วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Slow life & Less is more

ในโอกาสที่อีกไม่กี่วันจะถึงวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2559 ผมอยากจะเขียนบทความสักเรื่องหนึ่งไว้เป็นข้อคิดสำหรับการดำเนินชีวิตในปีหน้า แต่ยังไม่รู้จะเขียนอะไรดี เผอิญเมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้ไปพบแนวคิดของการออกแบบคอนโดมิเดียมแห่งหนึ่งย่านปู่เจ้าสมิงพราย สมุทรปราการ เขาใช้แนวคิดการออกแบบที่ว่า "Slow life" และ "Less is More"

Slow life หมายถึง การปรับสมดุลชีวิตให้ช้า และเรียบง่ายขึ้น 
ส่วน Less is More หมายถึง น้อยแต่มากด้วยประโยชน์
เห็นท่าจะจริงนะครับ ชีวิตเราในปัจจุบันนี้ รู้สึกว่าทุกอย่างรวดเร็วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางขึ้นรถลงเรือไปไหนมาไหน มีความสะดวกรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านทาง Facebook, LINE และโซเซียลมีเดียอื่นๆ ทำได้อย่างทันทีทันใด  แอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ที่อำนวยความสะดวกให้พวกเรามากมาย ทั้ง ดูหนัง ฟังเพลง จ่ายเงินค่าน้ำ ค่าไฟ จองตั๋วเดินทาง โอนเงิน โอนทอง  หลายคนเวลานี้มักก้มหน้าอยู่กับวัตถุสี่เหลี่ยมผืนผ้าสารพัดนึกของตัวเองมากกว่าจะเงยหน้ามาพูดคุยกัน 


ที่มาของภาพ
http://slowlifes.blogspot.com/2009/12/slow-life-japan-style.html
ชีวิตดูเหมือนดีนะ แต่เมื่อทุกอย่างมันรวดเร็วทันใจ นึกอยากได้อะไร ก็ได้ทันที ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงอาจทำให้ทุกคนจึงรู้สึกใจร้อนขึ้น แทบไม่รู้จักการอดทนและรอคอย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ปัจุบันเรามักพบเจอคดีทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำร้ายร่างกายกัน ฆ่ากัน ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องแปลกๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง  

ผมลองสืบค้นข้อมูลจากโลกออนไลน์ต่างๆ เรื่องการใช้ชีวิตแบบ Slow life นี้ มีข้อมูลเยอะมาก ลองหาอ่านดูเอานะครับ วิธีการทำชีวิตให้เป็นแบบ Slow Life ที่ผมค้นพบจาก http://health.kapook.com น่าสนใจครับ มีดังนี้
  1. จัดลำดับความสำคัญ เลือกทำสิ่งสำคัญที่สุดก่อน
  2. อยู่กับปัจจุบัน มีสติกับสิ่งที่เป็นอยู่
  3. เลิกจ้องจอบ้าง งดออนไลน์ให้ใจได้พัก
  4. ใส่ใจคนรอบข้าง ให้เวลากับพวกเขามากขึ้น
  5. ซึมซับธรรมชาติ ไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ้าง
  6. กินให้ช้าลง ละเอียดความอร่อยจากอาหาร
  7. ขับรถให้ช้าลง มีน้ำใจ บนท้องถนน
  8. ปรับมุมมอง มองหาสิ่งที่สวยงามแทนสิ่งแย่ๆ
  9. ทำทีละอย่าง ค่อยเป็นค่อยไป ทำบ้าง พักบ้าง
  10. หายใจลึกๆ อยู่นิ่งๆ หายใจ เข้า-ออกช้าๆ บ้าง
ทั้ง 10 ข้อนี้ ผมจะลองนำไปใช้ดูบ้าง ไม่รู้จะทำได้สักกี่ข้อ

Less is More
คำว่า Less is More นี้ก็น่าสนใจครับ เมื่อคืนนี้ เชื่อไหมว่า ที่ห้องพักผมถูกตัดไฟ (เพราะไม่ได้ไปจ่ายค่าไฟ) จึงไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ผมก็อยู่ได้ด้วยแสงเทียน แค่ไม่มีพัดลมให้ใช้ และทีวีให้ดู เท่านั้นเอง ชีวิตก็อยู่ได้ 

ผมลองเหลียวมองสิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ดูทำไมมันมีเยอะแยะมากมาย ตอนอยากได้ก็ซื้อ แต่พอเอาจริงเข้า เรามักจะใช้ของที่จำเป็นจริงๆ เพียงไม่กี่ชิ้น ที่เหลือถูกเก็บเอาไว้ ไม่ได้ใช้ บางทีก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าเราเคยมี นี่กระมังเป็นสาเหตุหนึ่งที่บ้านของเรามีข้าวของรกรุงรังเต็มไปหมด ทั้งที่บางอย่างไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย สู้มีของน้อยๆ แต่มากด้วยประโยชน์ดีกว่า




ในปีใหม่ พ.ศ.2559 ที่จะถึงนี้ ลองนำแนวคิดการใช้ชีวิตแบบ  Slow life & Less is More ไปใช้ดูนะครับ มันอาจจะทำให้เรามีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้  ลองดูครับ! 

**************************
ชาติชาย คเชนชล : 29 ธ.ค.2558  

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปลดระวางกลุ่ม Baby Boomer ออกจากการบริหารประเทศไทย

เมื่อวานตอนเย็น (17 ก.ค.2558)  ขณะขับรถกลับบ้าน ผมเปิดวิทยุฟังคลื่น FM 101.00 Mhz  ไม่ทราบชื่อรายการอะไร มีอาจารย์ท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ในรายการว่า "วันนี้ วิธีคิดของคนบนโลกนี้เปลี่ยนไป เพราะมีเสรีภาพทางการคิด หรือที่เรียกว่าคิดนอกกรอบ  สภาพสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามวิธีคิดใหม่ๆ ดังนั้น หากประเทศไทยและคนไทยปรับตัวไม่ทัน และยังมีวิธีคิดแบบเดิมๆ อาจจะเกิดความเสียหายได้"   


ที่มาของภาพ : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372060771


หลังจากที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2557 โดยเน้นย้ำ Road map ที่ตนเองร่างขึ้นโดยมีแม่น้ำ 5 สายและกองทัพ เป็นเครื่องมือในการปฏิรูปประเทศไทย แต่ดูเหมือนแม่น้ำทั้ง 5 สาย ดูจะกลายเป็นน้ำวน ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ไม่ได้สักที จมปรักอยู่แต่ในเรื่องเดิมๆ เก่าๆ ให้ความสำคัญแต่เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่คาดหวังว่าจะเป็นคัมภีร์นำทางให้ประเทศไทยเดินทางไปสู่ความศิวิไลซ์ จนลืมที่จะแก้ปัญหาสำคัญด้านอื่นๆ ที่ควรจะเร่งปฏิรูปอีกมากมาย ซึ่งปัญหาบางอย่างแทบไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย  

ผมว่านี่แหละครับคือ วิธีคิดแบบเดิมๆ ที่อาจารย์ท่านนั้นกล่าวเอาไว้  คนรุ่นนี้ยังไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิด ประเทศไทยจึงเดินหน้าไปไหนไม่ได้สักที ย่ำเท้าอยู่ที่เดิมมานานกว่าแปดสิบปีที่เรียกว่าประชาธิปไตย วนเวียนอยู่กับการยึดอำนาจ การปฏิวัติ การรัฐประหาร การฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนประเทศไทยบอบช้ำ กลุ่มการเมือง กลุ่มการทหาร ต่างผลัดกันขึ้นชื่นชม เสวยอำนาจ แต่ไม่เคยเห็นจะแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนสักคณะฯ  

ประเทศไทยก็ยังประสบกับปัญหาเดิมๆ การทุจริตคอรัปชั่นในเกือบทุกวงการ น้ำก็ยังท่วม ภัยก็ยังแล้ง ฝนก็ไม่ยอมตก น้ำไม่มีในเขื่อน ชาวนาต้องหยุดทำนา ประชาชนหันมาแย่งน้ำเพื่อกินเพื่อใช้ ราษฎรบุกรุกป่าสงวน พืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง น้ำมันขึ้นราคา ค่าไฟ้ฟาก็ขึ้น  ประชาชนจมปรักอยู่กับการแทงหวย การปฏิรูปการศึกษา(ที่ไม่มีวันเสร็จ) ครูขาดแคลน การประมงก็เถื่อน การบินก็ไม่ได้มาตรฐาน ต้องกู้เงินต่างชาติมาใช้จ่ายรายปี ชวนแต่ชาวต่างชาติมาลงทุน ไม่เคยส่งเสริมให้คนไทยลงทุน สุรุ่ยสุรายด้วยนโยบายประชานิยม ทั้งรถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีก็ต้องซื้อเขามาใช้ ไม่เคยผลิตได้เอง วัฒนธรรมของชาติเริ่มถูกกลืน เด็กๆ ไทยจะกลายเป็นเด็กญี่ปุ่นเกาหลีไปหมดแล้ว (ฯลฯ)   

ที่ประเทศไทยเป็นเช่นนี้ ล้วนเกิดจากฝีมือการบริหารบ้านเมืองของคนรุ่น Baby Boomer ในประเทศไทยทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่า ประเทศไทยไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย ย่ำเท้าอยู่กับที่ แก้ปัญหาไปวันๆ  ประเทศไทยหากไม่ได้รับการเยียวยาโดยเร็วแล้ว อาจจะทรุดหนัก และถึงตายไปในที่สุด  

Generation : กลุ่ม Baby Boomer คือใคร
นักประชากรศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้แบ่งกลุ่มประชากรรุ่นต่างๆ ออกเป็น 4 กลุ่ม  โดยใช้สัญลักษณ์ที่โดดเด่นในประสบการณ์ของแต่ละช่วงเวลา โดยเริ่มนับจากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา คือ
  1. Baby  Boomer คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2486-2507 ปัจจุบันคือพวกที่มีอายุประมาณ  51-72 ปี  เป็นคนยุคที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง หลังจากที่มีผู้เสียชีวิตระหว่างสงครามไปเป็นจำนวนมาก
  2. Generation X   คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2508-2524 ปัจจุบันคือพวกที่มีอายุประมาณ  34-50 ปี  เป็นกลุ่มคนยุคที่มหาอำนาจของโลกคือ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต กำลังขับเคี่ยวกัน หรือที่เรียกว่ายุคสงครามเย็น 
  3. Generation Y  คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2525-2543 ปัจจุบันคือพวกที่มีอายุประมาณ  15-33 ปี  คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกของกลุ่ม Baby Boomer เป็นรุ่นที่มีการเติบโตทางเทคโนโลยี และมีการใช้ Personal Computer กันอย่างแพร่หลาย
  4. Generation Z  คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2544-ปัจจุบัน คือพวกที่มีอายุประมาณ  1-14 ปี  เป็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ มีอัตราการเกิดลดลง ส่วนใหญ่เป็นลูกของกลุ่ม Generation X
หาก Baby Boomer เก่ง ประเทศก็พัฒนา
หากนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ถือว่าแต่ละประเทศเริ่มต้นใหม่เหมือนกันหมด กลุ่ม Baby  Boomer คือ กลุ่มที่เป็นผู้บริหารประเทศในปัจจุบัน รวมทั้งประเทศไทยด้วย  

หากคนกลุ่มนี้ฯ เก่ง ก็จะนำพาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า  
ดังเช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น 

หากคนกลุ่มนี้ฯ ไม่เก่ง ประเทศชาติก็จะเดินย้ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร 
ดังเช่น ประเทศไทย เมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชา และลาว เป็นต้น


ที่มาของภาพ
http://www.franchiseperformancegroup.com/lead-generation-mistake-1/

ปลดระวาง กลุ่ม ฺBaby Boomer ผลักดันกลุ่ม Generation X ขึ้นมาบริหารแทน 
การพัฒนาของประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย แตกต่างกับประเทศไทยโดยสิ้นเชิง จึงพอเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า กลุ่มผู้บริหารประเทศไทยในปัจจุบันและที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นคนกลุ่ม Baby Boomer ไม่เก่งและมีฝีมือพอที่จะนำพาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าได้ หากยังปล่อยหรือพยายามผลักดันให้มีการต่ออายุคนกลุ่มนี้ ให้มาบริหารบ้านเมืองอีก ประเทศไทยก็คงจะไม่ไปรอด

ดังนั้นจึงเห็นสมควรที่จะสนับสนุนและผลักดันกลุ่มคนไทยที่ เป็นกลุ่ม Generation X  คือพวกที่มีอายุประมาณ  34-50 ปี ขึ้นมาบริหารบ้านเมืองแทน เพราะกลุ่มคนพวกนี้จะมีวิธีการคิดใหม่ หลุดออกจากกรอบและความเชื่อเดิมๆ ไม่เหมือนกลุ่ม Baby Boomer ที่ยังคิดว่าตัวเองถูกเสมอ ยึดติดแต่กรอบความคิดเก่าๆ  

และผมยังมีความเชื่อมั่นว่า กลุ่ม Generation X   จะบริหารบ้านเมืองได้ดี นำพาไปประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ามากกว่ากลุ่ม Baby Boomer เพราะเขาจะต้องบริหารบ้านเมืองเพื่อกลุ่ม Generation Z  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกของพวกเขานั่นเอง


ที่มาของภาพ
http://futureaa.com.au/generation-x-gets-busy-self-managed-superannuation-smsf/


**************************************
จุฑาคเชน : 18 ก.ค.2558

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ครูเปรียบเสมือน "ปากกา" และ "ยางลบ"


ไม่ได้เขียนบทความในบล็อกนี้มานานมาก  วันนี้พอจะปลีกเวลาจากงาน (บางอย่างที่ไร้สาระ) มาได้บ้าง ตั้งใจนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เขียนบทความสักเรื่องเกี่ยวกับ "ครู"  เพราะใกล้จะถึงวันครูแล้ว คือ วันที่ 16 ม.ค.2558 ที่จะถึงนี้ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี   


ผมนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่ง ซึ่งเป็นความเชื่อที่แตกต่างกัน บางคนเชื่อว่า   
"เด็กที่เกิดมาเปรียบเสมือนผ้าขาว หากเราใช้ปากกาขีดเขียนอะไรลงไปบนผ้านั้น เด็กก็จะเป็นคนเช่นนั้น"

แต่บางคนก็เชื่อว่า 
"เด็กที่เกิดมาเปรียบเสมือนผ้าดำต่างหาก เกิดมามีกิเลส ตัณหา เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั่วไป เราจะต้องหายางลบ มาลบความดำมืดให้ออกจากตัวเขา ขัดเกลาให้เขาเป็นคนดี เปรียบเสมือนเปลี่ยนจากผ้าดำให้เป็นผ้าขาวบริสุทธิ์"  

ในทัศนะส่วนตัวแล้ว ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไร ล้วนมีความมุ่งหวังให้เด็กเป็นคนดีด้วยกันทั้งสิ้น

ปากกาที่ใช้เขียนลงไปในผ้าขาว
เด็กๆ ยุคเศรษฐกิจดิจิตอลนี้ มีปากกาจำนวนมากมายหลายแท่ง ที่ช่วยกันทิ่มแทงและเขียนลงไปบนตัวเด็ก ข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมายมหาศาล ที่เด็กๆ ได้รับและได้สัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ ทีวี อินเตอร์เน็ต วิทยุออนไลน์ คลิบวิดีโอ คลิบเพลง เกมส์ แอปพลิเคชั่นต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข่าวสารทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นต้น ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงที่เด็กๆ ได้รับ อาจทำให้เขาไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่า "อะไรดี หรืออะไรไม่ดี" 

ยางลบที่คอยลบผ้าดำ
ตรงกันข้ามกับยางลบ ที่จะคอยลบสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวเด็ก ซึ่งกลไกที่เป็นยางลบในสังคมไทยปัจจุบันนี้ ก็มีอยู่จำนวนน้อยมาก สิ่งหนึ่งที่คาดหวังก็คือ "พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า" ที่จะคอยช่วยลบและชำระสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวและจิตใจของเด็ก  แต่ดูเหมือนกลไกนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จ  เด็กเบื่อวัด  เด็กเบื่อการสวดมนต์  เด็กเบื่อการใส่บาตร  เด็กเบื่อการนั่งสมาธิ เด็กเบื่อการฟังเทศน์ ฟังธรรม เด็กเบื่อการเรียนวิชาศีลธรรม ฯลฯ กลไกที่สังคมคาดหวังที่จะเป็นยางลบชั้นดีอีกกลไกหนึ่ง ก็คือ "การอบรมสั่งสอนของครู"

ครู...จึงควรเป็นปากกาและยางลบไปพร้อมๆ กัน
เด็กๆ เริ่มเข้าเรียนนับตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี นับเป็นเวลาโดยเฉลี่ยแล้ว เกือบ 20 ปีที่ต้องอยู่ในสถานศึกษา วันละ 6-8 ชั่วโมง (เว้นเสาร์-อาทิตย์ และปิดเทอม) เด็กๆทุกคนได้สัมผัสกับ  "ครู" คนแล้วคนเล่าที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนในแต่ละชั้นปี  ครูจึงเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะคอยใช้ปากกาเขียนสิ่งที่ดีดีอะไรก็ได้ลงไปในตัวเด็ก และใช้ยางลบ คอยลบสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากตัวเด็กเช่นกัน หน้าที่ที่เป็นทั้งปากกาและยางลบนี้ ครูจึงต้องทำไปพร้อมๆ กัน ครูไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอน แต่ครูต้องทำหน้าที่อบรมบ่มนิสัยด้วย "การอบรมบ่มนิสัย" นี้เอง คือ "ยางลบชั้นดี"    

ครูเปรียบเสมือน "ปากกา" ที่คอยเขียนสิ่งดีๆ ลงในตัวเด็ก
และในคราวเดียวกัน ครูก็จะเป็น "ยางลบ" คอยลบสิ่งที่ไม่ดีออกจากตัวเด็กไปพร้อมๆ กัน 

ชะตากรรมของประเทศอยู่ในมือครู
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กล่าว่า 
"ไม่มีอาชีพไหนเลยที่จะวิเศษ และยิ่งใหญ่เท่าอาชีพครู
และไม่มีอาชีพไหนเลยที่จะกำหนดชะตากรรมของประเทศ เหมือนที่ครูทำได้..
ไม่มีอาชีพไหนที่จะช่วยให้อนาคตของโลก เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
นอกจากอาชีพ "ครู"


        
ดร.อาจองฯ ท่านกล่าวถูก ครูมีความสำคัญต่อในอนาคตของชาติมาก เพราะครูอยู่กับเด็กๆ ถึง 20 ปี ซึ่งถือว่า "ครูเป็นอาชีพที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและทัศนคติของตัวเด็กมาก"  ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะหันกลับมาให้ความสำคัญต่อวิชาชีพครูมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ครูต้องมีเกียรติและศักดิ์ศรีได้รับการยอมรับจากสังคม ครูจะต้องได้รับการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา มีรายได้พอสมควรแก่ฐานะวิชาชีพ มีขวัญและกำลังใจที่ดี มีโอกาสมองเห็นความก้าวหน้าในวิชาชีพของตนเอง และมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพครู 


อย่าปล่อยให้ครูต้องไปทำงานจิปาถะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนเด็ก  เช่น  งานธุรการ งานบัญชี งานจัดซื้อจัดจ้าง งานร่วมพิธีกรรมที่ไม่จำเป็น งานต้อนรับ ชงกาแฟ  ครูบางโรงเรียนถึงขั้นต้องถูห้อง ถูระเบียง ตัดหญ้า ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้เอง เพราะไม่มีภารโรง และบ่อยครั้ง ที่ครูหลายคนต้องทิ้งเด็ก ทิ้งการสอนไปประชุมเรื่องการประเมินมาตรฐาน  การประกันคุณภาพ แล้วยังต้องกลับมาจัดทำเอกสารเพื่อโกหก อีกจำนวนมากมายจนหน้าเบื่อ  


นอกจากนั้น ครูสมัยนี้ยังต้องวุ่นวายอยู่กับการหาข้อสอบมาติวสอบ O-net , A-net เพื่อยกระดับตัวเลข ตัวสถิติ หรือตัวชี้วัดต่างๆ ตามที่ผู้บริหารตามลำดับชั้นต้องการ ครูบางคนแทบไม่ได้มีเวลาอยู่กับเด็กเลย  ยิ่งโรงเรียนขนาดเล็กๆ ที่มีครูอยู่ 4-5 คน แต่กลับมีปริมาณงานเท่ากับโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีครูเป็น 100 คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ครูทำงานแบบ "ตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อต" เลย เห็นแล้วน่าสงสารครู และเป็นห่วงเด็กๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ


ในโอกาสใกล้จะถึงวันครูประจำปี พ.ศ.2558 นี้ ผมขอเป็นกำลังใจแด่คุณครูทุกท่าน  ได้ยึดมั่นตามแนวทางที่ในหลวงฯ ได้พระราชทานไว้ใน  ส.ค.ส.2558  ที่ว่า "ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์" เพื่อท่านทุกคนจะได้เป็นครูที่ดีของแผ่นดิน ครูที่ดีของศิษย์ และครูที่ดีของสังคม สืบไป




****************************
ชาติชาย คเชนชล : 7 ม.ค.2558