมดไฟในการทำงานจริงๆ  นี่กระมังที่ ท่านปีเตอร์ เอฟ ดรัคเกอร์ ได้เขียนเอาไว้หลายสิบปีที่แล้ว 

ปัจจุบันในสังคมไทย ครูหลายคน ทหารหลายนาย ข้าราชการหลายคน เมื่อลูกเต้าเรียนหนังสือจบ หางานทำได้ บำนาญหรือเงินกองทุนสะสมก็มีเพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิต จึงเริ่มลาออกก่อนถึงเวลาที่จะเกษียณอายุราชการ  ผมรู้ว่า เขาลาออกไปเพื่อจะค้นหาชีวิตของตนเองให้เจอ แล้วอยู่กับมันให้มากที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต 

ตอนนี้ผมคงต้องเริ่มเตรียมตัวมองหางานอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้ผมใช้เวลาที่เหลือของชีวิตกับมันได้มากขึ้น ชอบมัน และมีความสุขกับมัน แต่ลูกๆ ยังเรียนกันไม่จบเลย เห็นคงจะต้องรออีกสักพัก ผมจึงจะสามารถออกไปค้นหาตัวเองให้เจอ 

ชีวิตที่เหลือ ผมอยากจะใช้ชีวิตของผมมากกว่าจะต้องหาเลี้ยงชีวิตไปจนแก่ชรา เพราะตอนนี้ก็เกินครึ่งชีวิตมาแล้ว จึงต้องรีบใช้มันซะ 


*************************
ชาติชาย คเชนชล : 28 มิ.ย.2555

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สู่ชนบท ปีที่ 23 ฉบับ 398 ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 หน้า 3

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

วันเด็กแห่งชาติ 2555 - โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร

คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2555
"สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี"
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

*********************************

โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร?
What dream do you want to be? When you grown up.

 


ไกลสุดสายตา...สุดปลายรุ้ง     ดวงตาน้อยๆ มุ่งมองไปไกลแสนไกล
Look, Look over the rainbow Far. Far away in your eyes

เด็กน้อยเอย..เจ้าฝันเจ้าใฝ่  ฝันถึงสิ่งใด บ้างหนา
Little boys and girls.....you dream. Your dream in your future

หนูเอย หนูน้อย........ขอถามหนูหน่อยได้ไหม
Boys and Girls. Can I ask you?

หนูใฝ่ หนูฝันอยากเป็นอะไร เมื่อหนูโตใหญ่
What dream do you want to be?  When you grown up.


สิ่งไหนที่อยากเป็น
What will you want to be?

หนูอยากเป็น...........???????????? 

ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร อยากเป็นสิ่งใด
Who you want be,What you want be.

ขอให้สมดังใจ ได้เป็นดั่งฝัน
I  hope you can became person as your dream.

แต่มีอีกอย่างที่สำคัญ  เหนือสิ่งใดนั้น
But...there more important thing that

 คือเป็นคนดี  - You will be a good person.

...................

และทำดีเสมอ ตลอดไป - Do good Always all the time.


**************************

"มีจิตวิญญาณไทย ใจเป็นสากล เปี่ยมล้นเทคโนโลยี ชีวีพอเพียง"
เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า พวกเขาจะต้องเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
เพื่อทำหน้าที่ปกป้องรักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สืบแทนจากพวกเรา
การสอนเด็กที่ดีที่สุดในวันนี้ คือ
ท่านที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหลายในแผ่นดิน...จงพึงทำดีให้เด็กดู

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลอยกระทงบนสายน้ำ (ตา)

@แม่พระคงคา ลูกขอขมา  แม่อย่าขึ้งแค้น
ลูกผิดลูกพลาด ดูคลาดดูแคลน แม่อย่าขึ้งแค้น
กระหน่ำซ้ำซัด.......

ที่มาของภาพ http://www.panoramio.com/photo/44195832
วันนี้วันที่ 8 พ.ย.2554  อ.เมืองราชบุรีบ้านผม เริ่มจัดงานเทศกาลประเพณีลอยกระทงแล้ว มีงาน 3 วันจนถึงวันลอยกระทงจริงในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 พ.ย.2554 

และวันนี้ ณ เมืองราชบุรีบ้านผมเช่นกัน มีผู้ที่ต้องหนีน้ำท่วมจากกรุงเทพมหานครฯ และจังหวัดใกล้เคียง เดินทางมาพึ่งพิงและพักอาศัย ในศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ทางราชการจัดไว้ให้  กว่า 4,000 คน หนึ่งในนั้นมีชาวลาว พม่า กัมพูชา และไทยใหญ่ แรงงานต่างด้าวผลัดบ้านผลัดเมืองอพยพมาอยู่ด้วยถึงกว่า 500 คน และนี่ยังไม่นับรวมสำหรับผู้ที่มาพักอาศัยอยู่ตามโรงแรม รีสอร์ท อพาตเม้นท์ คอนโด และบ้านเช่าต่างๆ อีกหลายพันชีวิต  รถราเต็มเมือง อาหารการกินขายดี มีผู้คนแปลกหน้าเดินให้เห็นอยู่เต็มไปหมด

@เหมือนมดแตกรัง ผึ้งแตกรวงพัง ละส่ำละสัตว์
แตกบ้านแตกเรือน ละเพื่อนละพลัด ละส่ำละสัตว์
แม่ลงโทษแล้ว

“ย่างเดือนสิบเอ็ดน้ำเริ่มไหลนอง.. พอเดือนสิบสองน้ำในคลองก็เริ่มจะทรง..ครั้นถึงเดือนยี่น้ำก็รี่ไหลลง ไหลลง ตกเดือนสามแล้วน้ำก็คง แห้งขอดตลอดลำคลอง”..นี่คือเนื้อเพลง "น้ำลงเดือนยี่" บางตอนที่คุณรุ่งเพชร แหลมสิงห์ ร้องเอาไว้ หลายท่านที่เป็นคนเก่าๆ คงพอจำกันได้ และสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้  ท่าท่างจะเป็นเหมือนเพลงนี้จริงๆ เสียด้วย  กว่าน้ำท่วมจะเริ่มลดลง คงต้องใช้เวลาไปถึงเดือนยี่ปีหน้า ต่อมาเดือนสามจึงจะแห้งสนิท 

เทศกาลลอยกระทงในปีนี้ ผมเอง..รู้สึกห่อเหี่ยวไม่ค่อยเบิกบานใจเหมือนในปีที่ผ่านมา  เพราะมีผู้คนอีกหลายคนที่ต้องผลัดบ้านผลัดเมืองอพยพมาอยู่ต่างเมือง และอีกหลายคนก็ยังสู้อุตส่าห์ยอมทุกข์ทรมานอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองที่จมน้ำ ..ลอยกระทงในปีนี้ หลายคนอาจต้องลอยบนสายน้ำที่ไม่ค่อยคุ้นเคย และบางคนอาจต้องลอยบนสายน้ำตาของตนเอง

@ได้ทุกข์ได้ภัย จึ่งได้คิดใหม่ ดั่งได้ดวงแก้ว
หลุดหายหลุดห่วง  หลุดบ่วงหลุดแร้ว ดั่งได้ดวงแก้ว
ได้ตนพึ่งตน

ลอยทุกข์ ลอยโศก ลอยโรค ลอยภัย ลอยเพื่อขออภัยพระแม่คงคา
พวกเราคงจะถูกพระแม่คงคาท่านเตือนสติ  ว่าถ้าเรามักง่ายเราอาจต้องกลายเป็นแบบนี้
ถ้าเราเห็นแก่ตัวมากเกินไป วันหนึ่งธรรมชาติก็จะลุกขึ้นมาเรียกร้อง
ถ้าเราทำลายธรรมชาติ วันหนึ่งธรรมชาติก็จะทำลายเรา
แต่ถ้าเรารักธรรมชาติ  ธรรมชาติก็จะรักเราตลอดไป

@ แม่มาสั่งสอน แม่มาให้พร  ให้ผลักให้พ้น
เสือสิงห์ปลิงเปรต ทุเรศทุรน ให้ผลักให้พ้น
แม่พระคงคา

พระแม่คงคาเพียงต้องการชำระสิ่งสกปรกทั้งหลายที่มันแปดเปื้อนตัวลูกนี้ให้ออกไปเท่านั้น มันอาจจะเจ็บบ้าง แต่ลูกต้องทน ไม่มีแม่คนไหนเกลียดลูกหรอก หลังจากตักเตือนลงโทษแล้ว ท่านก็จะให้พรเสมอ  น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนที่ดีแก่ตัวลูกต่อไป

@ รู้ทบรู้ทวน คำนึงคำนวณ  น้ำหนักน้ำตา
น้ำนักหนักนัก  หนักน้ำหนักหนา  น้ำหนักน้ำตา
เหน็บหนาวธรณิน !

"สงบจิต คิดทบทวน"
ศูนย์พักพิงผู้ประสบอุทกภัยชั่วคราว
สนามราชมังคลากีฬาสถา















***********************************

ที่มา :

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รวมภาพวีดิโอน้ำท่วมประเทศไทย พ.ศ.2554 ประกอบบทเพลงเพื่อกำลังใจ

น้ำท่วมประเทศไทยของพวกเราในปี พ.ศ.2554 นี้ นับว่าหนักหนาสาหัสจริงๆ ครับ ผมพยายามรวบรวมภาพถ่ายและภาพวีดิโอ ที่สื่อมวลชนหลายสำนัก รวมทั้งประชาชนหลายท่านที่ได้ถ่ายและบันทึกเอาไว้  ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามสื่อต่างๆ  ในโลกออนไลน์  เพื่อให้สะดวก และสามารถสืบค้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเรียนรู้ต่อไป

ผมลองค้นหาภาพวีดิโอดู มีเยอะมากเลยครับ หากนั่งรวบรวมคงเป็นไปได้ยากและใช้เวลามาก เลยเปลี่ยนวิธีโดยหาภาพวีดิโอน้ำท่วมที่สื่อต่างๆ นำมาตัดต่อประกอบบทเพลงเพื่อกำลังใจมอบแด่ผู้ที่ประสบอุทกภัย น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า เพราะภาพวีดิโอที่สื่อต่างๆ นำมาตัดต่อนั้น เป็นภาพที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว  การดูประกอบเสียงเพลงยิ่งทำให้ได้อารมณ์ความรู้สึกได้มากยิ่งขึ้น ลองชมกันดูนะครับ 

สื่อที่ผมรู้สึกชื่นชมในความตั้งใจของพวกเขามากๆ  คือ  สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส  ซึ่งได้จัดทำและรวมรวมบทเพลงเพื่อกำลังใจชุด "เราจะฝ่าไปด้วยกัน"  ไว้เป็นจำนวนมาก  ภาพชุดบทเพลงเพื่อกำลังใจนี้ หากพวกเราช่วยกันส่งไปให้เพื่อนๆ ที่เขาประสบภัยน้ำท่วม  อาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยเขาก็จะได้มีกำลังใจในการต่อสู้ต่อไป..

เราจะ..ฝ่าวิกฤตน้ำท่วมใหญ่..ครั้งนี้ ไปด้วยกัน
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
     




เพลง "จะอยู่เคียงข้างเธอ" ศิลปิน บิว กัลยานี









เพลง "พรุ่งนี้คือวันของเธอ"  ศิลปิน ภาณุ เทศขยัน









เพลง "ถ้าเรารักกันมากพอ"  ศิลปิน รวมพลังไทย รวมศิลปิน








เพลง "ทัพธรรม" ศิลปิน วงสตริง อมธ.








เพลง "ทุกข์รวมไทย" ศิลปิน หนู มิเตอร์








เพลง "น้ำใจไทย" ศิลปิน ยืนยง โอภากุล








เพลง "น้ำเอยน้ำใจ" ศิลปิน อัสนี  วสันต์









เพลง "ประสบทุกข์ ประสบภัย ฝ่าไปด้วยกัน" ศิลปิน พนักงานไทยพีบีเอส








เพลง "ปล่อยน้ำท่วมให้เป็นน้ำใจ"  ศิลปิน รวมศิลปิน-ชาวบ้าน









เพลง "วันใหม่" ศิลปิน พงษ์สิทธิ์  คัมภีร์








เพลง "สักวันแล้วมันก็ผ่านไป" ศิลปิน โต๋  ศักดิ์สิทธิ์









เพลง "คนไทยไม่เคยทิ้งกัน" ศิลปิน  ปาน ธนพร









เพลง "อย่าคิดว่าเธอไม่มีใคร"










เพลง "สายลมที่หวังดี"










เพลง "ขอบคุณที่รักกัน"










เพลง "Let it be."




Thai Flood part1 by Korkon Mag.









Thai Flood part2 by Korkon Mag.




************************

ดูทั้งหมดทุกเรื่อง