วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตั้งสติ ใช้ปัญญา..มาตรา 112 ควรยกเลิกหรือไม่?

กรณีนายอำพล ตั้งนพคุณ อายุ 61 ปี ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า "อากง"  ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2554   กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112  และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2)(3)  ส่งผลให้มีบุคคลบางกลุ่มออกมาต่อต้านคำตัดสินว่าแรงเกินไป มีการออกมาแถลงข่าวไม่เห็นด้วย รวมทั้งมีการเดินรณรงค์ให้ปล่อยตัวอากง และยกเลิกประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112 และมีการชักนำให้ชาวต่างชาติให้เข้ามาแทรกแซงวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย

ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 มีอะไรผิดปกติ
ไม่ว่า "อากง" จะทำผิดจริงหรือว่าถูกใส่ร้าย หรือว่า "อากง" เป็นแค่คนแก่คนหนึ่งที่ถูกขบวนการล้มเจ้าจับบูชายันต์  เพื่อเป็นชนวนนำไปสู่การแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112  ก็ตาม พวกเราคงต้องตั้งสติ และใช้ปัญญา พิจารณาหาเหตุผลกันว่าประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 มีอะไรผิดปกติ หรือทำลายประเทศไทยอย่างไร ถึงต้องมีการยกเลิกหรือเรียกร้องให้แก้ไข  

ความคิดของกลุ่มรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112
     


กลุ่มพวกนี้ เห็นว่า กฎหมายมาตรา 112 คือ กฎหมายที่ขัดต่อหลักเสรีภาพและหลักความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตย เป็นกฎหมายที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นคนของประชาชน และเป็นกฎหมายที่อยุติธรรมต่อประชาชน  กล่าวคือ
  • อยุติธรรมเนื่องจากว่า มันทำลายเสรีภาพในการตรวจสอบ “บุคคลสาธารณะ” ที่ใช้ภาษีของเรา
  • อยุติธรรมเนื่องจากว่า มันสามารถลงโทษประชาชน เนื่องจากการกระทำความผิดด้วย “คำพูด” เพียงไม่กี่คำ โดยการจำคุกได้ ถึง 20 ปี
  • อยุติธรรมเนื่องจากว่า มันเปิดให้ใครไปแจ้งความก็ได้ ก่อให้เกิดการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ทำลายล้างกันทางการเมือง เป็นเงื่อนไขของการอ้างสถาบันทำรัฐประหาร เป็นเครื่องมือล่าแม่มด สร้างบรรยากาศของความขัดแย้ง และความหวาดกลัว ในหมู่ประชาชนที่รักเสรีภาพ และความยุติธรรม ในฐานะประชาชน
ที่ผมเอาคลิบวีดีโอมาให้ชมนี้ ก็เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้อ่านในการใช้ปัญญาเพื่อพิจารณาไตร่ตรองต่อไป

ควรยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ ?
ผมได้ไปอ่านบทความที่ผมคิดว่าสามารถอธิบายเรื่องมาตรา 112 ได้ดีที่สุดในขณะนี้  เขียนไว้ในบทความพิเศษ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2554 ในเว็บไซต์ของ น.ส.พ.แนวหน้า โดยท่านขวัญชัย รัตนไชย ซึ่งอดีตเคยเป็นนักเรียนโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย รุ่นแรก จบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยรับราชการเป็นผู้พิพากษาและเป็นอาจารย์พิเศษสอนในมหาวิทยาลัย ปัจจุบันยังคงทำงานด้านกฎหมายอยู่ และเคยได้รับทุนฟูลไบรท์ไปศึกษาวิชากฎหมายที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นประเทศประชาธิปไตยเต็มรูปแบบของโลก  ท่านได้เสนอความเห็นในเรื่องนี้ ได้น่าฟังอย่างยิ่ง

ความเห็นด้านกฏหมายของท่าน
ข้อ 1. ประเทศไทยกำหนดห้ามหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และห้ามหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาไว้ในมาตรา 326 ความว่า
  • มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
  • าตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อแตกต่างของความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์กับบุคคลธรรมดาประการแรกก็คือ
  • มาตรา 112 เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งหมายความว่ารัฐเป็นผู้เสียหายและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องดำเนินการกับผู้กระทำความผิด
  • ส่วนมาตรา 326 เป็นความผิดอันยอมความได้หรือความผิดต่อส่วนตัวซึ่งถ้าไม่มีผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่ดำเนินคดีให้
เหตุที่บัญญัติไว้แตกต่างกันเช่นนี้เพราะไม่มีประเทศใดในโลกที่ประมุขของรัฐจะไปฟ้องร้องกล่าวโทษพลเมืองของตนเอง หากยกเลิกมาตรา 112 ก็เท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิประมุขแห่งรัฐไม่ให้สามารถคุ้มครองตนเองจากการถูกหมิ่นประมาทได้

ยิ่งกว่านั้นการ " หมิ่นประมาท " หมายความว่า ใส่ความโดยไม่เป็นความจริงในลักษณะที่ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังเกลียดชังผู้ถูกใส่ความซึ่งเป็นการกระทำอันชั่วร้ายผิดศีลธรรม การยกเลิกมาตรา 112 มีผลทำให้ประมุขของรัฐซึ่งถูกจำกัดสิทธิที่จะคุ้มครองตนเองโดยฐานะของตนในทางพฤตินัยไม่ได้รับความคุ้มครองและเสียสิทธิที่จะปกป้องตนเองในทางนิตินัยไปพร้อมกันด้วย
 
ข้อ 2.กฎหมายอาญาของไทยเป็นกฎหมายที่มีความเป็นสากล กล่าวคือ ให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐต่างประเทศและผู้แทนของรัฐต่างประเทศด้วยดังจะเห็นได้จากมาตรา 133 และ มาตรา 134 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
  • มาตรา 133 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีหรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ "
ถ้ายกเลิกมาตรา 112 ผลตามกฎหมายก็คือ ประเทศไทยให้ความคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศแต่ไม่คุ้มครองประมุขของตนเองซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัยของอารยประเทศอย่างยิ่ง

หากจะยกเลิกมาตรา 133 และมาตรา 134 ไปพร้อมกับมาตรา 112 ผลก็คือประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาสังคมโลกและไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดในโลกคบค้าสมาคมด้วย เพราะไม่ให้เกียรติแก่ประมุขของเขาซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศสูงสุดของประเทศเหล่านั้น

ข้อ 3. ในสังคมระหว่างประเทศมีหลักในการอยู่ร่วมกันข้อหนึ่งคือหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน ( Reciprocity ) กฎหมายของประเทศที่เจริญแล้วในโลกไม่ว่าจะมีประมุขเป็นพระมหากษัตริย์ หรือประธานาธิบดี หรือเรียกชื่ออื่นใดก็ตาม ย่อมถือว่าประมุขของประเทศใดเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของประเทศนั้น แต่ละประเทศจะให้ความคุ้มครองสูงสุดแก่ประมุขของตนและให้ความคุ้มครองแก่ประมุขของประเทศอื่น เพื่อประเทศอื่นจะได้ให้ความคุ้มครองแก่ประมุขของตนเองด้วยแล้ว ย่อมมีผลทำให้ประเทศไทยต่ำต้อยกว่าประเทศอื่นใดในสายตาชาวโลก

ข้อ 4. ประมุขของประเทศใดก็ตามย่อมถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศนั้น หากประมุขของประเทศใดไร้เกียรติพลเมืองของประเทศนั้นย่อมต่ำต้อยไร้ค่ากว่าพลเมืองของประเทศอื่นในโลก ถ้าคนไทยยังรักที่จะเป็นคนที่มีเกียรติก็จะต้องรักษาเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศไว้สูงสุดจึงจะทำให้คนไทยมีเกียรติเหมือนพลเมืองชาติอื่นในโลก

ข้อ 5. ประมุขของแต่ละประเทศทั้งที่ได้รับการเลือกตั้งหรือโดยการแต่งตั้ง ล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ขวัญและกำลังใจของประเทศนั้นๆ ความภาคภูมิใจของพลเมืองในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นก็คือ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขได้รับการคัดเลือกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ( Supernatural ) ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการและประกอบคุณงามความดีมาก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติจึงคัดเลือกให้มาเป็นประมุข

การแก้ไขกฎหมายใดๆ โดยไม่ได้ศึกษาถึงผลกระทบทั้งภายในประเทศและในสังคมระหว่างประเทศ รวมทั้งโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรมอาจทำให้บรรลุเป้าหมายด้านผลประโยชน์ของบุคคลบางคนบางกลุ่มแต่ก่อให้เกิดความหายนะใหญ่หลวงแก่ประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติ

ตามที่ท่านขวัญชัย รัตนไชย ได้เขียนความเห็นมานี้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมแล้ว เพราะท่านอธิบายไว้ชัดเจน  เพียงแต่กลุ่มคนที่กำลังรณรงค์ให้มีการยกเลิกมาตรา 112 นี้จะมีสติปัญญาเพียงพอที่จะคิดทบทวน แล้วสำนึกกลับตัวกลับใจได้หรือไม่?  

ผมว่า "อากง" เป็นแค่คนแก่คนหนึ่งที่ถูกขบวนการล้มเจ้าจับบูชายันต์...เพื่อสังเวยในความหลงผิดของพวกมัน เรื่องก็มีอยู่เท่านี้เอง....

อันผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
แม้นว่าหูเบาเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อแต่ฝ่ายเดียว
มิได้ตรวจสอบให้รู้เท็จจริงโดยรอบคอบ
นอกจากงานแผ่นดินจะเสียหายแล้ว
ตัวเองยังเป็นอันตรายด้วย

*************************************
จุฑาคเชน  15 ธ.ค.2554

อ่านเพิ่มเติม ข้อแตกต่างระหว่าง อภัย: ศานติชัยในพม่า กับฝ่ามืออากง

ที่มาข้อมูล

3 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ออกตัวก่อนว่าผมไม่เห็นด้วยให้ยกเลิก 112 แต่ควรแก้ไขนิดหน่อยให้เป็นอารยะ
อ่านมา 4 ข้อแรกของคุณก็ยังดีอยู่ มาตกม้าตายข้อ5 ไม่เป็นพุทธศาสตร์แล้วก็ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ มันแสดงให้เห็นว่าคุณเชื่อว่า ชีวิตคนมีคนลิขิต กรรมไม่ได้ให้ผลกรรม แต่พระพุทธเจ้าสอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของการเชื่อมโยงการกระทำในอดีตที่นำมาให้เป็นไปในปัจจุบัน
คุณมาอยู่ในที่นี้เพราะแรงกระทำหรือกรรมที่ส่งคุณมา

พระพุทธเจ้าก็เป็นคนธรรมดาแต่วิเศษที่ท่านกระทำมามากจนรู้เจนจบทั้งจักรวาล ไม่ใหลไปตามสิ่งภายนอก

คนธรรมดาก็เป็นได้เช่นกันแค่ใช้เวลา

แค่คุณพ่นข้อห้าออกมาได้คุณก็เสียรังวัดไปเยอะแล้ว ถ้ายังเชื่อว่าผีสางเทวดาคนทรงเจ้าเข้าผี พรหมลิขิตเหล่านี้คือที่พึ่งพิงได้ พูดเท่าไรก็หาคนมีปัญญาที่แท้จริงจะฟังคุณได้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ฝากถึงความคิดเห็นทีหนึ่งด้วย
กรุณาอ่านแล้วคิดตาม อย่าเอาคำพูดมาประมวลผล อ่านให้รู้ถึงความคิดของผู้เขียนก่อน แล้วจะรู้ว่า ที่คุณบอกว่า"พระพุทธเจ้าก็เป็นคนธรรมดาแต่วิเศษที่ท่านกระทำมามากจนรู้เจนจบทั้งจักรวาล ไม่ใหลไปตามสิ่งภายนอก
" นี่แหละที่ประมุขไทยเป็น
บุญยาธิการ คือ"กรรมดี"ที่มาจากใจประชาชนทั้งประเทศ ไม่ได้มาจากกรรมแต่ชาติปางก่อนที่เราไม่รู้จัก

แสงสลัว กล่าวว่า...

ไม่ควรยกเลิก แต่ควรปรับแก้ เรื่องจาก112ว่าด้วย การไม่กล่าวอาฆาตมาดร้าย องค์พระประมุข สมเด็จพระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
มันไม่ควรตรงที่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์รวมอยู่ด้วย เหตุเพราะจะเป็นเครื่องมือ สำหรับทำลายฝ่ายตรงข้ามของผู้ถือกฎหมาย เป็นภัยต่อประชาชน
เมืองไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ประเทศประชาธิปไตยสามมารถ วิจารณ์ พาดพิงหรือกล่าวถึงราชวงศ์ได้ แต่ต้องกล่าวโดยไม่หมิ่นประมาท ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่กล่าวหาโดยขาดความจริง
หากประเทศไทยยังอยู่ที่ว่า พูดถึงองค์รัชทายาท กล่าวถึงตัวแทนพระองค์ หรือพาดพิงถึงพระประมุข โดยคำพูดเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ล้มสถาบัน โดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองถึงคำพูดที่พาดพิงออกไป หากเป็นเช่นนี้ เมืองไทยจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ ที่มีตาเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นประชาธิปไตยที่จอมปลอม หรือท่านทั้งหลายคิดว่า ควรจะปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือไม่