วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ชีวิตยามแก่

ยายมัย ท่าทางแกจะไม่มีความทุกข์ ไม่เหมือนคนอย่างพวกเรา ที่ต้องมีเรื่องคิดกันอยู่มากมาย

บ่ายวันพุธที่ 10 ตุลาคม 2550 ฝนที่บ้านของข้าพเจ้าตกหนักมาก ทราบว่าตกตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็น ข้าพเจ้าขับรถกลับจากที่ทำงานใกล้เวลาหกโมงเย็น ท้องฟ้าวันนั้นมืดเร็วกว่าปกติ ระหว่างทางก่อนถึงบ้านข้าพเจ้าเห็น หญิงชราคนหนึ่ง นั่งตัวงออยู่คนเดียวบนทางเท้าหน้าโรงเรียนเทศบาล 4 วัดมหาธาตุวรวิหาร ราชบุรี เสื้อผ้าเปียกปอน มีอาการหนาวสั่น มือประคองร่มเก่าๆ ขาดวิ่น คันหนึ่ง ซึ่งแทบจะกันฝนไม่ได้

…ในละแวกและเวลานั้น ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง...บางคนก็เดินผ่านไปมา บ้างก็ขับรถ...แต่กลับไม่มีใครสนใจหญิงชราคนดังกล่าวเลย...


หญิงชราคนนี้ ข้าพเจ้าเรียกแก มาตั้งแต่เด็กๆ ว่า “ยายมัย” ชื่อจริงว่าอย่างไร ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ ตอนเด็กๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่า แกมีอาชีพขายของทั่วไปอยู่บริเวณหมู่บ้านท่าเสาของข้าพเจ้า เห็นว่าแกต้องหาเงินเลี้ยงลูกหลายคนอยู่

พอข้าพเจ้าขับรถถึงบ้าน....ข้าพเจ้าได้ขอบริจาคร่มกันฝนจากภรรยา จำนวน 1 คันเพื่อไปให้แกใช้กางกันฝนแทนคันเดิม...พอให้ร่มคันใหม่ แกแล้ว ก็บอกให้แกกลับ ศาลามุ้ง (เป็นศาลาของวัดมหาธาตุที่แกอาศัยนอนอยู่เป็นประจำ) ปรากฏว่าแกเดินไม่ไหว เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องนั่ง ข้าพเจ้าและน้องเมย์ลูกสาว พยายามจูงและประคองแก เนื้อตัวแกก็เหม็นมาก เพราะแกไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว ข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้ถึงความหนาวสั่นของแกเหมือนกำลังจะเป็นตะคริว เพราะแกต้องตากฝนมานานกว่า 2 ชั่วโมง

ข้าพเจ้าตัดสินใจ เปลี่ยนแผนกลับไปเอารถกระบะมาจากบ้าน โดยภรรยาของข้าพเจ้าเป็นผู้ขับ และให้พลทหารชัยนาท สุขแสวง (เป็นทหารบริการประจำตัวของข้าพเจ้า) ช่วยอุ้มแกขึ้นท้ายรถแล้วพาไปส่งที่ศาลามุ้ง อันเป็นที่อาศัยของแก....(ศาลามุ้งที่เข้าใจนี้ ไม่มีมุ้งนะครับ เป็นศาลาโล่งๆ มีท้องฟ้าและอากาศเป็นมุ้ง มุ้งเป็นชื่อของศาลา)

ในที่สุดแกก็ได้นอนในศาลามุ้ง วิมานของแกที่เต็มไปด้วย เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดวิ่น กองสุมอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ มีที่นอนที่เต็มไปด้วยนุ่นที่ขาดหลุดลุ่ยกระจุยกระจายออกมา มีถุงพลาสติกใส่ข้าวและอาหารก้นบาตรจากที่เหลือของพระ เรี่ยราดอยู่ทั่วไป แต่ดูเหมือนจะเป็นที่ที่มีความสุขที่สุดของ “ยายมัย”

ยายมัย ท่าทางแกจะไม่มีความทุกข์ ไม่เหมือนคนอย่างพวกเรา ที่ต้องมีเรื่องคิดกันอยู่มากมาย ตอนนี้แกเริ่มหลง พูดและฟังไม่รู้เรื่อง มีหลายคนบอกว่าลูกๆ ก็พยามดูแลแก ไม่ให้มาเดินระเหเร่ร่อน นอนในศาลา แบบนี้ แต่แกก็ไม่ยอมทำตามที่บอก สงสัยแกจะไม่มีความสุขเมื่อเข้าบ้าน....

ฝนตกตลอดทั้งคืน..จนกระทั่งถึงเช้าอีกวัน...ข้าพเจ้าดีใจและได้บอกกับทุกคนในครอบครัวของข้าพเจ้าว่า “หากเราไม่ช่วย ยายมัย ให้กลับไปนอนในศาลามุ้ง เมื่อคืนนี้ ป่านนี้..ไม่รู้แกจะเป็นอย่างไร แกอาจจะเสียชีวิตไปแล้วเพราะการตากฝนทั้งคืน..”

สิ่งที่พวกเราทั้งหมด ทำในครั้งนี้ นับเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ได้ช่วยชีวิตหญิงชราแก่ๆ คนหนึ่งเอาไว้ อย่างน้อยหวังว่ายามเราแก่บ้าง...เราคงจะไม่เป็นอย่าง “ยายมัย”

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คิดดี ทำดีทุกวัน ทุกที่ทุกเวลา ทุกโอกาส เป็นความฉลาดทางอารมณ์