ผมพยายามติดตามเรื่องพฤติกรรมของนักการเมืองไทยมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดมากครับ แต่ผมไม่รู้จะไประบายกับใคร จะพูดกับใครก็ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นเหมือนกับผมหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจเขียนลงในบล็อกของผมเองนี่แหละครับ ที่ดีสุด
ไอ้นักการเมืองพวกนี้มันทำกันได้อย่างไร ใช้อะไรคิด ใช้อะไรพูด สันดานมันเป็นอย่างไร ผมรู้สึกอึดอัดจริงๆ เวลานักข่าวไปสัมภาษณ์ไอ้คนพวกนี้ แล้วนำมาออกข่าว มันไม่เห็นมีอะไรที่จะสร้างสรรค์ประเทศไทยเลย รังแต่แสดงวุฒิภาวะถ่อยๆของ ส.ส. ผู้ทรงเกียรติ ที่มันให้สัมภาษณ์ออกมาแต่ละคำ ถ้าผมเป็นนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ผมจะขอชกปากไอ้นักการเมืองพวกนี้สักครั้ง พวกนี้มันเหิมเกริม มันมีคนให้ท้าย มันนึกว่า มันใหญ่ มันเก่ง คนอื่นไม่มีอำนาจ คนอื่นไม่เก่งเท่ามัน หลงตัวเอง มันนึกว่าเวลามันตอบคำถามนักข่าว ทุกคนคงชอบมัน ฯลฯ ผมไม่รู้ว่าจะเขียนบรรยายอย่างไร จะอธิบายพฤติกรรมถ่อยของพวกมันเหล่านี้ได้หมด นักการเมืองที่ผมรู้สึกเช่นนี้ มี 3 คน คืิอ
คนแรก นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มันเป็นคนที่ขโมยวาทะและความคิดของคนอื่นมาพูดเสมอ มันจะเป็นพวกครูพักลักจำ แต่ถ้าถามความรู้ลึกๆ มันจะตอบไม่ได้ มันไม่มีความรู้ถึงขั้นเป็นรัฐมนตรี มันน่าจะเป็นได้แค่สุนัขเฝ้าหน้าห้องนายเท่านั้น เพราะมันจงรักภักดีแค่อาหารเม็ดที่เจ้านายให้มันกิน มันพูดโน้มน้าวเก่ง พูดแบบปีนเกลียวให้คนแตกแยก ดูถูกคนอื่น มันพูดเหมือนกับมันเป็นกูรู พูดแบบท้าทาย พูดแบบกูไม่สนใจว่าคนอย่างพวกมึงจะคิดอย่างไร โลกนี้มันคิดถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด ทะเยอทะยาน ทำงานด้วยปาก ไอ้นี่นะ..ถ้านายที่คุ้มกะลาหัวมันหมดอำนาจ มันก็คือ "สุนัขขี้เรื้อนข้างถนน"
คนที่สอง นายจตุพร พรหมพันธ์ ไอ้นี่ที่เขาเรียก "คางคก" ก็สมควรแล้ว เหมาะกับบุคลิกและนิสัยของมันเหมือนคางคกจริงๆ แลบลิ้นกินเหยื่อแป๊บๆ มันมีนิสัยและพฤติกรรมคล้ายกับนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ทีวีเสื้อแดงที่เจ้านายมันสร้างขึ้นมา ก็เห็นว่ามีแต่มันคุยอยู่คนเดียว คุยแบบโคตรตะระไร้สาระ ไอ้นี่ชะตาขาด เพราะศาลเอาจริง หลังปล่อยให้มันเหลิงมานาน นึกว่าทำอะไรเพื่อนายแล้วจะปลอดภัย หวังว่านายจะคุ้มกะบาลมัน ไอ้นี่นะ..เมื่อนายมันหมดอำนาจ มันก็คือ "คางคกข้างคูน้ำคำ" (ในชุมชนแออัดด้วยครับ)
คนที่สาม นายเฉลิม อยู่บำรุง ไอ้นี่มันเป็น ดร.แต่ไม่อยากบอกว่าจากสถาบันไหน สถาบันเขาคงคิดได้แล้วว่า "ไม่ควรให้มันจบเลย" แล้วมันก็เอาชื่อสถาบันมาขายว่ามันเป็น ดร. จนคนทั่วไปเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อสถาบัน เพราะแต่ละเรื่องที่มันพูดออกมาโคตรตะระไร้หลักการ มีข้อ1 ข้อ 2 ข้อ 3...แต่มันพูดเหมือนกับคนที่ไร้การศึกษา แต่เสือกได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี แถมหน้าตาดำๆ สายตาก้าวร้่าว ข่มขู่ จิกพวกนักข่าว ดูถูกว่าพวกมึงกระจอกกว่ากู เพราะพวกมึงไม่รู้อะไร เหยียดหยามคนอื่นเขาไปหมด ช่างไร้มารยาทเสียจริงๆ ไอ้นี่เมื่อนายมันหมดอำนาจ มันก็คือ "สุนัขบ้าที่ระเห่เร่ร่อนหาคนเลี้ยงใหม่"
ผมเขียนบทความนี้ ผมอาจจะถูกฟ้องร้องอะไรสักอย่างก็ได้ครับ แต่ขอความกรุณาให้ผู้อ่านช่วยกรุณา vote ด้านข้างบล็อกนี้นะครับ ว่าคุณเกลียดใครมากที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า แต่ก็ได้รู้ว่ามีใครคิดอย่างผมบ้าง เพราะผมไม่รู้ว่า ผมเกลียดใครมากที่สุด..เพราะมันเลวพอๆ กัน ขอบคุณครับ
ผมเคยอ่านบทความแต่จำไม่ได้ว่าอ่านมาจากไหน ซึ่งกล่าวว่า "ก่อนจะชื่นชมใครสักคนจนกระทั่งตัดสินใจสร้างอนุสาวรีย์ให้เขา ต้องรอให้เขาตายเสียก่อน เพราะคนเราจะเปลี่ยนแปลงนิสัยและพฤติกรรมได้ตลอดเวลา วันหนึ่ง ขณะหนึ่ง เราอาจจะเห็นว่าเขาว่ามีคุณงามความดี แต่วันหนึ่งเราอาจจะเห็นความเลวร้ายสุดๆ ของคนๆ นั้นก็ได้ เหตุเพราะ เวลามันเปลี่ยนไป"
อย่าหลงเชื่อว่าใครเป็นคนดี จนกว่าคนคนนั้นจะตาย
*****************
ชาติชาย คเชนชล : 25 ก.ค.2555
3 ความคิดเห็น:
เห็นด้วยค่ะ :)
ผมอ่านแล้ว ความคิดเห็นของคุณที่คุณระบายออกมานั้น ก็คงเหมือนกับอีกทั้งสามคนนั่งแหละรวมคุณด้วยเป็น สี่คน
ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นข้างต้นครับ คุณทำแบบนี้ คุณจะกลายเป็นคนแบบที่คุณว่าเขานะครับ ถ้าคุณจะไม่ชอบคนแบบนี้ที่ดูถูกด่าว่าคนอื่น คุณควรทำตัวให้แตกต่างนะครับ
แสดงความคิดเห็น