วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีใหม่ 2554 ขอให้ค้นหาสิ่งดีดีในตัวคุณให้พบ You can shine.

A duck tries to fly.
And a deaf tries to play violin.
Close your eyes. You will see.

ผมชมโฆษณาชิ้นนี้ทีไร รู้สึกน้ำตาซึมทุกที วันนี้วันที่ 26 ธ.ค.2553 เหลือเวลาอีก 5 วันก็จะขึ้นปีใหม่แล้ว คือ ปีพุทธศักราช 2554  กว่า 50 ปีที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่าสิ่งที่ผมมุ่งหวัง  ยังไม่สำเร็จอีกหลายเรื่องเลยทีเดียว อาจเป็นเพราะผมยังหาพลังที่ซ่อนเร้นในตัวเองไม่พบ หรืออาจยังพยายามน้อยไปก็เป็นได้  "เด็กคนนี้ถึงแม้จะหูหนวกและเป็นใบ้ แต่ด้วยความมุุ่งมั่น มานะพยายาม เธอก็สามารถเล่นไวโอลินได้สำเร็จ ดั่งที่ใจเธอมุ่งหวัง" เธอสามารถค้นหาสิ่งดีดีๆ และพลังที่ซ่อนเร้นในตัวเธออกมา "She can shine."

เวลา..มันก็เดินของมัน..ไปข้างหน้าเสมอ ผ่านวัน.. ผ่านเดือน.. ผ่านปี...  แต่มันกลับทำให้เวลาในชีวิตของเรามันสั้นลง   มีเรื่องราวอีกกี่เรื่องที่เรายังทำไม่เสร็จ  และมีเรื่องราวอีกกี่เรื่องที่รอให้เราทำในปีหน้า...คิดแล้วบางที่มันก็รู้สึกเบื่อหน่าย...เพราะเรื่องราวบางเรื่อง แทบจะเป็นเรื่องราวที่ไร้สาระ..หาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย..

ลองนั่งทบทวนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชีวิตของเราได้สร้างเรื่องราวดีดีเอาไว้บ้างหรือปล่าว เรื่องราวอะไรที่มันทำให้เรารู้สึกชื่นชมและภูมิใจ กับที่ทำงาน? กับครอบครัว? กับเพื่อนฝูง? กับญาติมิตร? กับสังคม หรือแม้แต่กับประเทศชาติ?....หากใครยังคิดไม่ออกสักเรื่อง...ก็ลองตั้งสติกันใหม่ ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าในปีหน้าเราจะพยายามทำอะไรที่ดีดีให้ได้สักเรื่องหนึ่ง..ก็ยังดี....

คนเราไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรีทุกคน ทุกคนมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีในตนเอง แต่ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ดีดีอยู่ในตัวเองมากกว่าสิ่งที่ไม่ดี  จงกำจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไปเสีย และค้นหาสิ่งที่ดีในตัวเราให้พบ ค้นหาพลังที่ซ่อนเร้นในตัวเราให้พบ แล้วเผยสิ่งเหล่านั้นออกมา...และให้สิ่งที่ค้นพบนี้..นำพาเราไปสู่ความมุ่งหวังที่เราต้องการให้จงได้...."จงฝันให้ไกล และเดินไปให้ถึง"

"ก่อนปีใหม่นี้ จงพยายามค้นหาสิ่งดีดี ในตัวคุณให้พบ แล้วเผยมันออกมา "
You can shine.

สวัสดีปีใหม่ 2554
สุชาต  จันทรวงศ์

ขอขอบคุณ Thai Pantene television commercial
ที่มาโฆษณา : http://www.youtube.com/watch?v=Um9KsrH377A

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หากขาดคนปิดทองหลังพระจริงๆ แล้วจะทำอย่างไร


การทำงานด้วยใจรัก..ต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ
แม้จะไม่มีใครรู้ ใครเห็น..ก็ไม่น่าวิตก
เพราะผลสำเร็จนั้น..จะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง
ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ
การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด
ว่าที่จริงแล้ว..คนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก
เพราะเห็นว่าไม่มีใครเห็น
แต่ถ้าทุกคน...พากันปิดทองแต่ข้างหน้า
ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย
พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้

******************************

"หากไม่มีใครปิดทองหลังพระ พระจะงามทั้งองค์ได้อย่างไร" คำพูดนี้ ผมมักจะใช้ปลอบใจลูกศิษย์ลูกหา เพื่อนร่วมงาน และคนในครอบครัว อยู่เสมอในขณะที่พวกเขาท้อแท้ใจและชอบบ่นว่า "ทำดีแล้วไม่มีใครเห็น"  แต่แท้ที่จริงแล้ว ในหลวงของเรา พระองค์ได้ทรงสั่งสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2506 แล้ว ซึ่งปรากฏในพระบรมราโชวาทพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ตอนนั้นผมเพิ่งอายุได้ 2 ขวบเท่านั้นเอง

วันนี้ ในทัศนะส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่าคนที่ทำงานแบบปิดทองหลังองค์พระ นับวันจะเริ่มน้อยลง เพราะเห็นว่ามันไม่ค่อยเจริญ สู้พวกที่ปิดทองหน้าพระไม่ได้  ดังนั้นพวกนี้จึงกลายเป็นพวกที่ไม่ยอมปิดทองพระเลย อยู่นิ่งๆ ดีกว่า ไม่สั่งก็ไม่ทำ เพราะเกิดอาการท้อแท้ เสียขวัญ

เนื่องจากความเป็นสื่อมวลชน ผมจึงได้มีโอกาสสัมผัสเรื่องราวเบื้องหลังลึกๆ ของโครงการและกิจกรรมหลายอย่างที่หน่วยงานต่างๆ จัดทำขึ้น  ล้วนแล้วมักจะทำงานแบบสร้างภาพลักษณ์ที่สวยงามมากกว่าความมีคุณภาพ  เสมือนกับการปิดทองแต่หน้าพระ ใครพบใครเห็นก็รู้สึกสวยงามไว้ก่อน  แต่เบื้องหลังแล้วสุดแสนที่จะสับสน สั่งแต่ไม่มีคนทำ สั่งแต่ไม่มีใครร่วมมือ สั่งแต่ไม่มีใครประสานงาน สั่งแต่ไม่มีงบประมาณให้ งานสำเร็จแบบแกนๆ เอาในวินาทีสุดท้ายทุกที เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพราะคนที่เคยปิดทองหลังพระ เขาไม่ทำแล้วนั่นเอง

น่าแปลก ขณะที่เงินเดือนและงบประมาณต่างๆ มีมากขึ้น มันน่าจะดี  แต่ทำไมลูกน้องในหลายหน่วยงานจึงขวัญต่ำและยากจนลง ข้าราชการทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจ และครู ชิงลาออกก่อนเกษียณกันเป็นว่าเล่น จนต้องระงับเอาไว้ เหตุเพราะเขาเหล่านั้นคงเกิดอาการเบื่อหน่าย แต่ถามว่าเบื่อหน่ายเรื่องอะไรบ้าง เช่น
  • ครู ลาออกเพราะเบื่อผู้อำนวยการ 
  • ครู ลาออกเพราะเบื่อการประเมินคุณภาพ ต้องจัดทำเอกสารหลักฐานวุ่นวายมากมายไปหมด
  • ข้าราชการลาออก เพราะไม่ได้รับความยุติธรรมจากเจ้านาย เจ้านายไร้ธรรมาภิบาลในการปกครอง บริหารงานแบบสมบัติผลัดกันชม มีแต่พวกกู พวกมึง แต่ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชา
  • ข้าราชการลาออก เพราะมองไม่เห็นความเจริญในตำแหน่งหน้าที่การงานของตน
  • ฯลฯ
ในสมัยก่อน คนเหล่านี้ อุตส่าห์สมัครสอบแข่งขันกับคนหลายร้อยพันคน เพื่อเข้ามาเป็นข้าราชการ แต่ตอนนี้กลับชิงลาออกก่อนเกษียณ...จึงต้องหันมาตั้งคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น....เราเข้าใจในเรื่อง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ อย่างแท้จริงหรือไม่...ทั้งๆ ที่มีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด 

สังคมวันนี้ มีพวก Wallpaper เสนอหน้าถ่ายรูปทุกงานอยู่มากมาย แต่คนที่ทำงานเก่ง ชอบที่จะอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ชอบที่จะปิดทองหลังพระ คนเหล่านี้กำลังจะหมดไป ...เพราะคนเหล่านี้เริ่มท้อแท้ สิ้นหวัง ขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน...เหมือนไฟที่กำลังจะมอดลง เพราะไม่มีเชื้อไฟ...

วันหนึ่ง หากขาดคนปิดทองหลังพระจริงๆ  เราก็คงต้องกลับพระเสีย เพื่อให้ข้างหลังกลายเป็นข้างหน้า และให้ข้างหน้ากลายเป็นข้างหลัง
แล้วเราจะทำเช่นนั้นได้หรือ?

จุฑาคเชน  : 22 ธ.ค.2553

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 22 ฉบับที่ 380 ประจำเดือนมกราคม พุทธศักราช 2554 หน้า 3