ภาพจาก ASTV ผู้จัดการออนไลน์ |
สอนให้ลูกจับปลา ไม่ใช่หาปลาให้ลูกกิน
คำกล่าวนี้ ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายความใดๆ ทุกท่านก็คงเข้าใจ มีบทความที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้พร้อมทั้งยกตัวอย่างให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวที่อดีตพระราชาของเราได้เคยทรงทำให้เราดู
แต่ผู้ปกครองของประเทศไทย ที่ชอบอ้างว่าเดินทางตามรอยพ่อ กลับไม่เดินจริง ยังชอบ "หาปลาให้ลูกกิน" เสมอ เพราะมันเป็นวิธีการที่เร็วและง่ายที่จะทำให้คนชื่นชมยกย่อง ที่เรียกว่าเพื่อให้ "ประชานิยม" นั่นเอง
แต่ผู้ปกครองของประเทศไทย ที่ชอบอ้างว่าเดินทางตามรอยพ่อ กลับไม่เดินจริง ยังชอบ "หาปลาให้ลูกกิน" เสมอ เพราะมันเป็นวิธีการที่เร็วและง่ายที่จะทำให้คนชื่นชมยกย่อง ที่เรียกว่าเพื่อให้ "ประชานิยม" นั่นเอง
ผมไม่เห็นด้วยกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ใครจะว่าผมไม่มีจิตคิดเมตตากรุณา ผมก็ยอม เพราะผมเห็นว่า นโยบายที่รัฐจะมอบสวัสดิการให้กับคนมีรายได้น้อย (คนจน) มันไม่ใช่นโยบายที่ยั่งยืน แต่มันจะกลับกลายเป็นยาพิษทำลายคนเหล่านั้นแทน รัฐควรพยามยามสร้างให้เขาทำมาหากินเป็น ไม่ใช่การแบมือขอความช่วยเหลืออยู่ร่ำไป
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนผมเสียภาษีให้ประเทศชาติเดือนละ 8,000 บาทเศษ แต่ผมก็ต้องการให้ภาษีของผมนำไปพัฒนาด้านสวัสดิการเพื่อคนส่วนรวม หรือเพื่อนำไปใช้ลงทุนในกิจการต่างๆ ของรัฐเพื่อให้ประเทศชาติมีรายได้ "ไม่ใช่นำไปแจกคน 11.4 ล้านคนที่รัฐเรียกว่าเป็น "คนจน" เพื่อใช้ในเรื่องส่วนตัว"
หากจะให้จริง ก็ควรแลกด้วยสิ่งตอบแทนบ้าง
จนป่านนี้แล้ว คงแก้ไขอะไรไม่ได้ก็คงต้องให้มันเป็นไปตามนั้น คนจำนวน 11.4 ล้านคน กำลังจะได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เดือนละ 200 บาทบ้าง 300 บาทบ้างตามรายได้ที่มีต่อปี แถมยังมีค่าเดินทางรถโดยสารรถเมล์รถไฟอีกเดือนละ 1,500 บาท และลดหย่อนค่าก๊าซหุงต้มอีก 45 บาท/คน/3 เดือน รวมแล้วรัฐต้องใช้เงินแบบให้ฟรีแก่คนจน เฉลี่ยประมาณเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท น่าเสียดายนะครับ รู้ไหมเงินเหล่านี้ ก็คือเงินอัดฉีดให้นายทุนและกิจการของรัฐ ที่รัฐชอบเรียกว่า "ระบบเศรษฐกิจ" นั่นเอง
"ว่างงาน" ก็หัดตอบแทนสังคมบ้าง ก็ได้
ผมข้อเสนอแนะว่า คนจน 11.4 ล้านคน ที่กำลังจะได้รับ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ซึ่งรัฐต้องเจียดจ่ายจากเงินภาษีให้ท่านเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท จากคุณสมบัติแล้ว ท่านมีอายุมากกว่า 18 ปี และท่านเป็น "ผู้ว่างงาน" ดังนั้น ท่านน่าจะมีจิตสำนึกในการตอบแทนแก่สังคมบ้างก็ดี เช่น ยามว่างหรือเสาร์-อาทิตย์ ลองไปช่วยงานอาสาสมัครหรือจิตอาสาเพื่อสาธารณะประโยชน์ให้แก่สังคมบ้าง ซึ่งงานอาสามีรอให้ช่วยทำมากมาย หรือไม่ก็ไปช่วยกวาดลานวัด กวาดโรงเรียนบ้างก็ได้ ไม่ใช่นั่งรับเงินโดยไม่ทำอะไรตอบแทนแก่สังคมบ้างเลย
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนผมเสียภาษีให้ประเทศชาติเดือนละ 8,000 บาทเศษ แต่ผมก็ต้องการให้ภาษีของผมนำไปพัฒนาด้านสวัสดิการเพื่อคนส่วนรวม หรือเพื่อนำไปใช้ลงทุนในกิจการต่างๆ ของรัฐเพื่อให้ประเทศชาติมีรายได้ "ไม่ใช่นำไปแจกคน 11.4 ล้านคนที่รัฐเรียกว่าเป็น "คนจน" เพื่อใช้ในเรื่องส่วนตัว"
หากจะให้จริง ก็ควรแลกด้วยสิ่งตอบแทนบ้าง
จนป่านนี้แล้ว คงแก้ไขอะไรไม่ได้ก็คงต้องให้มันเป็นไปตามนั้น คนจำนวน 11.4 ล้านคน กำลังจะได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เดือนละ 200 บาทบ้าง 300 บาทบ้างตามรายได้ที่มีต่อปี แถมยังมีค่าเดินทางรถโดยสารรถเมล์รถไฟอีกเดือนละ 1,500 บาท และลดหย่อนค่าก๊าซหุงต้มอีก 45 บาท/คน/3 เดือน รวมแล้วรัฐต้องใช้เงินแบบให้ฟรีแก่คนจน เฉลี่ยประมาณเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท น่าเสียดายนะครับ รู้ไหมเงินเหล่านี้ ก็คือเงินอัดฉีดให้นายทุนและกิจการของรัฐ ที่รัฐชอบเรียกว่า "ระบบเศรษฐกิจ" นั่นเอง
- สินค้ายี่ห้อ A ไม่ว่าจะขายในห้างสรรพสินค้า หรือในร้านธงฟ้าประชารัฐ ก็ล้วนเจ้าของเดียวกัน ซึ่งสินค้ายี่ห้อ A ก็จะขายได้มากขึ้น ไม่มีใครขายของขาดทุนหรอกครับ มีแต่กำไรน้อยกำไรมากเท่านั้น
- กิจการรถโดยสาร รถเมล์ และรถไฟก็ล้วนเป็นกิจการของรัฐ ซึ่งรัฐเป็นเจ้าของสัมปทานและกำลังขาดทุน
- ก็าซหุงต้ม ก็รู้ๆ อยู่ว่าใครเล่าที่เป็นเจ้าของผูกขาด
"ว่างงาน" ก็หัดตอบแทนสังคมบ้าง ก็ได้
ผมข้อเสนอแนะว่า คนจน 11.4 ล้านคน ที่กำลังจะได้รับ "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" ซึ่งรัฐต้องเจียดจ่ายจากเงินภาษีให้ท่านเดือนละกว่า 20,000 ล้านบาท จากคุณสมบัติแล้ว ท่านมีอายุมากกว่า 18 ปี และท่านเป็น "ผู้ว่างงาน" ดังนั้น ท่านน่าจะมีจิตสำนึกในการตอบแทนแก่สังคมบ้างก็ดี เช่น ยามว่างหรือเสาร์-อาทิตย์ ลองไปช่วยงานอาสาสมัครหรือจิตอาสาเพื่อสาธารณะประโยชน์ให้แก่สังคมบ้าง ซึ่งงานอาสามีรอให้ช่วยทำมากมาย หรือไม่ก็ไปช่วยกวาดลานวัด กวาดโรงเรียนบ้างก็ได้ ไม่ใช่นั่งรับเงินโดยไม่ทำอะไรตอบแทนแก่สังคมบ้างเลย
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ การคิดที่จะทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพนั้น ผมว่าไม่ยาก เพียงแต่ว่าระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจที่รัฐสร้างขึ้นควรเอื้อประโยชน์ให้คนที่มีรายได้น้อยมีโอกาสทำมาหากินจริงๆ ไม่ใช่เอื้อประโยชน์ให้เฉพาะนักลงทุนอย่างเดียว ความยุ่งยากความหยุมยิมของกฏหมาย และจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ล้วนไม่เอื้อประโยชน์ให้คนเหล่านี้ทำมาหากินเท่าใดนัก หรือหากคิดทางลบก็คือ คนพวกนี้ เป็นคนจำพวกขี้เกียจทำมาหากิน จึงไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือใดๆ
รัฐควรมีนโยบายพยายาม "สอนให้เขาจับปลา" ซิครับ
ดีกว่า "หาปลาให้เขากิน" มากมายนัก
*******************************
ชาติชาย คเชนชล 25 ก.ย.2560
รัฐควรมีนโยบายพยายาม "สอนให้เขาจับปลา" ซิครับ
ดีกว่า "หาปลาให้เขากิน" มากมายนัก
*******************************
ชาติชาย คเชนชล 25 ก.ย.2560
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น