เมื่อเย็นวันที่ 29 ธ.ค.2555 ผมและครอบครัวไปนั่งรับประทานส้มตำ หมูคลุกฝุ่น ไก่ย่างเกลือ และอาหารอิสานอีกหลายอย่าง ที่บริเวณตลาดเมืองทองซึ่งเป็นตลาดโต้รุ่งแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี คล้ายๆ กับสนามหญ้า เย็นวันนั้นผู้คนเยอะมาก คงเป็นเพราะใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายคนก็กลับมาเยี่ยมบ้าน หลายคนก็มาเยี่ยมญาติ หลายคนก็มาเที่ยวบ้านเพื่อนๆ ทะเบียนรถมาทั้งจากกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ เต็มไปหมด
ระหว่างรับประทานอาหารอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปีกว่าๆ เดินกระย่องกระแย่งคล้ายคนสุขภาพไม่ค่อยดี แต่งตัวมอซอ มือซ้ายหิ้วตระกร้าสีเขียวใบไม่ใหญ่มากนัก ในตระกร้าเป็นถั่วกรอบแก้วบรรจุถุงเล็กๆ อยู่สักประมาณ 20 ถุง ส่วนมือขวาก็จูงลูกชายวัยกำลังซนเดินเตาะแตะตามมาด้วย เดินเร่ขายตามโต๊ะอาหาร เดินมาหลายโต๊ะแล้ว มีแต่คนโบกมือว่าไม่เอา พอมาถึงโต๊ะผม ก็เสนอขายถั่วกรอบแก้ว ถุงละ 10 บาท ผมมองหน้าลูกสาวด้วยเหมือนจะเข้าใจตรงกันว่าสงสารเขา เราน่าจะทำบญและให้ทาน ผมควักเงินซื้อถั่วจำนวน 2 ถุง รวม 20 บาท ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้อยากกินถั่วกรอบแก้ว 2 ถุงนั้นเลย ผมได้พูดคุยกับชายคนนั้นเล็กน้อยได้ความว่า ภรรยาเพิ่งเสียชีวิตไป ส่วนลูกก็ยังไม่ถึงวัยเข้าเรียน
"ผมทำถั่วกรอบแก้วเองครับ วันละประมาณ 100 ถุง แต่ก่อนผมเดินขายคนเดียว ผมขายไม่ค่อยได้ ถั่วเหลือทุกวัน พอผมพาไอ้ตัวเล็กมาเดินขายด้วย ผมจึงพอขายได้ ผมรู้ว่าที่ผมขายได้ ไม่ใช่เพราะถั่วของผมอร่อย เพราะเขารู้สึกสงสารลูกชายของผมต่างหาก"
ผมก็นึกในใจเช่นกัน ที่ผมซื้อก็เพราะ "ผมไม่ได้อยากกินถั่วกรอบแก้วในตระกร้าสีเขียวใบนั้นเลย แต่ผมซื้อเพราะความสงสารเด็ก"
ตามตลาดโต้รุ่งในที่ต่างๆ ทุกคนคงเคยเห็นภาพเรื่องราวเหล่านี้บ่อยๆ บ้างก็อุ้มทารกตัวเล็กๆ ยังไม่อดนม มาขอทานบ้าง มาขายของบ้าง บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นคนแก่ มาคนเดียวบ้าง มาหลายคนบ้าง ขายถั่วต้ม ขายผลไม้ ขายดอกไม้ ขายเครื่องจักสาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นดาษดื่นอยู่ในสังคมไทยจนเป็นปกติ จนทำให้หลายคนที่มานั่งรับประทานอาหารเกิดความเบื่อหน่าย และคิดว่าพวกเหล่านี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ทำกันเป็นแก๊งค์ เป็นขบวนการ ไม่น่าสงสารจริงๆ อย่างที่เห็น
ลูกสาวถามผมว่า "คืนถั่วให้ชายคนนั้นเพื่อให้เขานำไปขายต่อ จะดีไหม"
ผมตอบว่า "ไม่ควรทำ เพราะหากทำเช่นนั้น มันจะเป็นการดูถูกเขา เขาทำมาหากินด้วยการขายถั่วกรอบแก้วเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเขาด้วยน้ำพักน้ำแรงและน้ำมือ และด้วยศักดิ์ศรีของตัวเขาเอง หากเราทำเช่นนั้น เขาอาจจะคิดว่า เราดูถูกว่าเขาเป็นขอทาน ไม่รู้จักทำมาหากินเพื่อเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น เราจึงต้องซื้อถั่วกรอบแก้วจากเขา (ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากกินก็ตาม) และต้องไม่คืนถั่วทั้ง 2 ถุงที่เราซื้อให้เขา...คนเราถ้าขยันจะไม่อดตาย แต่อาจจะมีมากหรือน้อยไปบ้างตามสติปัญญาก็ไม่เป็นไร ถ้าทุกคนรู้จักความพอดีและพอเพียง"
ผมไม่ได้คิดอะไรมากมายกับคำบอกเล่าของชายขายถั่วผู้นั้นว่า "เขาจะโกหกผมหรือไม่" แต่ผมก็รู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้ซื้อถั่วกรอบแก้ว 2 ถุงนั้น เพราะมันทำให้ผมมีความรู้สึกที่ดีดีในการช่วยเหลือและแบ่งปัน อาหารมื้อเย็นวันนั้น ผมและครอบครัวรับประทานกันกว่า 700 บาท กับเงินแค่ 20 บาท คงไม่ทำให้เราเดือดร้อนอะไรมากนัก เหมือนกับเวลาที่เรารู้สึกอยากใส่บาตรพระ แต่พอเรารู้ว่าพระองค์นี้ประพถติไม่ดี เราเลยไม่ใส่บาตร อย่างนี้ผมว่าไม่ใช่วิธีคิดที่ถูก
ผมแอบขอตัวออกจากโต๊ะอาหาร เพื่อไปติดตามดูชายขายถั่วผู้นี้ ที่ยังคงจูงมือลูกชายตัวเล็กเดินเร่ขายไปตามโต๊ะต่างๆ ในตลาดเมืองทอง โดยสังเกตอยู่ห่างๆ เขาเดินขายไปตามร้านข้าวต้ม ร้านบะหมี่เกี้ยว ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวผัดปู ร้านหอยทอดผัดไทย ร้านขนมหวาน ร้านน้ำปั่นไอศครีม ฯลฯ ผมนับแบบคร่าวๆ มีมากกว่า 100 โต๊ะ ผมก็ลุ้นอยู่ว่าเขาจะขายหมดหรือไม่ ปรากฎว่ามีคนซื้อเขาเพียง 5 โต๊ะ นอกนั้น ส่วนใหญ่ก็โบกไม้โบกมือว่าไม่ซื้อ บางโต๊ะนอกจากไม่ซื้อ ยังกล่าวว่าดูถูกเขาเสียอีกว่ารำคาญคนพวกนี้ ส่วนเจ้าลูกชายตัวเล็ก พอเจออะไรแปลกๆ อยากจะกิน ก็สลัดมือหลุดจากพ่อ วิ่งไปจ้องดูที่หน้าร้าน โดยเฉพาะหน้าร้านน้ำปั่นและไอศครีม จนพ่อต้องไปเดินจูงมือกลับมา เพื่อจะเดินขายต่อไป
เขาเลิกขายแล้ว เวลาประมาณเกือบ 3 ทุ่ม เขาเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซต์คันเก่าๆ เอาเจ้าตัวเล็กนั่งหน้ารถ หิ้วตระกร้าสีเขียวใบเดิมที่ยังคงเหลือถั่วกรอบแก้วอีก 5 ถุง ผมเดินเข้าไปทักทาย เขาจำผมได้ เขาบอกว่า "พี่..เหมาเลยครับ ผมขายให้พี่หมดเลย 5 ถุง 30 บาท ผมจะได้พาไอ้ตัวเล็กกลับบ้านเสียที"
ผมตอบเขาไปว่า
"ไปขายต่อเถิด ตลาดข้างหน้า..คงมีคนใจดีอยู่บ้าง"
***************
จุฑาคเชน : 30 ธ.ค.2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น