วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

อาชีพนักการเมืองกับอาชีพรับราชการ

ไฟที่เคยแรง ก็เริ่มมอดและมอดสนิทในที่สุด นักการเมืองที่เคยพึ่งพาและพินอบพิเทาก็หันไปหาข้าราชการคนใหม่ที่มีประโยชน์กว่า

ข้าพเจ้าได้อ่านข่าวและฟังข่าวที่เกี่ยวข้องกับ การเมืองและบรรดาผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส. ที่จะมีการเลือกตั้งที่ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่จะถึงนี้ แล้วรู้สึกเบื่อหน่ายมากจนกระทั่งข้าพเจ้าไม่อยากดู ไม่อยากอ่าน และไม่อยากได้ยิน แต่ก็จนใจ เพราะอยู่ในชีวิตข้าราชการ เขาสั่งให้ต้องคอยติดตามข้อมูลข่าวสารของบ้านเมืองอยู่เสม

พฤติกรรมการแสดงออกต่างๆ เช่น การแบ่งก๊ก แบ่งกลุ่ม แบ่งพวก การตั้งพรรค การย้ายพรรค การวางแผนแข่งขันเพื่อรับเลือกตั้ง หวังจะได้ ส.ส.จำนวนมาก เพื่อเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล หลังจากนั้นก็จะได้แบ่งเค้กแห่งอำนาจและทรัพย์สิน แย่งกันเป็น รมต.กระทรวง ทบวงกรมต่างๆ แบ่งสรรกันไป พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมของคน ที่ประกอบอาชีพ “นักการเมือง” ในปัจจุบันทั้งสิ้น ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นข้าราชการ ข้าพเจ้าลองพยายามเปรียบเทียบวิถีทางของอาชีพรับราชการกับวิถีทางของอาชีพนักการเมืองดู แล้วรู้สึกว่า อาชีพนักการเมือง จะเอาเปรียบกันมากเกินไป นักการเมืองไม่มีอะไรเก่งกว่าเราเลย แต่ทำไม วันหนึ่งเขาจึงมีอำนาจเหนือกว่าและสั่งการเราได้ คิดไปคิดมา.. เหตุก็เพราะเขาเลือกที่จะประกอบอาชีพนักการเมือง นั่นเอง ผมลองพยายามสร้างภาพปิรามิดเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการและนักการเมือง ดูดังที่แสดง


จากภาพดังกล่าว พออธิบายได้ดังนี้

อาชีพราชการ : ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้เก่ง เพื่อสอบแข่งขันบรรจุเข้ารับราชการหลังจากนั้นพยายามที่จะไต่เต้าขึ้นเป็นผู้บริหารในแต่ละระดับ ช่วงต้นๆ พวกอาชีพนักการเมืองก็ยังต้องพึ่งพาและพินอบพิเทา แต่เมื่อถึงคราข้าราชการคนนั้นต้องหลุดจากตำแหน่งต่างๆ ไปแล้ว ด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ไฟที่เคยแรง ก็เริ่มมอดและมอดสนิทในที่สุด นักการเมืองที่เคยพึ่งพาและพินอบพิเทาก็หันไปหาข้าราชการคนใหม่ที่มีประโยชน์กว่า แต่ในทางกลับกัน พวกอาชีพนักการเมืองกลับยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด พวกข้าราชการที่ต้องการไต่เต้าขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงต้องหันกลับมาพึ่งพาและอาศัยนักการเมืองแทน แต่สุดท้ายนักการเมืองก็จะมาเป็นเจ้านายของข้าราชการในที่สุด

อาชีพนักการเมือง : เรียนไม่ต้องเก่งนักพอให้ผ่าน จบปริญญาต่างประเทศมายิ่งดี หลังจากจบแล้วมาทำงานในกงสี โตขึ้นหน่อยก็เริ่มรับมรดกทางธุรกิจ ช่วงนี้ยังต้องพึ่งพาและพินอบพิเทาพวกข้าราชการอยู่ พอมีประสบการณ์ มีชื่อเสียงและมีเงินทุนมากขึ้น ก็เริ่มรับมรดกทางการเมือง รอเวลาลงเลือกตั้ง เป็นทายาททางการเมืองสืบต่อ ใช้กลยุทธ์เลือกตั้งที่ได้รับการสั่งสอนต่อต่อกันมา จนได้เป็น ส.ส. และหากได้เป็นหัวหน้า ส.ส. ก็จะได้อำนาจเป็นเจ้านายเหนือพวกข้าราชการ และที่สำคัญคือได้รับรางวัลชิ้นใหญ่ คือ สามารถที่จะถอนทุนต่างๆ กลับคืนมา ทำกำไรได้สูงสุด

สุดท้าย ข้าพเจ้าต้องขออภัย นักการเมืองและข้าราชการที่มีอุดมการณ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะบทความข้าพเจ้าเขียนนี้ ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ใครเสียหาย แต่เป็นประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นมา ขอให้ท่านผู้อ่านลองศึกษาพฤติกรรมของข้าราชการและนักการเมืองในปัจจุบันดูเอาเองว่า เป็นดั่งที่ข้าพเจ้าได้เขียนหรือไม่

ข้อคิดส่งท้าย
หากข้าราชการท่านใด ต้องการจะใหญ่จะโต ต้องพยากรณ์และทำนายให้แม่นว่า นักการเมืองคนใดจะมีอำนาจ จงเกาะติดนักการเมืองคนนั้นไว้ อย่าปล่อย! ส่วนนักการเมืองเอง ก็ต้องรู้ทิศทางลมเช่นกันว่า ณ วันนี้ ควรจะเกาะนักการเมืองคนใด กลุ่มใด แต่อย่าเกาะแน่น ต้องลื่นไหลไว้เสมอ

ไม่มีความคิดเห็น: