วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ถั่วกรอบแก้วที่พ่อทำ

เมื่อเย็นวันที่ 29 ธ.ค.2555 ผมและครอบครัวไปนั่งรับประทานส้มตำ หมูคลุกฝุ่น ไก่ย่างเกลือ และอาหารอิสานอีกหลายอย่าง ที่บริเวณตลาดเมืองทองซึ่งเป็นตลาดโต้รุ่งแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี คล้ายๆ กับสนามหญ้า เย็นวันนั้นผู้คนเยอะมาก คงเป็นเพราะใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายคนก็กลับมาเยี่ยมบ้าน หลายคนก็มาเยี่ยมญาติ หลายคนก็มาเที่ยวบ้านเพื่อนๆ ทะเบียนรถมาทั้งจากกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ เต็มไปหมด 

ระหว่างรับประทานอาหารอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปีกว่าๆ เดินกระย่องกระแย่งคล้ายคนสุขภาพไม่ค่อยดี แต่งตัวมอซอ มือซ้ายหิ้วตระกร้าสีเขียวใบไม่ใหญ่มากนัก ในตระกร้าเป็นถั่วกรอบแก้วบรรจุถุงเล็กๆ อยู่สักประมาณ 20 ถุง ส่วนมือขวาก็จูงลูกชายวัยกำลังซนเดินเตาะแตะตามมาด้วย เดินเร่ขายตามโต๊ะอาหาร เดินมาหลายโต๊ะแล้ว มีแต่คนโบกมือว่าไม่เอา พอมาถึงโต๊ะผม ก็เสนอขายถั่วกรอบแก้ว ถุงละ 10 บาท ผมมองหน้าลูกสาวด้วยเหมือนจะเข้าใจตรงกันว่าสงสารเขา เราน่าจะทำบญและให้ทาน ผมควักเงินซื้อถั่วจำนวน 2 ถุง รวม 20 บาท ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้อยากกินถั่วกรอบแก้ว 2 ถุงนั้นเลย ผมได้พูดคุยกับชายคนนั้นเล็กน้อยได้ความว่า ภรรยาเพิ่งเสียชีวิตไป ส่วนลูกก็ยังไม่ถึงวัยเข้าเรียน 

"ผมทำถั่วกรอบแก้วเองครับ วันละประมาณ 100 ถุง แต่ก่อนผมเดินขายคนเดียว ผมขายไม่ค่อยได้ ถั่วเหลือทุกวัน พอผมพาไอ้ตัวเล็กมาเดินขายด้วย ผมจึงพอขายได้ ผมรู้ว่าที่ผมขายได้ ไม่ใช่เพราะถั่วของผมอร่อย เพราะเขารู้สึกสงสารลูกชายของผมต่างหาก" 

ผมก็นึกในใจเช่นกัน ที่ผมซื้อก็เพราะ "ผมไม่ได้อยากกินถั่วกรอบแก้วในตระกร้าสีเขียวใบนั้นเลย แต่ผมซื้อเพราะความสงสารเด็ก" 

ตามตลาดโต้รุ่งในที่ต่างๆ ทุกคนคงเคยเห็นภาพเรื่องราวเหล่านี้บ่อยๆ บ้างก็อุ้มทารกตัวเล็กๆ ยังไม่อดนม มาขอทานบ้าง มาขายของบ้าง บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นคนแก่ มาคนเดียวบ้าง มาหลายคนบ้าง ขายถั่วต้ม ขายผลไม้ ขายดอกไม้ ขายเครื่องจักสาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นดาษดื่นอยู่ในสังคมไทยจนเป็นปกติ จนทำให้หลายคนที่มานั่งรับประทานอาหารเกิดความเบื่อหน่าย และคิดว่าพวกเหล่านี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ทำกันเป็นแก๊งค์ เป็นขบวนการ ไม่น่าสงสารจริงๆ อย่างที่เห็น 

ลูกสาวถามผมว่า "คืนถั่วให้ชายคนนั้นเพื่อให้เขานำไปขายต่อ จะดีไหม" 
ผมตอบว่า "ไม่ควรทำ เพราะหากทำเช่นนั้น มันจะเป็นการดูถูกเขา เขาทำมาหากินด้วยการขายถั่วกรอบแก้วเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเขาด้วยน้ำพักน้ำแรงและน้ำมือ และด้วยศักดิ์ศรีของตัวเขาเอง หากเราทำเช่นนั้น เขาอาจจะคิดว่า เราดูถูกว่าเขาเป็นขอทาน ไม่รู้จักทำมาหากินเพื่อเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น เราจึงต้องซื้อถั่วกรอบแก้วจากเขา (ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากกินก็ตาม) และต้องไม่คืนถั่วทั้ง 2 ถุงที่เราซื้อให้เขา...คนเราถ้าขยันจะไม่อดตาย แต่อาจจะมีมากหรือน้อยไปบ้างตามสติปัญญาก็ไม่เป็นไร ถ้าทุกคนรู้จักความพอดีและพอเพียง" 

ผมไม่ได้คิดอะไรมากมายกับคำบอกเล่าของชายขายถั่วผู้นั้นว่า "เขาจะโกหกผมหรือไม่" แต่ผมก็รู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้ซื้อถั่วกรอบแก้ว 2 ถุงนั้น เพราะมันทำให้ผมมีความรู้สึกที่ดีดีในการช่วยเหลือและแบ่งปัน อาหารมื้อเย็นวันนั้น ผมและครอบครัวรับประทานกันกว่า 700 บาท กับเงินแค่ 20 บาท คงไม่ทำให้เราเดือดร้อนอะไรมากนัก เหมือนกับเวลาที่เรารู้สึกอยากใส่บาตรพระ แต่พอเรารู้ว่าพระองค์นี้ประพถติไม่ดี เราเลยไม่ใส่บาตร อย่างนี้ผมว่าไม่ใช่วิธีคิดที่ถูก 

ผมแอบขอตัวออกจากโต๊ะอาหาร เพื่อไปติดตามดูชายขายถั่วผู้นี้ ที่ยังคงจูงมือลูกชายตัวเล็กเดินเร่ขายไปตามโต๊ะต่างๆ ในตลาดเมืองทอง โดยสังเกตอยู่ห่างๆ เขาเดินขายไปตามร้านข้าวต้ม ร้านบะหมี่เกี้ยว ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวผัดปู ร้านหอยทอดผัดไทย ร้านขนมหวาน ร้านน้ำปั่นไอศครีม ฯลฯ ผมนับแบบคร่าวๆ มีมากกว่า 100 โต๊ะ ผมก็ลุ้นอยู่ว่าเขาจะขายหมดหรือไม่ ปรากฎว่ามีคนซื้อเขาเพียง 5 โต๊ะ นอกนั้น ส่วนใหญ่ก็โบกไม้โบกมือว่าไม่ซื้อ บางโต๊ะนอกจากไม่ซื้อ ยังกล่าวว่าดูถูกเขาเสียอีกว่ารำคาญคนพวกนี้ ส่วนเจ้าลูกชายตัวเล็ก พอเจออะไรแปลกๆ อยากจะกิน ก็สลัดมือหลุดจากพ่อ วิ่งไปจ้องดูที่หน้าร้าน โดยเฉพาะหน้าร้านน้ำปั่นและไอศครีม จนพ่อต้องไปเดินจูงมือกลับมา เพื่อจะเดินขายต่อไป 

เขาเลิกขายแล้ว เวลาประมาณเกือบ 3 ทุ่ม เขาเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซต์คันเก่าๆ เอาเจ้าตัวเล็กนั่งหน้ารถ หิ้วตระกร้าสีเขียวใบเดิมที่ยังคงเหลือถั่วกรอบแก้วอีก 5 ถุง ผมเดินเข้าไปทักทาย เขาจำผมได้ เขาบอกว่า "พี่..เหมาเลยครับ ผมขายให้พี่หมดเลย 5 ถุง 30 บาท ผมจะได้พาไอ้ตัวเล็กกลับบ้านเสียที" 

ผมตอบเขาไปว่า
"ไปขายต่อเถิด ตลาดข้างหน้า..คงมีคนใจดีอยู่บ้าง" 

*************** 
จุฑาคเชน : 30 ธ.ค.2555

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความหมายของตัวเลข

ระหว่างเดินทางไปต่างจังหวัด ผมแวะเข้าพักรถในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง มีศาลาเล็กๆ เป็นสถานที่จำหน่ายหวยรัฐบาลราคาถูก ทั้งปลีกและส่ง มีป้ายเขียนเกี่ยวกับความหมายของตัวเลขต่างๆ เขาบอกว่าหากมีไว้ที่บ้าน ที่ร้าน จะเป็นการเสริมมงคล  เลยเก็บมาฝาก ลองอ่านความหมายของตัวเลขแต่ละตัวเอาเองนะครับ

0  =  จุดเด่นที่ทุกคนคิดถึง
1  =  เป็นหนึ่งเดียวในทุกเรื่อง งาน เงิน ความรัก
2  =  ทำอะไรราบรื่น ง่ายดาย ความรักราบรื่น
3  =  ไตรสาม คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์/ ฮก-ลก-ซิ่ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
4  =  เลขของจักพรรดิ์จิ๋นซี แสดงถึงความรักความจริงใจของเพื่อน
5  =  ค้าขายรุ่งเรือง (เจริญๆ)
6  = ทิศทั้ง 6 สะท้อนแต่สิ่งดีๆ
7  = ดีทั้ง 7 วัน หมายถึงกำลังใจต้องอดทนต่อสู้อย่าท้อแท้
8  = โป๊ยเซียน เทพเจ้าทั้งแปดแห่งความเป็นศิริมงคล มั่งคั่ง รวยไม่มีที่สิ้นสุด  เฮงๆ
9  =  ก้าวหน้ารุ่งเรื่อง  เดินทางสู่จุดหมายประสบความสำเร็จ

มีไว้ที่บ้าน,  ร้าน เสริมมงคล


เขาเขียนเอาไว้แค่นี้แหละครับ แต่ไม่อธิบายต่อว่า การมีไว้ที่บ้าน ที่ร้านนั้น วิธีการที่มีจะต้องทำอย่างไร เลขทั้ง 10 ตัว จะติดไว้ตรงไหน เขียนติดเลยหรือปล่าว หรือต้องไปซื้อของมงคลมาตามจำนวนตัวเลข  ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ  ศาลาขายหวยวันนั้นก็ปิดอยู่ ไม่มีเจ้าของ ผมก็เลยไม่รู้จะถามใครดี ใครรู้ช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังด้วยก็จะดีครับ



*********************
จุฑาคเชน : 28 ธ.ค.2555      

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมบัติของผู้ดี

หนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่อง "สมบัติของผู้ดี"  กระทรวงศึกษาธิการได้มอบ ม.ล. ป้อง มาลากุล จัดทำคำอธิบายเพิ่มเติมจากหนังสือสมบัติของผู้ดีของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา และมอบให้นายสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้ตรวจทาน กรมวิชาการจัดพิมพ์จำหน่ายใช้ประกอบการ เรียนการสอนตามหลักสูตรประโยคประถมศึกษา พุทธศักราช 2503 มาตั้ง แต่ปีพุทธศักราช 2504 


















หนังสือเรื่องสมบัติผู้ดีนี้ เขาบอกว่า "เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา" ผมได้คัดลอกสมบัติของผู้ดีบางภาคบางข้อ มาเขียนไว้  ตั้งใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยได้อ่าน ...แต่เธอคงไม่เข้าใจแน่ๆ เลยครับ  เพราะเธอไม่ใช่เด็กประถมศึกษา......

สมบัติของผู้ดี  ภาค 1  ผู้ดี ย่อมรักษาความเรียบร้อย
  • กายจริยา 
    • ข้อ 3 ผู้ดีย่อมไม่ล่วงเกินถูกต้องผู้อื่นซึ่งไม่ใช่หยอกกันฐานเพื่อน หมายความว่า การที่จะถูกต้องตัวผู้อื่นนั้น ต้องระมัดระวังถ้าเป็นผู้ใหญ่กว่า หรือคนที่ไม่ได้คุ้นเคยอย่างเพื่อนกัน
    • ข้อ 4 ผู้ดีย่อมไม่เสียดสีกระทบกระทั่งกายบุคคล หมายความว่า ตามปรกติร่างกายผู้อื่นนั้นไม่ควรถูกต้อง หากมีความจำเป็นจะต้องเสียดสีกระทบกระทั่ง เช่น ในยวดยานพาหนะ ต้องขอประทานโทษก่อนจึงเสียดสีไปได้เป็นต้น
  • มโนจริยา
    • ข้อ 1 ผู้ดีย่อมไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านกำเริบหยิ่งโยโส หมายความว่า ต้องทำใจให้ติดอยู่ในการงานที่กำลังทำอยู่ มุ่งทำงานให้สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ทำรวนเรจับจด คิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ เห็นดีเห็นชอบเพียงชั่วขณะ หรือเมื่อได้ทำงานอะไรทำสำเร็จแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ทำหยิ่งยโสนึกว่าไม่มีใครสู้ได้ ต้องสะกดอกสะกดใจ มุ่งทำงานที่กำลังทำอยู่นั้นให้สำเร็จเป็นเรื่อง ๆ ไป
สมบัติผู้ดีภาค 4  ผู้ดีย่อมมีกริยาเป็นที่รัก
  • กายจริยา
    • ข้อ 13  ผู้ดีย่อมไม่จ้องดูบุคคลโดยเพ่งพิศเหลือเกิน หมายความว่า เมื่อพบปะบุคคลใด ๆ ก็ตาม ไม่ควรจ้องดูบุคคลนั้นจนผิดปรกติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกจ้องดูนั้นเห็นเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ได้ แม้จำเป็นต้องดู ก็เพียงเพื่อกำหนดหมายจำหน้าจำหน้าจำตากันไว้เท่านั้น
สมบัติผู้ดีภาค 10  ผู้ดีย่อมไไม้ประพฤติชั่ว
  • มโนจริยา
    • ข้อ 3 ผู้ดีย่อมมีความเหนี่ยวรั้งใจตนเอง  หมายความว่า ตามปรกตินั้นใจของคนมีกิเลส ย่อมแส่หาอารมณ์และส่ายไปตามอารมณ์ต่างๆ คือ ความรัก ความชัง ความหลง และสิ่งทั้งหลายอันแวดล้อมตนอยู่เล่า แต่ละอย่างล้วนยั่วยวนชวนให้เกิดอารมณ์ทั้งนั้น สิ่งที่ดีงามย่อมยั่วให้รัก สิ่งที่ไม่ดีงามย่อมยั่วให้ชัง สิ่งอันมีอย่างนั้นย่อมยั่วให้หลง เมื่อประสบอย่างนั้นย่อมเหนี่ยวรั้งใจไว้ไม่ให้ส่ายไปตามอารมณ์เหล่านั้น รักษาใจให้เป็นปรกติไว้อย่างนี้จึงชอบจึงควร













ขอแถมเรื่องนี้อีกเรื่องครับ คือ การโปรยเสน่ห์ 8 วิธี ให้เพศตรงข้ามแบบไม่ทิ้งความเป็นคุณ เผอิญผมไปค้นพบในเว็บไซต์ อิงดาว พราวฟ้า ลองอ่านดูนะครับ ว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใช้วิธีไหนบ้าง

  1. พัฒนาลักษณะท่าทางของคุณ (การเดิน การนั่ง อิริยาบถต่างๆ)
  2. ทำหน้าตาให้รีแลกซ์
  3. ใช้สายตาเป็นการเชื่อมต่อ
  4. จำชื่อของคนอื่นให้ได้
  5. คุยกันเรื่องงานอดิเรก
  6. ชมบุคคลที่สาม แทนการซุบซิบนินทา
  7. ปรับระดับน้ำเสียง (ให้ดีขึ้นได้)
  8. ยิ้มให้เห็นฟันขาว
ผมไม่ทราบว่าสมบัติของผู้ดี และวิธีโปรยเสน่ห์ ที่เขียนมานี้ ท่านนายกฯ หญิงของไทย ท่านชอบอ่านอะไรมากกว่ากัน ...แต่จะอ่านอะไรก็ตาม ท่านพึงตระหนักเอาไว้ว่า

"หญิงไทย ควรรักนวลสงวนตัว"

ดูนายกหญิงชาติอื่นๆ เขาสิ...เธอแลดูสง่างาม น่าเกรงขาม
...แต่หันมาดูนายกหญิงของไทย เหมือนกับ......?????????




































**************************************
ที่มา : 
สมบัติของผู้ดี  : http://olddreamz.com/bookshelf/properties/properties.html

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท  ปีที่ 23 ฉบับที่ 403 ประจำเดือน ธันวาคม 2555 หน้า 3


วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทุ่นระเบิดต้องหมดจากประเทศไทยภายในปี 2561

วันนี้ ผมขออนุญาตเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการกวาดล้างทุ่นระเบิดในประเทศไทย ซึ่งมีคณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบ มีนายกรัฐมนตรี(โดยตำแหน่ง) เป็นประธาน และหัวหน้าส่วนราชการ, หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับสูงร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย หน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติงานทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดเพื่อมนุษย์ธรรม คือศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (Thailand Mine Action Center : TMAC) ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งหลายคนอาจยังไม่เคยได้ทราบหรือได้ยินชื่อหน่วยงานนี้ด้วยซ้ำไป 

เล่าความเป็นมาให้ฟังอย่างสั้นๆได้ว่า ประเทศไทยของเรานั้นได้ลงนามในอนุสัญญาฯ ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา ตั้งแต่ พ.ศ.2542 เป็นต้นมา สาระของอนุสัญญาฯ ก็คือ ประเทศไทยต้องห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และต้องทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้หมดไปจากประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยก็ยังทำไม่สำเร็จ ต้องบากหน้าขอต่ออนุสัญญาฯ ใหม่เป็นครั้งที่ 2 และอนุสัญญาฯครั้งที่ 2 นี้ จะหมดสัญญาใน พ.ย.2561 ซึ่งนับแล้วเหลือเวลาอีกเพียง 6 ปี 

เมื่อการสำรวจครั้งแรก พบว่ามีทุ่นระเบิดที่ถูกฝังอยู่ในพื้นที่ที่เคยมีการสู้รบตามแนวชายแดนต่างๆ ของประเทศไทย จำนวน 2,557 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 27 จังหวัด หน่วยงานต่างๆ ทั้งของกองทัพบก กองทัพเรือ และองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร (มีทั้งไทยและต่างประเทศ) ได้ช่วยกันทำหน้าที่กวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ท่ามการความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินมาโดยตลอด จนกระทั่ง ณ วันที่ 31 ส.ค.2555 ยังคงเหลือพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดฝังหรือตกค้างอยู่อีกจำนวน 530.8 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 18 จังหวัด 




หากเป็นเช่นนี้ .. ไม่มีทางที่จะเสร็จสิ้นตามคำสัญญาครั้งที่ 2 
หากจะต้องกวาดล้างทุ่นระเบิดให้หมดไปจากแผ่นดินไทยตามที่ขอต่ออนุสัญญาฯ ไว้ในครั้งที่ 2 หน่วยงานด้านทุ่นระเบิดที่ทำงานอยู่ในขณะนี้ จะต้องกวาดล้างพื้นที่ให้ได้อย่างน้อย 88.5 ตร.กม.ต่อปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปีหนึ่งๆ พวกเขาทำงานเหน็ดเหนื่อยกันเต็มที่แล้ว ก็ทำได้ไม่ถึง 30 ตร.กม.ต่อปี 

ทำอย่างไรจะให้เสร็จตามคำสัญญา 
หากดูจากตัวเลขแล้ว หากจะให้เสร็จตามพันธะสัญญาที่ประเทศไทยให้สัตยาบรรณไว้แก่ประชาคมโลก คงต้องเพิ่มคน เครื่องมือ เครื่องจักร สุนัข อย่างน้อยก็อีก 3 เท่าจากปัจจุบัน นั่นคือ รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณในการปฏิบัติภารกิจกวาดล้างให้เสร็จสิ้นตามอนุสัญญาฯ ที่ขอต่อเป็นครั้งที่ 2 นี้ อย่างน้อยก็อีก 3 เท่า จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นเงินประมาณปีละ 400 ล้านบาทต่อปี รวม 6 ปีจะใช้เงินประมาณ 2,400 ล้านบาท 



จริงๆ แล้วก็เป็นงบประมาณที่ไม่มากนัก หากเทียบกับงบประมาณที่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไร้สาระไปกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ทำอยู่ในขณะนี้ รวมถึงงบประมาณที่ต้องสูญเสียไปกับการโกงกินคอรัปชั่นกันอย่างมโหฬาร เป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งอาจมีสูงถึง 100,000 ล้านต่อปี 

บากหน้าต่ออนุสัญญาฯ ครั้งที่ 3 
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประเทศไทยคงต้องบากหน้าต่ออนุสัญญาฯ ต่อหน้าประชามคมโลกเป็นครั้งที่ 3 อย่างแน่นอน แล้วจะอ้างกับประชาคมโลกว่าอย่างไร “สาเหตุใด ประเทศไทยจึงต้องขอต่ออนุสัญญาฯ ” และหากประชาคมโลกเขาให้ต่ออนุสัญญาฯ ครั้งที่ 3 ได้จริงๆ แล้ว ใครจะเป็นผู้ตอบคำถามได้ว่า “แล้วเมื่อใด ทุ่นระเบิดจึงจะหมดไปจากประเทศไทยเสียที” 

สงสารแต่ชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง ที่อยู่อาศัยทำมาหากินอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน ใน 18 จังหวัด ซึ่งอาจจะมีจำนวนไม่มากนัก...เสียงจึงดังไม่พอที่จะทำให้รัฐบาลหรือนักการเมืองหันมาสนใจ เขาเหล่านั้นก็ยังคงต้องก้มหน้าก้มตาเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตหรือความพิกลพิการ ที่อาจเกิดขึ้นจากภัยร้ายของทุ่นระเบิดที่ยังคงฝังอยู่ในพื้นที่ได้ทุกเวลา 

เรื่องนี้ หากมีใครเล่าให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมแห่งชาติ ฟังบ้าง เรื่องราวต่างๆ ก็น่าจะดีขึ้น..... 

ที่มาของภาพ :
 http://mre-tmac.blogspot.com
/2012/11/blog-post_1.html


















********************************
จุฑาคเชน : 8 พ.ย.2555

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

แนวความคิดใหม่เกี่ยวกับตำรวจไทย

กลุ่มมวลชนเสื้อแดงของรัฐบาล ได้ก่อเหตุปะทะ กับกลุ่มพันธมิตร (เสื้อเหลือง) เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2555  บริเวณหน้ากองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถ.พหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ   ก่อนจะเข้าเรื่องเกี่ยวกับตำรวจ ขอวิจารณ์นักการเมือง (อดีตนักการทหาร) สักท่านหนึ่งก่อน ที่คนอื่นๆ ให้ความยกย่องว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณวัต รมว.กลาโหม  ท่านกล่าวให้สัมภาษณ์เรื่องการปะทะกันนี้ว่า "ไม่ใช่เรื่องใหญ่"

พล.อ.อ.สุกำพลฯ "อย่ามองในแง่ร้าย เป็นการปะทะกันเพียงนิดเดียว แต่กลับมองเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกันเลย ในส่วนของเสื้อแดงเราไม่ได้ส่งคนไป แต่เขาไปกันเอง และปะทะกันเล็กน้อย แล้วเลิกกันไป อย่ามองเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ามองอย่างนี้ประเทศไทยไม่เจริญอย่างนี้หรอก  ขอให้มองดีกว่านี้ อย่ามองว่าจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะตีกันจบไปแล้ว ขอให้มองในแง่ดีบ้าง ถ้ามองในไม่ดี ก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้ามองในแง่ดีอย่างตนก็สบายใจ"

จากคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดเสียงวิพากย์วิจารณ์จากนักเขียนและนักวิชาการหลายท่าน สรุปที่สำคัญ เช่น 
  1. พล.อ.อ.สุกำพลฯ ขาดความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง สะท้อนถึงความจำกัดทางปัญญา การปะทะกันครั้งนี้เกิดจากความขัดแย้งที่ฝังรากลึก ระหว่างกลุ่มเสื้อแดงที่ต้องการล้มล้างสถาบัน กับกลุ่มประชาชนที่เห็นคุณค่าและเคารพในสถาบัน 
  2. พล.อ.อ.สุกำพลฯ ยอมรับว่าเสื้อแดงเป็นคนของพวกตนเอง  จึงรู้สึกเฉยๆ เมื่อพวกตนเองทำร้ายผู้อื่น 
  3. การสัมภาษณ์นี้เป็นการให้ท้ายคนเสื้อแดง ไม่ต่างกับการสนับสนุนให้คนใช้ความรุนแรงและละเมิดกฏหมายขื่อแปของบ้านเมือง 
คราวนี้มาดูสถานที่เกิดเหตุว่า เกิดหน้ากองบังคับการปราบปรามฯ แต่ตำรวจ กลับไม่สนใจที่จะจับผู้ก่อเหตุ ทั้งๆ ที่มีคลิปวีดีโอและภาพถ่ายให้ดูมากมาย  "ฤา ตำรวจก็จะให้ท้ายคนเสื้อแดง" ด้วย ผมเข้าไปสืบค้นเว็บไซต์ของกองบังคับการปราบปรามฯ เพื่อค้นหาว่าหน่วยงานนี้มีโครงสร้างอย่างไร และมีผลงานโดดเด่นอะไรบ้าง เผอิญไปพบ "มุมมองใหม่ การจัดการตำรวจในศตวรรษที่ 21"  มีบทความชิ้นหนึ่ง ได้กล่าวไว้น่าสนใจ ดังนี้

แนวความคิดใหม่เกี่ยวกับตำรวจไทย
ตำรวจเป็นใคร
  • แนวความคิดเดิม  ตำรวจเป็นบุคลากรในองค์การของรัฐบาล ที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฏหมายเป็นส่วนใหญ่
  • แนวความคิดใหม่ ตำรวจคือประชาชน ประชาชนก็คือตำรวจ ตำรวจเป็นผู้ที่ได้รับเงินเดือน ทำหน้าที่เต็มเวลา และรับใช้ประชาชนทุกคน
ความสัมพันธ์ขององค์กรตำรวจกับองค์กรอื่นๆ ที่ให้บริการประชาชนเช่นกัน
  • แนวความคิดเดิม มักจะทำให้เกิดความขัดแย้ง
  • แนวความคิดใหม่ ตำรวจเป็นองค์กรหนึ่งในหลายๆ องค์กรที่รับผิดชอบปรับปรุงแก้ไขคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น
จะวัดประสิทธิภาพของตำรวจได้อย่างไร
  • แนวความคิดเดิม วัดได้ด้วยการสืบสวนและสถิติการจับกุม
  • แนวความคิดใหม่ วัดได้โดยการไม่มีอาชญากรรมและความไร้ระเบียบ
ลำดับความสำคัญสูงสุดในการแก้ปัญหาคืออะไร
  • แนวความคิดเดิม จะพิจารณาจากปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมที่ประทุษร้ายต่อทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงสุด (เช่น ปล้นธนาคาร) และอาชญากรรมที่มีความรุนแรง
  • แนวความคิดใหม่ จะพิจารณาจากปัญหาใดก็ตาม ที่รบกวนชุมชนมากที่สุด
ตำรวจจะจัดการโดยเฉพาะเจาะจงในเรื่องใด
  • แนวความคิดเดิม ตำรวจจะจัดการกับเหตุการณ์ต่างๆ ตามที่ตำรวจจะเห็นสมควร
  • แนวความคิดใหม่ จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่ประชาชนกังวล
บทบาทกับสื่อมวลชน (เรียบเรียงใหม่โดยผู้เขียน)
  • แนวความคิดเดิม ขจัดสื่อมวลชนออกไปจากการปฏิบัติงานของตำรวจเพื่อไม่ไห้เกิดความยุ่งยาก เพื่อตำรวจจะได้ทำงานต่อไปโดยสะดวก
  • แนวความคิดใหม่ เปิดรับสื่อมวลชน พร้อมทั้งประสานงานเพื่อเป็นช่องทางติดต่อที่สำคัญกับชุมชน
ตำรวจคำนึงถึงการดำเนินการตามกฏหมายอย่างไร
  • แนวความคิดเดิม ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ
  • แนวความคิดใหม่ ถือเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในหลายๆ อย่างของตำรวจ
บทความ "แนวความคิดใหม่เกี่ยวกับตำรวจไทย" นี้ ตำรวจเป็นผู้เขียนเองครับ ถ้าทำได้ผมขอยกนิ้วให้เลยครับ  แต่ไม่รู้ว่าปัจจุบันองค์กรตำรวจได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิด พฤติกรรม หรือวิธีปฏิบัติงานใหม่หรือยัง  แต่ที่ผมเห็นเหตุปะทะที่หน้ากองบังคับการปราบปรามฯ เมื่อวานนี้ และอีกหลายๆ เหตุการณ์ เช่น พี่มีแต่ให้  ตำรวจก่อม็อบหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ผลการสอบสวนของดีเอสไอ เรื่องไร้คนชุดดำ นายตำรวจใหญ่บินไปคารวะนักโทษหนีคดีที่ต่างประเทศ เป็นต้น ผมกลับมีแนวความเกี่ยวกับตำรวจไทยในปัจจุบันว่า.....

แนวความคิดปัจจุบัน : องค์กรตำรวจเป็นองค์กรของพรรคเพื่อไทย 
แนวความคิดใหม่ : องค์กรตำรวจเป็น ???????????


พล.อ.อ.สุกำพล สุวรณทัต
รมว.กลาโหม











**************************************
จุฑาคเชน 26 ก.ย.2555

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

คำค้นหายอดนิยมใน Google เกี่ยวกับ "นายกปู"

ไม่ทราบว่าจะเป็นเพราะในยุคนี้เป็น  "ยุคของการส่งสาร  ที่ทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆ ในทุกสถานที่ ทุกเวลา" หรือปล่าว ไม่ว่าจะเป็นทั้งเสียง ทั้งภาพ ล้วนไม่เป็นอุปสรรค เหตุนี้กระมัง จึงทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ชื่อเล่น ปู) นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก และคนที่ 28 ของประเทศไทย จึงเรตติ้งกระฉูดในเจ้าพ่อเทคโนโลยีแห่งการสืบค้นอย่าง Google

การค้นหาข่าวเกี่ยวกับ  "ข่าวนายกรัฐมนตรี" ก็เป็นเรื่องปกติโดยทั่วไป ค้นเมื่อไหร่ก็พบ แต่ผมลองค้นหาด้วยคำอื่นๆ ดูบ้างว่าจะค้นพบมากน้อยแค่ไหน ลองดูผลการค้นหาด้วยคำค้นอื่นๆ ดูนะครับ 

ผลการค้นหาจาก Google (คอมพิวเตอร์ของผมเอง)
  • คำค้น "ปู ว.5"   พบประมาณ 37,400,000 รายการ  ใน  0.31 วินาที 
  • คำค้น "ปูโง่"  พบประมาณ  5,810,000 รายการ  ใน 0.39 วินาที
  • คำค้น "ปูพูดผิด" พบประมาณ  2,970,000 รายการ ใน 0.33 วินาที
  • คำค้น "ปูเอาอยู่" พบประมาณ  1,640,000 รายการ ใน 0.34 วินาที 
  • คำค้น "ปูโฟร์ซีซั่น"   พบประมาณ 732,000 รายการ ใน 0.31 วินาที 
  • คำค้น "ปูไร้สมอง"   พบประมาณ 677,000 รายการ  ใน 0.38 วินาที 
  • คำค้น "ปูไม่มีสมอง"  พบประมาณ 567,000 รายการ  ใน  0.40 วินาที
ที่ค้นมานี้เป็นตัวอย่างนะครับ อย่าถือเป็นเรื่องจริงจังอะไรมากนัก บางคำค้น อาจจะมีการค้นพบรายการเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะคำประกอบคำค้นต่างๆ ที่อยู่รวมกัน เช่น คำค้นว่า "ปู ว.5" อาจจะพบคำว่า "ปู ว.5" จำนวนหนึ่ง พบคำว่า "ปู" จำนวนหนึ่ง พบคำว่า "ว.5" จำนวนหนึ่ง จึงรวมเป็น 37,400,000 รายการ เป็นต้น

แต่ที่แน่ๆ คือผมใช่คำว่า "ปู" ซึ่งเป็นชื่อเล่นของนายกยิ่งลักษณ์ฯ บวกกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเอง จึงได้ผลการค้นหาออกมาเช่นนั้น ท่านผู้อ่านลองใช้คำค้นอื่นๆ ดูบ้างก็ได้นะครับ แล้วมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันว่าคำไหนจะยอดนิยมมากกว่ากัน

ดังนั้นใครที่ชื่อเล่นว่า "ปู" โปรดเปลี่ยนชื่อเสียก็จะดี หรือใครกำลังจะตั้งชื่อลูกใหม่ก็อย่าตั้งชื่อเล่นว่า "ปู" เลย เพราะเจ้าพ่อเทคโนโลยีแห่งการสืบค้นอย่าง Google จะบันทึกว่า "คนชื่อ "ปู "จะมีพฤติกรรมเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล"

******************************************
ชาติชาย  คเชนชล : 14 ก.ย.2555


ปูผัดกระเพรา

     













ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 23 ฉบับที่ 401 ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ.2555 หน้า 3


วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ราชบุรี..ยังคงเหมือนเดิม

ช่วงนี้ผมต้องปฏิบัติงานที่กรุงเทพฯ และเดินทางไปราชการต่างจังหวัดบ่อย นานๆ ถึงจะกลับราชบุรีสักที แต่ก็ไม่ลืมติดตามข่าวสารอยู่เสมอทางเว็บไซต์ข่าวเกี่ยวกับราชบุรี พอได้กลับไปราชบุรี แต่ละครั้ง ก็ได้มีโอกาสสนทนากับเพื่อนฝูงแวดวงสื่อมวลชนอยู่บ้าง ผมรู้สึกว่าราชบุรีบ้านเรา ไม่ค่อยมีการพัฒนาอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนัก 




ราชบุรีเป็นเมืองข้าราชการ ข้าราชการจึงมีบทบาทสำคัญในการนำการพัฒนาราชบุรี ที่วันนี้ราชบุรีไม่ค่อยพัฒนานั้น หลายคนบอกว่า เพราะข้าราชการราชบุรีนี้ทำงานแบบขอไปที นายสั่งมาอย่างไร ไม่เคยคิดอะไรใหม่ ทำกันไปแบบแกนแกน ทำกันแบบเดิมเดิมที่เคยทำกันมา ไม่มีอะไรพัฒนาปรับปรุงขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะใกล้สิ้นปีงบประมาณด้วยแล้ว เกิดเทศกาลละลายงบประมาณกันเป็นว่าเล่น เงินที่ได้รับมาจากส่วนกลางในแต่ละกระทรวง ต้องรีบลวกๆ จัดกิจกรรม การประชุม สัมมนา ทัศนศึกษา ดูงานกันจ้าละหวั่น ขอให้บริหารงบประมาณให้หมด คอรัปชั่นเงินส่วนต่างที่เหลือมาเป็นงบบริหารภายในหน่วยงานของตนเอง เป็นเงินค่ากาแฟ ค่าประชุม ค่าตอบแทนลูกน้อง ค่าน้ำมัน ค่างานสังคม เกิดการโกงบิล ซื้อบิล ฉ้อฉนเพื่อหาหลักฐานไปเบิกเงินให้ถูกต้อง ทำทุกอย่างเพื่อเบิกงบประมาณแผ่นดินในส่วนของตนเองออกมาให้หมด 

นอกจากเรื่องข้าราชการที่ทำงานแบบขอไปทีแบบเดิม ๆ แล้ว  ยังมีเรื่องราวอีกหลายเรื่องก็ยังคงดูเหมือนเดิมๆ  เช่นกัน เผอิญผมอยู่ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี ซึ่งเปรียบเสมือนเมืองหลวงของราชบุรี ผมจึงขอยกตัวอย่างในส่วนที่ผมเห็น เอาด้านการจราจรก่อน เหมือนเดิมครับ จะจัดระเบียบใหม่อย่างไรก็ตาม เมืองราชบุรียังเต็มไปด้วย กรวยผูกเชือก แผงกั้นสำเร็จ เก้าอี้วางกันที่หน้าร้าน หาบเร่แผงลอย ร้านคายึดทางเท้าเป็นที่ค้าขาย การแหกกฏจราจรที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป การสวมหมวกกันน๊อคเพียงเพื่อป้องกันตำรวจจับ การวางของขาย ซ่อมรถมอเตอร์ไซต์ บนทางเท้าเต็มไปหมด จนผมเองต้องลงมาเดินเหลี่ยงบนผิวถนนแทน ฯลฯ ภูมิทัศน์เมืองราชบุรีคล้ายกับเมืองที่ด้อยพัฒนา แถมยังมีตำรวจจราจรอยู่อีก 2-3 คนขาประจำ คอยขยันมาจับทุกเช้าวันเสาร์วันอาทิตย์ริมสนามหญ้า จับดะ.. เพราะอะไรก็ไม่ทราบได้ แทนที่จะอำนวยการจราจรให้สะดวก พอจับ..รถราก็ติด แม่ค้าก็ด่าเพราะไม่มีคนมาซื้อของก็เพราะคุณตำรวจนี่แหะครับ ผมเจอตำรวจราชบุรีทีไร (รวมที่อื่นๆด้วย) ไม่เคยอุ่นใจเลยสักครั้ง 

ด้านการจัดงานกิจกรรม เทศกาล งานประเพณี ก็มีมากครับ แต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีอะไรที่เป็นไฮไลท์ ชื่องานฟังแล้วดูดี แต่ไปเที่ยวชมทีไร กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เฉามากๆ ยิ่งโครงการหรือกิจกรรมที่จัดโดยบรรดาเหล่าข้าราชการ ยิ่งแล้วใหญ่ ดูดีเฉพาะตอนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี มาเปิดงาน หลังจากผู้ว่าฯ กลับ งานก็กร่อย เก็บของกลับบ้าน ไม่เคยติดตามประเมินผล เพราะละลายงบประมาณแผ่นดินหมดสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว 

ตอนแรกผมดีใจที่ทราบข่าวว่า ผู้ว่าราชการ จ.ราชบุรี ปัจจุบัน ท่านเป็นคน อ.ปากท่อ ดังนั้น ถึงคราวที่ จ.ราชบุรีของเราจะได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังเสียที แต่แล้วก็เหมือนเดิม ไม่แตกต่างอะไรจากผู้ว่าราชการ จ.ราชบุรี ท่านก่อนๆ ที่ผ่านมา (ดำรงตำแหน่งเพื่อรอเกษียณ ยกการ์ดป้องกันตำแหน่งอย่างเดียว ไม่เคยชก หลังเกษียณก็ปลูกบ้านสวยๆ ไว้ที่ราชบุรี ) 

ส่วนด้านการท่องเที่ยวนี้ ขอเรียนสั้นๆ ว่า "สวนผึ้ง (ที่ว่าเป็นไฮไลท์ของราชบุรี) กำลังจะเจ๋ง" เพราะนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาสัมผัส ไอหนาว หมอกขาว ป่าเขียว แต่พอมาแล้ว เขากลับรู้สึกว่า "มันไม่ใช่" มันไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวัง งานนี้ต้องถาม ผอ.ท่องเที่ยวและกีฬาราชบุรี ว่ากำลังทำอะไร ดูแต่ตลาดน้ำดำเนินเป็นตัวอย่าง ตลาดน้ำดำเนิน..ที่คุณเคยเห็นเคยรู้จัก คุณรู้ไหม มันตายไปหลายปีแล้ว คนตายแล้วจะทำให้ฟื้นได้ มันคือปาฏิหารย์ และที่ใกล้ๆ ตัวผมที่กำลังจะตายเช่นกันก็คือ ตลาดเก่าโคยกี้ เพิ่งเกิดได้ไม่นานและกำลังหัดเดิน แต่กลับไม่มีใครเหลียวแลอย่างจริงจัง คงจะต้องปล่อยให้มันเดินไปตามยถากรรม ไม่นานหรอกครับ เขาคงจะตายไปอีกคนเพราะหมดปัญญาเดิน 

ยังมีเรื่องราวอีกหลายเรื่องครับ ที่ผมอยากจะเขียน ผมอยากให้ราชบุรีบ้านผมมีการพัฒนาเหมือนกับหลายๆ จังหวัดที่ผมเคยไปมา ขออนุญาตไม่กล่าวว่าจังหวัดใดบ้างนะครับ หลายจังหวัดก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย เราก็น่าจะเอาข้อดีของเขามาพัฒนาและปรับปรุงบ้านเราบ้าง แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นมีอะไรใหม่ในราชบุรีเลย 

ราชบุรี ยังคงเหมือนเดิม 

*****************************
จุฑาคเชน : 22 ส.ค.2555

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.เวสเทิร์นนิวส์ โฟกัสราชบุรี ปีที่ 3 ฉบับที่ 21 ประจำเดือนกันยายน 2555 หน้า 16



วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ในความไร้รูปแบบมันจะมีรูปแบบอยู่เสมอ

ฟังข่าวแล้วรู้สึกสงสารและเสียใจไปด้วยกับบรรดาพ่อแม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง ของเพื่อนทหารกล้าของผม  ที่ต้องเสียชีวิตในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ด้วยความไม่ใส่ใจอย่างจริงจังของผู้บริหารบ้านเมืองที่จะแก้ปัญหา ยิ่งช่วงเทศกาลรอมะฎอน (Ramadan) ประจำปี 2555 นี้ หนักขึ้นกว่าเดิม.......

ที่มาของภาพ
http://news.mthai.com/general-news/94341.html
พวกท่านผู้บริหารบ้านเมือง รวมถึงท่านผู้บังคับบัญชา  ก็ได้แค่แสดงความเสียใจ ส่งพวงหรีดไปเคารพ  นำธงชาติไปคลุมศพ  คลุมโลงศพ  ช่วยเงินทำศพ  ไปร่วมงานศพ  เลื่อนยศ เลื่อนขั้นให้ ให้เงินทำขวัญ แล้วส่งเสียลูกหลานให้ได้เรียนต่อสูงๆ  ขึ้น.....แค่นี้ก็จบเสร็จสิ้นพิธี แล้วอีกไม่นาน ทหารที่เสียชีวิตเหล่านี้ก็ถูกลืมเลือนไปจากสังคม ...และก็ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีเพื่อนทหารกล้า ต้องมาตายเยี่ยงนี้อีกกี่คน 

เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะวนเวียนอยู่เรื่อยไป
...ไร้ซึ่งความสงบสันติสุข...

ตราบใดที่องคาพยพต่างๆ ทั้งข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน นักการเมือง และพลเมืองดี ยังไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง  มัวแต่ถือทิฎฐิว่า ความคิดผมถูก ความคิดคุณผิด โครงการแก้ปัญหาแต่ละโครงการ จึงไม่สอดคล้องกัน ไปคนละทิศคนละทาง  ยิ่งเรื่องงบบประมาณด้วยแล้ว หวงกันเอง  ว่านี่เป็นส่วนของฉัน นั้นส่วนของเธอ ผู้ซึ่งก่อเหตุร้าย ก็ดูเหมือนว่า "เราจะไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร  หรือเรากำลังรบอยู่กับใคร"   แต่พอคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายท่านแล้ว กลับบอกว่า "เรารู้ แต่ทำอะไรเขาไม่ได้"  แล้วอย่างนี้ จะทำกันอย่างไรกันต่อไปละครับ

เขาอยู่ในที่ลับ  แต่เราอยู่ในที่แจ้ง
เขาอยู่ในที่มืด  แต่เราอยู่ในที่สว่าง 
เขาอยู่ในที่ใดไม่มีใครรู้  แต่เขารู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน 
เขารู้เรา  แต่เราไม่รู้เขา
เราต้องเฝ้ารอเหตุการณ์    แต่เขาเป็นผู้สร้างเหตุการณ์ 

คนที่ทำงานแก้ไขปัญหาอยู่ที่ภาคใต้ ที่ผมรู้จักนั้น....ล้วนเป็นคนเก่งทุกคน
แต่ยังมีอะไรบางอย่าง..ที่ทำให้เขาไม่สามารถทำงานได้เต็มที่
โดยเฉพาะเรื่อง "การขัดแย้งทางความคิด" ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกันเอง

ไม่มีอะไรไร้รูปแบบ...
การก่อเหตุร้ายในภาคใต้ดูเหมือนว่าจะไร้รูปแบบ  เพราะไม่รู้จะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่  อย่างไร รูปแบบก็แตกต่างกันไป  เดี๋ยวยิง เดี๋ยวระเบิด เดี๋ยวคาร์บอมบ์ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็แตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่สามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่จึงเป็นแค่ฝ่ายตั้งรับเท่านั้น  แต่ผมว่า "ในความไร้รูปแบบนั้น มันจะมีรูปแบบอยู่เสมอ แต่เรายังค้นหามันไม่พบ" 

ข้อมูล (Data) การก่อเหตุร้ายที่เรามี  หากนำมาประมวลผล มันจะกลายเป็นสารสนเทศ (Information)  เมื่อได้สารสนเทศแล้ว มันก็จะกลายเป็นความรู้ (Knowledge) ที่เราสามารถใช้แก้ปัญหาได้ และเมื่อมีความรู้หลายๆ อย่างมากขึ้น มันก็จะกลายสภาพเป็นภูมิปัญญา (Wisdom) ที่จะป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดังภาพปิรามิดแห่งความรู้ที่ผมหยิบยกมาด้านล่างนี้ 



เวลาเชือกมันพันกัน  ผมพยายามแก้มันด้วยตัวเอง แต่ยิ่งแก้ ดูเหมือนมันยิ่งยุ่งขึ้นกว่าเดิม  เพราะผมไม่รู้ตั้งแต่แรกว่าเชือกมันพันกันอย่างไร ผมเริ่มหงุดหงิด ใจร้อน หัวเสีย ขาดสติ จนผมต้องยอมแพ้มัน......ต่อมามีเพื่อนผมคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความมีสติ   เขาเริ่มศึกษาด้วยปัญญาว่าเชือกมันพันกันอย่างไร หลังจากนั้นไม่นานนักเขาก็แก้มันได้สำเร็จ 

เวลาที่เราอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  เราสามารถมองเห็นได้ถึงแมลงที่กำลังกัดกินใบไม้อยู่
หากเราลองถอยออกมา เพื่อให้มองเห็นต้นไม้ได้ทั้งต้น  
เราอาจจะรู้ว่าแมลงที่กำลังกินใบไม้นั้น  มันบินมาจากไหน?  


*****************************************
จุฑาเคชน : 31  ก.ค.2555
  



วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ช่วยผมหน่อยครับ

ผมพยายามติดตามเรื่องพฤติกรรมของนักการเมืองไทยมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดมากครับ แต่ผมไม่รู้จะไประบายกับใคร จะพูดกับใครก็ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นเหมือนกับผมหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจเขียนลงในบล็อกของผมเองนี่แหละครับ ที่ดีสุด

ไอ้นักการเมืองพวกนี้มันทำกันได้อย่างไร ใช้อะไรคิด ใช้อะไรพูด สันดานมันเป็นอย่างไร ผมรู้สึกอึดอัดจริงๆ เวลานักข่าวไปสัมภาษณ์ไอ้คนพวกนี้ แล้วนำมาออกข่าว มันไม่เห็นมีอะไรที่จะสร้างสรรค์ประเทศไทยเลย รังแต่แสดงวุฒิภาวะถ่อยๆของ ส.ส. ผู้ทรงเกียรติ ที่มันให้สัมภาษณ์ออกมาแต่ละคำ ถ้าผมเป็นนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ผมจะขอชกปากไอ้นักการเมืองพวกนี้สักครั้ง พวกนี้มันเหิมเกริม มันมีคนให้ท้าย มันนึกว่า มันใหญ่ มันเก่ง คนอื่นไม่มีอำนาจ คนอื่นไม่เก่งเท่ามัน หลงตัวเอง มันนึกว่าเวลามันตอบคำถามนักข่าว ทุกคนคงชอบมัน ฯลฯ ผมไม่รู้ว่าจะเขียนบรรยายอย่างไร จะอธิบายพฤติกรรมถ่อยของพวกมันเหล่านี้ได้หมด นักการเมืองที่ผมรู้สึกเช่นนี้ มี 3 คน คืิอ 



คนแรก นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มันเป็นคนที่ขโมยวาทะและความคิดของคนอื่นมาพูดเสมอ มันจะเป็นพวกครูพักลักจำ แต่ถ้าถามความรู้ลึกๆ มันจะตอบไม่ได้ มันไม่มีความรู้ถึงขั้นเป็นรัฐมนตรี มันน่าจะเป็นได้แค่สุนัขเฝ้าหน้าห้องนายเท่านั้น เพราะมันจงรักภักดีแค่อาหารเม็ดที่เจ้านายให้มันกิน มันพูดโน้มน้าวเก่ง พูดแบบปีนเกลียวให้คนแตกแยก ดูถูกคนอื่น มันพูดเหมือนกับมันเป็นกูรู พูดแบบท้าทาย พูดแบบกูไม่สนใจว่าคนอย่างพวกมึงจะคิดอย่างไร โลกนี้มันคิดถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด ทะเยอทะยาน ทำงานด้วยปาก ไอ้นี่นะ..ถ้านายที่คุ้มกะลาหัวมันหมดอำนาจ มันก็คือ "สุนัขขี้เรื้อนข้างถนน" 


คนที่สอง นายจตุพร พรหมพันธ์ ไอ้นี่ที่เขาเรียก "คางคก" ก็สมควรแล้ว เหมาะกับบุคลิกและนิสัยของมันเหมือนคางคกจริงๆ แลบลิ้นกินเหยื่อแป๊บๆ มันมีนิสัยและพฤติกรรมคล้ายกับนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ทีวีเสื้อแดงที่เจ้านายมันสร้างขึ้นมา ก็เห็นว่ามีแต่มันคุยอยู่คนเดียว คุยแบบโคตรตะระไร้สาระ ไอ้นี่ชะตาขาด เพราะศาลเอาจริง หลังปล่อยให้มันเหลิงมานาน นึกว่าทำอะไรเพื่อนายแล้วจะปลอดภัย หวังว่านายจะคุ้มกะบาลมัน ไอ้นี่นะ..เมื่อนายมันหมดอำนาจ มันก็คือ "คางคกข้างคูน้ำคำ" (ในชุมชนแออัดด้วยครับ) 



คนที่สาม นายเฉลิม อยู่บำรุง ไอ้นี่มันเป็น ดร.แต่ไม่อยากบอกว่าจากสถาบันไหน สถาบันเขาคงคิดได้แล้วว่า "ไม่ควรให้มันจบเลย" แล้วมันก็เอาชื่อสถาบันมาขายว่ามันเป็น ดร. จนคนทั่วไปเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อสถาบัน เพราะแต่ละเรื่องที่มันพูดออกมาโคตรตะระไร้หลักการ มีข้อ1 ข้อ 2 ข้อ 3...แต่มันพูดเหมือนกับคนที่ไร้การศึกษา แต่เสือกได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี แถมหน้าตาดำๆ สายตาก้าวร้่าว ข่มขู่ จิกพวกนักข่าว ดูถูกว่าพวกมึงกระจอกกว่ากู เพราะพวกมึงไม่รู้อะไร เหยียดหยามคนอื่นเขาไปหมด ช่างไร้มารยาทเสียจริงๆ ไอ้นี่เมื่อนายมันหมดอำนาจ มันก็คือ "สุนัขบ้าที่ระเห่เร่ร่อนหาคนเลี้ยงใหม่" 

ผมเขียนบทความนี้ ผมอาจจะถูกฟ้องร้องอะไรสักอย่างก็ได้ครับ แต่ขอความกรุณาให้ผู้อ่านช่วยกรุณา vote ด้านข้างบล็อกนี้นะครับ ว่าคุณเกลียดใครมากที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า แต่ก็ได้รู้ว่ามีใครคิดอย่างผมบ้าง เพราะผมไม่รู้ว่า ผมเกลียดใครมากที่สุด..เพราะมันเลวพอๆ กัน ขอบคุณครับ 

ผมเคยอ่านบทความแต่จำไม่ได้ว่าอ่านมาจากไหน ซึ่งกล่าวว่า "ก่อนจะชื่นชมใครสักคนจนกระทั่งตัดสินใจสร้างอนุสาวรีย์ให้เขา ต้องรอให้เขาตายเสียก่อน เพราะคนเราจะเปลี่ยนแปลงนิสัยและพฤติกรรมได้ตลอดเวลา วันหนึ่ง ขณะหนึ่ง เราอาจจะเห็นว่าเขาว่ามีคุณงามความดี แต่วันหนึ่งเราอาจจะเห็นความเลวร้ายสุดๆ ของคนๆ นั้นก็ได้ เหตุเพราะ เวลามันเปลี่ยนไป" 


อย่าหลงเชื่อว่าใครเป็นคนดี จนกว่าคนคนนั้นจะตาย 



***************** 
ชาติชาย คเชนชล : 25 ก.ค.2555

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีการลดต้นทุนในการซื้อเสียงของนายทุนพรรคการเมือง

กกต.อบจ.ราชบุรี กำหนดแบ่งเขตการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี (ส.อบจ.ราชบุรี) ออกเป็น 30 เขตเลือกตั้ง โดยแต่ละเขตเลือกตั้งเลือก ส.อบจ.ราชบุรี ได้ 1 คน กำหนดการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 5 ส.ค.2555 ผมได้ดูจำนวนของผู้สมัครที่ขันอาสาประชาชนชาว จ.ราชบุรี เข้าไปเป็นปากเสียงในแต่ละเขตแล้วรู้สึกแปลกๆ เลยลองมาสรุปวิเคราะห์อย่างง่ายๆ ดูว่า "มันจะได้ความคิดและมองเห็นอะไรขึ้นมาบ้าง" ลองดูกันกันนะครับ (บทความนี้อาจจะต้องใช้ตัวเลขมายกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ขอให้ผู้อ่านค่อยๆ คิดตามไปนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อ) 

ผู้สมัคร 1 คน ใน 1 เขต  จำนวน 9 เขต คิดเป็นร้อยละ 30 


  • อ.เมือง 4 เขตจาก 7 เขต 
  • อ.บ้านโป่ง 1 เขตจาก 6 เขต 
  • อ.ดำเนิน 1 เขตจาก 3 เขต 
  • อ.บางแพ 1 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.วัดเพลง 1 เขตจาก 1 เขต 
  • อ.บ้านคา 1 เขตจาก 1 เขต 


ผู้สมัคร 2 คน ใน 1 เขต จำนวน 18 เขต ร้อยละ 60 
  • อ.เมือง 3 เขตจาก 7 เขต 
  • อ.บ้านโป่ง 4 เขตจาก 6 เขต 
  • อ.โพธาราม 3 เขตจาก 5 เขต 
  • อ.ดำเนินสะดวก 2 เขตจาก 3 เขต 
  • อ.ปากท่อ 2 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.จอมบึง 2 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.บางแพ 1 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.สวนผึ้ง 1 เขตจาก 1 เขต 


ผู้สมัคร 3 คน ใน 1 เขต จำนวน 3 เขต ร้อยละ 10 
  • อ.บ้านโป่ง 1 เขตจาก 6 เขต 
  • อ.โพธาราม 2 เขตจาก 5 เขต 


ลดต้นทุนซื้อเสียงบนความขาดเขลาของประชาชน 
จากการดูผลสรุปผู้สมัครที่กล่าวมา อาจส่อเค้าให้เห็นเรื่องสำคัญ คือ วิธีการลงทุนของนายทุนพรรคการเมืองที่ชาญฉลาด คือ ต้องการประหยัดเงินลงทุนซื้อเสียงบนฐานความขาดเขลาของประชาชน อ.เมืองราชบุรี ดูเหมือนจะมีการลดจำนวนเงินลงทุนซื้อเสียงมากที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้ว อ.เมืองราชบุรี น่าจะเป็นอำเภอที่เป็นตัวอย่างของประชาชนที่มีความรู้ เพราะเปรียบเสมือนเมืองหลวงของ จ.ราชบุรี แต่กลับสู้ อ.บ้านโป่ง และ อ.โพธาราม ไม่ได้ เพราะนายทุนพรรคการเมืองต้องเสี่ยงเรื่องการลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ที่แยบยลขึ้นกว่า อ.เมืองราชบุรี 

สมมติฐานของผู้เขียน 
  • ประชาชนใน 1 เขตเลือกตั้งมีผู้มีสิทธิ์ 20,000 คน 
  • การซื้อเสียงขั้นต่ำของนายทุนพรรคการเมือง เสียงละ 1,000 บาท 
  • การเลือกตั้งมีการซื้อสิทธิ์และขายเสียงจริง 
  • ประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนใหญ่จะเลือกเบอร์ที่จ่ายเงินซื้อเสียงมากที่สุด 
  • เสียงที่ได้รับการเลือกตั้งไม่นับรวมประชาชนที่มีอุดมการณ์ 

กรณีผู้สมัคร 1 คน 1 เขต 
ก็แค่ต่อสู้ให้ได้คะแนนเสียงเกินร้อยละ 10 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การสมัครคนเดียวจึงทำให้การจ่ายเงินซื้อเสียงน้อยลง จ่ายเงินแค่ 2,000 เสียง (ซึ่งเกินร้อยละ 10 แล้ว) เสียงละ 1,000 บาท ก็เป็นเงิน 2,000,000 บาท ดีกว่ามีคู่แข่งซึ่งหากสมัคร 2 คนต้องจ่ายขั้นต่ำ 10,000 เสียงๆ ละ 1,000 บาท เป็นเงินถึง 10,000,000 บาท ถึงแม้หากจะมีผู้สมัคร 3 คน เพื่อความแน่ใจก็ยังต้องจ่ายเงินซื้อเสียงอย่างน้อย 10,000,000 บาทเช่นกัน แล้วนายทุนพรรคการเมืองจะเลือกแบบไหน (ลอบบี้ครับ..คนเดียวพอ จ้างคนไม่ต้องลงแข่ง) 

กรณีผู้สมัคร 2 คน ใน 1 เขต อาจแยกเป็น 2 กรณี 
  • กรณีที่ 1 ถ้าเกิดการจ้างลงเพื่อเป็นคู่แข่ง เพื่อหลีกเหลี่ยงร้อยละ 10 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็ไม่ต้องคำนึงถึง 2,000 คะแนน อาจจะจ่ายเงินซื้อเสียงเพียง 1,000 เสียงๆ ละ 1,000 บาทก็ใช้เงินแค่ 1,000,000 บาทเท่านั้นเอง เพราะคู่แข่งที่จ้างลงนั้นเป็นแค่ไม้ประดับ อาจได้ไม่ถึง 100 เสียงด้วยซ้ำไป 
  • กรณีที่ 2 ถ้าเกิดการแข่งขันกันจริงๆ เป็นคนละขั้วสัมปทานอำนาจ อย่างน้อยแต่ละฝ่ายต้องจ่ายขั้นต่ำถึง ฝ่ายละ 10,000 เสียงๆละ 1,000 บาท ก็เป็นเงินฝ่ายละ 10,000,000 บาท หากต้องอัดฉีดเพิ่มคงต้องจ่ายเงินถึง 15,000,000 บาท (เสียงละ 1,500 บาท) 

กรณีผู้สมัคร 3 คน ใน 1 เขต อาจแยกเป็น 3 กรณี
  • กรณีที่ 1 หากเป็นการจ้างลงทั้ง 2 เบอร์ ผู้ชนะอาจใช้เงินซื้อเสียงขั้นต่ำแค่ 500 เสียงๆละ 1,000 บาท เป็นเงิน 500,000 บาท อีกเบอร์ซื้อเสียง 300 เสียงๆละ 400 บาทเป็นเงิน 120,000 บาท อีกเบอร์ซื้อเสียงๆละ 300 เสียงๆละ 300 บาทเป็นเงิน 90,000 บาท (เพื่อให้ดูเหมือนการแข่งขัน) นายทุนพรรคการเมืองรวมจ่ายซื้อเสียงแค่ 710,000 บาท 
  • กรณีที่ 2 จ้างลง 1 เบอร์ อีก 1 เบอร์ เป็นสัมปทานอำนาจที่สู้กัน ก็จะจ่ายเงินซื้อเสียงขั้นต่ำถึง 10,000,000 บาท 
  • กรณีแข่งขันกันอย่างจริงจังทั้ง 3 เบอร์ เพื่อความมั่นใจนายทุนพรรคการเมืองต้องจ่ายเงินลงทุนซื้อเสียงถึง 10,000,000 บาท (10,000 เสียงๆละ1,000 บาท) เช่นกัน แต่หากต้องการอัดฉีดเพื่อให้ชนะคู่แข่งอย่างมั่นใจ อาจต้องเพิ่มเงินซื้อเสียงเป็น 2 เท่า ก็คือ 20,000,000 บาทเลยทีเดียว 
นี่คือวิธีการสัมปทานอำนาจของนายทุนพรรคการเมือง โดยใช้กลยุทธ์การลดต้นทุนในการซื้อเสียงเลือกตั้ง ท่ามกลางความคิดที่ขาดเขลาของประชาชน ที่เลือกตั้งผู้แทนตามเงินขายเสียงที่ได้รับ 

เลือกตั้งคือประชาธิปไตย จริงหรือ? 

ที่ผมเขียนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดมาก จับผิด หรือเพ้อฝันไปเองนะครับ แต่มันเป็นเรื่องจริง เขาคุยกันเรื่องนี้จริงๆ เป็นความคิดของนายทุนพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นจริง เขาคิดแยบยลกว่านี้อีกมากนักแต่ผมอธิบายไม่หมด  ยังมีเรื่องการซื้อขายตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.อบจ.ราชบุรี กันอีก...นี่แหละครับ หนทางเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง


(ขออภัย สำหรับผู้สมัคร  ส.อบจ.ราชบุรี บางท่าน ที่มีอุดมการณ์  และไม่ได้อยู่ในกรณีต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว) 


วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำไม? ไทยต้องถอนทหารจากพื้นที่ ABCD

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2555 ประเทศกัมพูชาจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่และเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก ในโอกาสฉลองครบรอบ 4 ปีการขึ้นมรดกโลกของปราสาทเขาพระวิหาร และครบรอบ 1 ปีที่ศาลโลกมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ไทยและกัมพูชาทำการถอนทหารออกจากพื้นที่ปลอดทหาร (Provisional Demilitarized Zone ; PDZ) สี่เหลี่ยมคางหมู ABCD (ตามภาพด้านล่าง) ซึ่งรัฐบาลไทยก็ยอมตกลงโดยดี 



ฝ่ายไทยส่งกำลังตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปทดแทนกำลังทหาร ฝ่ายกัมพูชาก็เอากำลังตำรวจไปทดแทนเหมือนกัน แต่ดูเหมือนตำรวจเหล่านั้นมีเงื่อนงำพอสมควร เช่น ตำรวจป้องกันพรมแดน (ตชด.ของเขมร) ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจมรดกโลก และกำลังเจ้าหน้าที่องค์การพระวิหาร (ซึ่งเรียกกันว่าตำรวจยูเนสโก) และอาสาสมัคร 

กัมพูชาประกาศว่า การปรับกำลังในครั้งนี้ เป็นข้อตกลงเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2555 ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับนายฮุนเซน ซึ่งในวันนั้นนายกไทยต้องคลานศอกคลานคืบไปเจรจาถึงประเทศกัมพูชา รมต.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบกของไทย ก็เห็นดีเห็นงาม ทำพิธีปรับกำลังทหารในส่วนของไทยในวันนี้ด้วย 

แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มประชาชนคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินออกมาชุมนุมและแสดงความเห็นคัดค้านการตกลงใจของรัฐบาลในครั้งนี้กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพราะเห็นว่าการกระทำของรัฐบาลและทหารไทยครั้งนี้เปรียบเสมือนกับว่า "ไทยได้ยกดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชาไปโดยปริยายแล้ว" 

นักวิชาการ นักกฏหมาย นักประวัติศาสตร์ และอดีตนักการทหารหลายท่าน ก็ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านในเรื่องนี้ แต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่ฟัง ดันทุรังในทุกวิถีทางที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก สนองตอบทุกอย่างตามที่กัมพูชาขอมา การกระทำของรัฐบาลที่ทำให้ประเทศไทยต้องตกเป็นเบี้ยล่างของประเทศกัมพูชามาโดยตลอด ส่อให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของรัฐบาล แต่ผมรู้สึกว่าการเป็นเบี้ยล่างเช่นนี้ รัฐบาลก็รู้ดีมาโดยตลอด แต่ว่าจงใจกระทำ แสดงว่างานนี้น่าจะมีผลประโยชน์อะไรซ่อนเร้นอยู่จริงตามที่หลายคนตั้งข้อสงสัย 

ศาลไทยคุณยังไม่เชื่อ แล้วทีศาลโลกทำไมคุณถึงเชื่อนักหนา 

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 190 วรรค 2 ระบุว่า "หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทย มีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอํานาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออก พระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือ สังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ อย่างมีนัยสําคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว" 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตกลงอะไรสองคนกับนายฮุนเซน  พวกนักกฏหมาย นักวิชาการฝ่ายรัฐบาลทั้งหลายไม่ต้องตีความมากมายเกินไปนักว่า ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ทำไปไม่ใช่หนังสือสัญญา และประเทศไทยไม่ได้เสียอธิปไตยแต่อย่างใด คุณอย่าเป็นศรีธนญชัยจับผิดแค่คำพูด ต้องดูเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญที่เขียนเอาไว้เป็นสำคัญ 

ก็เห็นชัดๆ ว่าในพื้นที่เขตปลอดทหารสี่เหลี่ยม ABCD ในส่วนที่แรเงาด้วยสีเขียว มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนวาดภาพนี้  พื้นที่ของเราชัดๆ  ทำไม? เราต้องถอนทหาร นี่คือความเหนือชั้นในการเดินเกมของกัมพูชา ท่ามกลางความอ่อนด้อยของรัฐบาลไทย และกองทัพไทย ย้ำว่า : พื้นที่สีเขียว คือพื้นที่ของเรา 

ทำไมต้องเป็นวันที่ 18 ก.ค.2555 
คำถามต่อมาก็คือ ทำไมต้องถอนทหารในวันเดียวกันกับที่ประเทศกัมพูชาจัดพิธีเฉลิมฉลองฯ เราจะถอนทหารตอนปลายปีไม่ได้หรือ ทำไมต้องเป็นวันที่ 18 ก.ค.2555 นี่คือคำถามที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็ควรตอบ เช่นกัน 

เลิกพูดได้แล้วว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาระดับสูง เป็นการบริหารจัดการระดับสูง เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ระดับสูง ผมคิดว่าผมก็เรียนตำรามาเล่มเดียวกับท่านขุนทหารทั้งหลาย แต่วันนี้ ท่านเป็นอะไรไป หลายคนก่นด่าการกระทำของเจ้ากระทรวงกลาโหม และเจ้ากองทัพบกไทย หนาหูจนบางครั้งผมอายแทนท่านจริงๆ 

ผมไม่ใช่คนคลั่งชาติ บ้าสงคราม บ้าการสู้รบ แต่ผมเห็นว่า "ประเทศเรากำลังขาดกองทัพที่เข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ" ผนวกกับได้ "นักการเมืองชั่ว" ประเทศไทยจึงเจ็บช้ำอยู่ทุกวันนี้ ทั้งภาคใต้ที่ไม่มีวี่แววว่าจะสงบ และไฟอิสานใต้ก็กำลังจะลุกโชน 



**************************
จุฑาคเชน : 18 ก.ค.2555

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่

วันนี้หยิบหนังสือเล่มเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เรื่อง "การบริหารจัดการในศตวรรษที่ 21" เขียนโดย ปีเตอร์ เอฟ ดรัคเกอร์ เมื่อปี ค.ศ.1999  ตอนท้ายเล่มท่านได้เขียนเกี่ยวกับ "เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่"  ถึงแม้ท่านจะเขียนมากว่า 12 ปีแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทย 

ที่มาของภาพ
http://www.dek-ac.com/knowledge-id27.html
ท่านบอกว่า ผู้บริหารระดับกลางขององค์กรธุรกิจ หรือบรรดาพวกข้าราชการ อาจารย์ หลายคนในสมัยนั้น เริ่มคิดถึงชีวิตการทำงานของตนเอง ตอนอายุประมาณ 30 ปี ชึ่งถือว่าได้ผ่านการทำงานมาแล้วครึ่งชีวิต การจะอยู่ในอาชีพเดิมให้ถึง 40-50 ปี อาจจะยาวนานเกินไปสำหรับพวกเขา พวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย ท้อถอย ไม่รู้สึกสนุกกับงานอีกต่อไป รู้สึก "หมดไฟในการทำงาน" และพวกเขาก็เห็นว่าหลายๆ องค์กรในอดีตกลับต้องล้มหายตายจากไปก่อนที่พนักงานของเขาจะเกษียณอายุ 60 ปีด้วยซ้ำไป 

ความคิดเกี่ยวกับ "เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่" จึงเกิดขึ้น 
คำตอบที่สรุปได้ คือ เขาเหล่านั้นเริ่มมองหาอาชีพที่สองซึ่งแตกต่างไปจากอาชีพเดิม โดยทำเป็นอาชีพคู่ขนานแล้วทุ่มเทและใช้เวลาทำงานในอาชีพคู่ขนานตลอดระยะเวลาที่เหลือของชีวิต  ส่วนพวกที่เคยประสบความสำเร็จในอาชีพแรกของตน เช่น พวกนักธุรกิจ แพทย์ ที่ปรึกษา หรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัย พวกเหล่านี้ก็ยังรักในงานอาชีพแรกของตน เพียงแต่ไม่รู้สึกว่างานนั้นมีความท้าทายอีกต่อไป พวกเขาจะยังคงทนทำงานที่เดิม แต่ก็พยายามให้เวลากับมันน้อยลง แล้วหันไปเริ่มงานใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นงานในองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร หรือไม่ก็เป็นผู้ประกอบการสังคมสงเคราะห์ (Social Entrepreneurs) เป็นต้น 

ผมก็รู้สึกเช่นนั้น 
ตอนนี้ผมเหลือเวลาอีก 9 ปี จะเกษียณอายุราชการ ผมก็รู้สึกว่าอาชีพนี้ มันไม่ท้าทายผมอีกต่อไป ผมมองเห็นภาพตัวผมได้ดีตอนที่ผมเกษียณ เพราะผมมองเห็นคนเกษียณมาทุกปี ยิ่งระบบราชการในสมัยนี้ มันทำให้ผมรู้สึกหมดไฟในการทำงานจริงๆ  นี่กระมังที่ ท่านปีเตอร์ เอฟ ดรัคเกอร์ ได้เขียนเอาไว้หลายสิบปีที่แล้ว 

ปัจจุบันในสังคมไทย ครูหลายคน ทหารหลายนาย ข้าราชการหลายคน เมื่อลูกเต้าเรียนหนังสือจบ หางานทำได้ บำนาญหรือเงินกองทุนสะสมก็มีเพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิต จึงเริ่มลาออกก่อนถึงเวลาที่จะเกษียณอายุราชการ  ผมรู้ว่า เขาลาออกไปเพื่อจะค้นหาชีวิตของตนเองให้เจอ แล้วอยู่กับมันให้มากที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต 

ตอนนี้ผมคงต้องเริ่มเตรียมตัวมองหางานอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้ผมใช้เวลาที่เหลือของชีวิตกับมันได้มากขึ้น ชอบมัน และมีความสุขกับมัน แต่ลูกๆ ยังเรียนกันไม่จบเลย เห็นคงจะต้องรออีกสักพัก ผมจึงจะสามารถออกไปค้นหาตัวเองให้เจอ 

ชีวิตที่เหลือ ผมอยากจะใช้ชีวิตของผมมากกว่าจะต้องหาเลี้ยงชีวิตไปจนแก่ชรา เพราะตอนนี้ก็เกินครึ่งชีวิตมาแล้ว จึงต้องรีบใช้มันซะ 


*************************
ชาติชาย คเชนชล : 28 มิ.ย.2555

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สู่ชนบท ปีที่ 23 ฉบับ 398 ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 หน้า 3