วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เปิดโปงราคาน้ำมันแพง...คนไทยถูกปล้น

รายการสภาท่าพระอาทิตย์ของ ASTV ตอน "ชำแหละน้ำมันแพง...เพราะ?"  ที่เชิญ พ.ท.รัฐเศรษฐ แจ้งจำรัส ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการพลังงานวุฒิสภา และ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี อนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงานวุฒิสภา ได้มาร่วมอธิบายเงื่อนปมความไม่ชอบมาพากลของระบบพลังงานไทย  ซึ่งผมเห็นว่าเป็นภาษาง่ายๆ และเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า "คนไทยกำลังถูกปล้นทรัพยากรของชาติ"  ผมจึงได้นำมาช่วยเผยแพร่อีกทางหนึ่ง ลองเสียเวลาชมหน่อยนะครับ มันเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราควรรู้... 








***********************************

ที่มาข้อมูล
บัวรส  บัวคลี่. (26 มี.ค.2555). สะใจสภาท่าฯ ว่าด้วยพลังงานไทย : ผู้จัดการออนไลน์.http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9550000038189

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทความเนื่องในวันป่าไม้โลก : สาเหตุที่ป่าสวนผึ้งถูกเผา

ป่าไม้ ถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อมนุษย์โลกทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ในปัจจุบันการขยายตัวของประชากรโลกอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้ เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำกิน และลักลอบตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมาก ทำให้พื้นที่ป่าไม้ของโลกลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในแต่ละปีทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น 

เพื่อให้ชาวโลกได้ตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้ และช่วยกันอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ให้ถูกทำลายมากไปกว่านี้ จึงมีการกำหนดให้ทุก ๆ วันที่ 21 มีนาคม เป็น "วันป่าไม้โลก (World forestry day)" ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการปลูกป่าในวันนี้ด้วย

วันนี้...ทั่วโลกเขาคงกำลังปลูกป่ากัน แต่ไม่รู้ป่าที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี บ้านผม...ไฟป่าดับหรือยัง แต่แหล่งข่าวแจ้งมาว่าดับหมดแล้ว หลังจากเริ่มไหม้มาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ก็ยังคงเฝ้าระวังพื้นที่ไม่ให้คนมาแอบจุดอีก  รูปด้านล่างนี้เอามาจากเฟสบุ๊คของคุณบุหลัน  รันตี ซึ่งถ่ายภาพนี้ เอาไว้เมื่อวาน (20 มี.ค.2555) ตอนบ่ายสามโมง




















ไฟป่าสวนผึ้ง...ปริศนาที่ต้องค้น
แหล่งข่าวและชาวบ้านยืนยันแล้วว่า ไฟป่าที่ อ.สวนผึ้ง อ.เมือง จ.ราชบุรี ครั้งนี้ ไม่ใช่ไฟป่าที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ มีคนจ้างให้มาเผา  และขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดออกมาประเมินตัวเลขพื้นที่ป่าที่ได้รับความเสียหายในครั้งนี้อย่างเป็นทางการ  

ที่ราชพัสดุแปลง รบ.553
จ.ราชบุรี มีที่ดินราชพัสดุเนื้อที่รวม 538,117-1-60.34 ไร่ และแปลงที่มีปัญหาการบุกรุกคือ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ รบ.553 เนื่องจากเป็นที่ราชพัสดุแปลงใหญ่ได้มาจากการหวงห้ามที่ดิน ซึ่งมีแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ซึ่งได้กำหนดเอาบางส่วนของบ้านสวนผึ้ง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี (ต่อมาเป็น ต.สวนผึ้ง, กิ่ง อ.สวนผึ้ง และปัจุบันเป็น อ.สวนผึ้ง ตามลำดับ) โดยมิได้ระบุชื่อ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ไว้ในชื่อพระราชกฤษฎีกาด้วย มีเนื้อที่ประมาณ 3,048,750 ไร่

ปัจจุบันเนื้อที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขต จ.กาญจนบุรี และบางส่วนอยู่ในเขต อ.จอมบึง และ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เฉพาะที่ดินภายในเขตที่ได้ห้วงหามส่วนที่อยู่ใน จ.ราชบุรี ดังกล่าว ได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุเป็น "แปลงหมายเลขทะเบียนที่ รบ.553" เนื่อที่ประมาณ 500,000 ไร่

ใครดูแล
ที่ดินราชพัสดุแปลงนี้มีกองทัพบก เป็นส่วนราชการผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ มีหน่วยทหารดูแลคือ กรมการทหารช่าง เป็นหน่วยดูแลใช้ประโยชน์พื้นที่ ประมาณ 239,000 ไร่ กองพลพัฒนาที่ 1 เป็นหน่วยดูแลใช้ประโยชน์พื้นที่ ประมาณ 261,000 ไร่ (เขต อ.สวนผึ้ง ประมาณ 171,000 ไร่ และเขต อ.จอมบึง ประมาณ 90,000 ไร่) จำนวนนี้ครอบคลุมพื้นที่โครงการอุทยานธรรมชาติวิทยาฯ ประมาณ 132,905 ไร่ และเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน ประมาณ 13,500 ไร่ และยังมีส่วนราชการ วัด สำนักสงฆ์ ใช้ที่ราชพัสดุแปลงนี้อีก เช่น โรงเรียน สถานีอนามัย ที่ว่าการอำเภอสวนผึ้ง วัด และแหล่งน้ำหรือสาธารณประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ กรมธนารักษ์โดยจังหวัดราชบุรี ยังได้พิจารณาอนุญาตให้ส่วนราชการต่างๆ เข้าใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าวไปแล้วจำนวนมาก เช่น
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้เป็นที่ตั้ง กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 137 เนื้อที่ 532-1-83.68 ไร่
  • กรมชลประทานใช้เป็นคลองชลประทาน เนื้อที่ประมาณ 284-0-00 ไร่
  • กรมทางหลวง ใช้เพื่อก่อสร้างทางหลวงและที่เก็บวัสดุ เนื้อที่ประมาณ 473-3-37.50 ไร่

แนวทางการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ
กรมธนารักษ์ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อรวบรวมข้อมูลและเสนอแนวทางในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว ซึ่งคณะทำงานฯ ได้กำหนดแนวทางและขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดิน โดยได้กำหนดพื้นที่ที่จะดำเนินการ คือ พื้นที่ที่ได้มีการสำรวจรังวัดและทำแผนที่กายภาพไว้แล้ว เมื่อปี พ.ศ.2538 โดยจะทำการปักหลักเขตตามแผนที่กายภาพปี 2538 ให้เห็นชัดเจน และจะทำงานในลักษณะบูรณาการกับกองทัพบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับขั้นตอนการดำเนินการจะทำการแบ่งกลุ่มผู้ครอบครองที่ดินเป็น 3 กลุ่ม คือ
  • กลุ่มผู้ขอเช่าใหม่ (อยู่อาศัย/การเกษตร) ก็จะทำการตรวจสอบรังวัดจัดทำแผนที่พิจารณาพื้นที่ว่าอยู่ในหลักเกณฑ์การจัดให้เช่าหรือไม่ กำหนดอัตราค่าเช่าตามวัตุประสงค์ และเสนอขออนุมัติ/จัดทำสัญญา
  • กลุ่มผู้เช่าเดิม ก็จะต้องทำการตรวจสอบการใช้ประโยชน์ หากพบว่าครอบครองภายในเขตเช่าก็จะตรวจสอบการใช้ก็จะตรวจสอบการใช้ประโยชน์ว่าถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากครอบครองเกินเขตเช่าก็จะต้องปรับพื้นที่ลดลงมาให้ถูกต้องเป็นไปตามสัญญาเช่า หรือหากพื้นที่เช่าไม่ถูกหลักเกณฑ์ เช่น อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำหรือความลาดชันเกิน 35% ก็จะต้องลดเนื้อที่เช่าหรือระงับการต่อสัญญาเช่า
  • กลุ่มรีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
    • กลุ่มที่จัดให้เช่าแล้ว จะต้องตรวจสอบและกำหนดอัตราค่าเช่าให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์
    • กลุ่มที่ยังไม่ได้เช่า กลุ่มนี้ยังแยกได้เป็น 2 กรณี คือ
      • กรณีที่ 1 ยินยอมยื่นคำร้องขอเช่าก็จะดำเนินการตรวจสอบรังวัดทำแผนที่ พิจารณาหลักเกณฑ์การเช่า กำหนดอัตราค่าเช่า และเสนออนุมัติ/จัดทำสัญญาเช่า
      • กรณีที่ 2 ไม่ยินยอมเช่า ก็จะดำเนินการรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีต่อไป


ใครจะได้ประโยชน์จากการเผาป่าสวนผึ้ง
ที่ต้องนำเนื้อหาความเป็นมาของที่ราชพัสดุ รวมทั้งผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในที่พื้นที่มาให้ทราบพอสังเขป ก็เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการคิดต่อไปว่า "ใครจะได้ประโยชน์จากการเผาป่าสวนผึ้ง" จากการพูดคุยสนทนากับชาวบ้านและผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่บางท่าน พอจะอนุมานได้ว่าสาเหตุที่มีการเผาป่าสวนผึ้ง น่าจะมาจากสาเหตุต่างๆ เหล่านี้ คือ
  1. ต้องการให้พื้นที่ป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์หรือเป็นป่าต้นน้ำ กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม หลังจากนั้นจึงทำเรื่องขอเช่าพื้นที่เพื่อทำประโยชน์ต่อไป  เช่น การสร้างรีสอร์ทขนาดใหญ่ การขยายพื้นที่ทำกิน  เป็นต้น
  2. พื้นที่ป่าที่ถูกเผาเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันทั้งฝั่งชายแดนไทยและฝั่งพม่า อย่างมีนัยสำคัญ อาจสอดคล้องกับพื้นที่ที่จะมีการพัฒนาเป็นจุดผ่อนปรนตามแนวชายแดนในอนาคต  หากบริเวณพื้นที่โดยรอบเหล่านี้เป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว การขอเช่าทำประโยชน์ก็จะทำได้ง่ายขึ้น
  3. ด้วยเหตุที่ทางราชการเอาจริงเอาจังกับเรื่องการบุกรุกที่ดินราชพัสดุ ทำให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่บางคนบางกลุ่มเกิดการต่อต้าน เพราะเสียผลประโยชน์จากการเก็บค่าภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย
  4. เผาเพื่อต้องการงบประมาณในการฟื้นฟูป่ามาลงในหน่วยงานของตนเอง เพื่อจะได้คอรัปชั่น โกงกินกันต่อไป   
  5. ?????
ขอสงวนสิทธิ์ถึงสาเหตุที่กล่าวมานี้ เพราะเป็นแค่เพียงการอนุมาน ผู้อ่านไม่ควรนำไปเป็นข้อมูลในการกล่าวอ้างใดๆ จนกว่าเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง จะทำการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้จนเป็นที่เรียบร้อย

วันนี้ วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันป่าไม้โลก แทนที่ป่าสวนผึ้งจะมีกิจกรรมปลูกป่า กลับกลายเป็นว่าชาวบ้านนักอนุรักษ์และเจ้าหน้าที่บางส่วน ต้องเสียสละเวลาจัดเวรยามมาเฝ้าระวังรักษาป่า ไม่ให้มี "ผู้ใดกล้ามาจุดไฟเผาอีก" ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งในวันป่าไม้โลกในวันนี้ ขอชื่นชมทุกๆ ท่าน ด้วยจิตคารวะ

ภาพไฟไหม้ป่าที่สวนผึ้ง















***************************
จุฑาคเชน : 21 มี.ค.2555

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประเทศไทยของเรา..กำลังย่ำเท้าหรือก้าวเดิน?

คณะปฏิรูปในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ให้เหตุผลในการก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้ม “รัฐบาลพรรคไทยรักไทย” ของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ว่า
  1. การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
  2. การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบ และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องอย่างกว้างขวาง
  3. มีพฤติกรรมแทรกแซงอำนาจขององค์กรอิสระ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ หรือแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติให้ลุล่วงไปได้
  4. รวมทั้งการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองบางโอกาส ยังหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นต่อพระบรมเดชานุภาพฯ ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนชาวไทย
ผ่านมาแล้ว 6 ปี เหตุผลทั้ง 4 ข้อนี้ หนักยิ่งกว่าเดิม แสดงว่าประเทศไทยของเราไม่ได้ก้าวเดินไปไหนเลย แถมกลับก้าวถอยหลังลงไปอีก  น่าเสียดายเวลา ...6 ปีที่เหมือนสูญญากาศ....


ที่มาของภาพ
http://www.ignite.in.th/
วันนี้ท่าทางประเทศไทยจะไปไม่รอด นายกยิ่งลักษณ์ฯ และพรรคเพื่อไทย จะกดขี่ขูดเลือดขูดเนื้อประเทศไทยไปอีกนาน นช.ทักษิณ ชินวัตร จะได้กลับบ้านโดยไม่มีมลทิน แถมยังได้ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดกลับคืน ดร.เสรี วงษ์มณฑา เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ นี่จะอยู่อีกนาน อาจนานกว่าสมัยพี่ชายนายทักษิณฯ ด้วยซ้ำไป  ผมจึงขอนำบางส่วนมาบอกเล่าขยายความเพิ่มเติมต่อยอดเพื่อให้เห็นกันชัดๆ อีกทีว่า "เป็นเพราะอะไร"

ทหารจะไม่กล้าปฏิวัติหรือรัฐประหารอีก 
เพราะสิ่งที่เคยทำมาเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นผลงานที่ฟ้องได้ชัดเจนว่า การรัฐประหารในครั้งนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหตุผล 4 ข้อที่อ้างไว้ได้เลย แถมวันนี้กลับหนักข้อยิ่งกว่าเดิม ผู้นำกองทัพในสถานการณ์ปัจจุบันจึงเกิดความไม่มั่นใจว่า ประชาชนจะสนับสนุนหรือไม่ ประกอบกับทางพรรคเพื่อไทย เล่นเกมนำพากลุ่มกองกำลังเสื้อแดงมาชุมนุมใหญ่ (ที่โบนันซ่า) แสดงแสนยานุภาพให้เห็น เพื่อปรามกองทัพไว้ก่อนว่า "อย่าทำ"

สื่อที่เคยเป็นหลักถูกซื้อไว้หมดแล้ว
สื่อทั้งของรัฐและเอกชนที่เป็นสื่อหลักของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ ฯลฯ  ล้วนถูกครอบงำกว้านซื้อเพื่อเป็นกระบอกเสียงฉายภาพสร้างผลงาน และสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลหมดแล้ว เข้าข่ายสร้างกงจักรให้ประชาชนเห็นเป็นดอกบัว คงเหลือสื่ออีกไม่กี่สำนัก ที่ยังคง ขุด เจาะ ล้วง ลึก ค้นหา และตีแผ่ข้อเท็จจริง ความชั่วร้ายต่างๆ ของรัฐบาลมาเผยแพร่ให้แก่ประชาชน

ข้าราชการเอาตัวรอด
โครงสร้างอำนาจของข้าราชการถูกทำลายมานานกว่า 10 ปี แล้วจากน้ำมือของ นช.ทักษิณ ชินวัตร  โดยการเอาเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มพิเศษต่างๆ มาฟาดหัวหลอกหล่อ ข้าราชการเคยเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งด้วยฝีไม้ลายมือ  กลับกลายต้องวิ่งเต้นแย่งชิงตำแหน่งกันเอง ทำงานแบบปากกัดพี่ ตีนถีบน้อง หาทางลัดขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยการเข้าหานักการเมือง  ข้าราชการที่เคยเป็นองคาพยพหลักสำคัญของบ้านเมืองมาแต่ไหนแต่ไร  แต่ถึงวันนี้แล้วล้วนเอาตัวรอดกันทุกคน  ดังนั้นข้าราชการเหล่านี้จึงไม่คิดที่จะขัดขวางการกระทำชั่วใดๆ ของรัฐบาลเป็นอันขาด

ฝ่ายค้านไม่มีพวก
วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ถึงแม้จะออกมาซักฟอก ตีแผ่ความไม่ชอบมาพากล และความชั่วร้ายของรัฐบาลอย่างเข้มข้นในหลายเรื่อง  แต่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน และกลุ่มพลังต่างๆ ที่ออกมาต่อต้านและคัดค้านรัฐบาลอย่างจริงใจ เพราะยังไม่ค่อยไว้วางใจต่อท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์เท่าใดนัก อำนาจต่อรองและกระแสของฝ่ายค้านจึงไม่มีพลังพอที่จะไปโค่นล้มรัฐบาลได้

ประชาชนไม่มีผู้นำ
ผมว่าประชาชนส่วนใหญ่ (แม้แต่ใน 15 ล้านเสียงที่พรรคเพื่อไทยชอบอ้างนั้นก็ตาม) เขาเริ่มรู้ความจริงแล้วว่า รัฐบาลนี้กำลังจะทำชั่วอะไร หวังดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองจริงหรือปล่าว มันกำลังจะเปลี่ยนประเทศไทยเป็นอะไรในอนาคต

กลุ่มพลัง กลุ่มเสื้อสี กลุ่มพันธมิตร กลุ่มสถาบัน กลุ่มวิชาการ กลุ่มองค์กร กลุ่มโซเซียลมีเดียต่างๆ ฯลฯ ที่ออกมาต่อต้านและคัดค้านการกระทำของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่กลับไม่มีพลังอำนาจอันใด เพราะขาดผู้นำที่จะรวมกลุ่มเหล่านี้ ให้รวมกันต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรม เฉกเช่นกับไม้ซีกหากไม่นำมามัดรวมกัน ไฉนเลยจะงัดไม้ซุงได้ 

วันนี้...รัฐบาลจึงเหิมเกริม  ถือว่าเป็นฝ่ายบริหารและมีเสียงข้างมากในสภา อยากจะทำอะไรก็ทำได้ ทั้งที่รู้ว่ามันผิดกฏหมาย ผิดศีลธรรม ผิดจริยธรรม ผิดจารีตประเพณี ละเมิดจรรยาบรรณของการเป็นผู้บริหารบ้านเมืองที่ดี  ชอบอ้างแต่ประชาชน 15 ล้านคน 15 ล้านเสียง (ที่เห็นผิดเป็นชอบ) จับเป็นตัวประกันใช้เป็นข้ออ้างเพื่อจะได้ปล้นชาติบ้านเมืองอย่างชอบธรรม

ปี พ.ศ.2558 เราจะเข้าเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยน (AEC) แล้ว
น่าอิจฉา..ที่ประเทศอื่นๆ ทั้ง 10 ชาติ กำลังมุ่งมั่นพัฒนาประเทศของเขาอย่างจริงจัง
แต่ประเทศไทยเราวันนี้  กำลังย่ำเท้า แถมมีแนวโน้มว่าจะก้าวถอยหลังอีกต่างหาก

เมื่อไหร่นักการเมืองจะพาประเทศเดินหน้าเสียที


**************************
จุฑาคเชน : 20 มี.ค.2555

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

การปลูกป่า...อย่าให้เป็นเพียงไฟไหม้ฟาง

กระแสข่าวเรื่องการปลูกป่านี้ กำลังเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานต่างออกมาสนองตอบต่อกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อให้เป็นพื้นที่ซับน้ำ ชะลอน้ำและรักษาพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยได้น้อมนำมากำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการบริหารจัดการน้ำที่ใช้เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท

ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ครับที่ผู้หลักผู้ใหญ่ หันมาใส่ใจในเรื่องนี้ แต่ขอให้จริงจังด้วยนะครับ อย่าเป็นเพียงไฟไหม้ฟาง การปลูกป่านี้ต้องมีการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องว่าป่าหรือต้นไม้ที่เราปลูกนั้นมันโต มันรอดหรือปล่าว ไม่ใช่หลังพิธีวันปลูกป่า พอสัปดาห์ต่อมา ต้นไม้ก็ตายหมด

คนรักต้นไม้ ชอบปลูกต้นไม้ นี้เป็นลักษณะนิสัยส่วนบุคคลของแต่ละคน คนพวกนี้จะรักและสนใจดูแลต้นไม้อย่างจริงจัง ดังนั้นการจะปลูกป่าให้รอด ต้องหาคนรักป่า รักต้นไม้ ทำหน้าที่คอยดูแล ยิ่งต้นไม้ใหญ่ๆ นั้นกว่าจะโต กว่าจะรอดต้องใช้เวลาหลายสิบปี ไม่ใช่เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ระวังงบประมาณที่ใช้ในการปลูกป่าจะกลายเป็นแค่งบประมาณในการสร้างภาพไป

ในค่ายทหารและพื้นที่ฝึกของทหารตั้งแต่ผมรับราชการมาก็กว่า 20 ปีแล้ว อย่างน้อยมีกิจกรรมปลูกป่าปลูกต้นไม้ อย่างน้อยก็ปีละ 2 ครั้ง คือวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ ของทั้งสองพระองค์ หากวันนี้ต้นไม้ที่ปลูกทุกๆ ปีมันโตหมด ค่ายทหารและพื้นที่ฝึกของผมจะกลายเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปหมดแล้ว หากแต่ว่าส่วนใหญ่มันตายหมด เพราะขาดคนดูแลอย่างจริงจัง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งเร่งรัดให้มีการปลูกป่าในหน้าแล้งนี้ด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ แล้วมันจะรอดไหมเนี่ย.. โปรดใช้ความรู้ที่มีและวิจารญาณหน่อยนะครับถึงความเป็นไปได้ที่มันจะรอด เสียดายงบประมาณจำนวนมาก  นักการเมืองและข้าราชการทั้งหลายก็ต้องดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ที่ปลูกอย่างจริงจัง  อย่าแค่เพียงสร้างภาพ สร้างกระแส ถ่ายรูปรายงานเป็นผลงานเท่านั้น


********************
จุฑาคเชน : 19 มี.ค.2555

กางเขนสอยลิ้นจี่


เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2555 ผมเผอิญไปธุระที่บ้านสวน ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นฤดูที่ลิ้นจี่กำลัง ออกผลเต็มต้น แต่ยังไม่แก่ดีนัก ชาวสวนบอกว่าปีนี้ ลิ้นจี่ไม่ค่อยดกนัก เพราะอากาศมันร้อนจัด

ก่อนจะถึงฤดูสอยลิ้นจี่ ชาวสวนจะต้องเตรียมเครื่องมือชนิดหนึ่งไว้ใช้สอยลิ้นจี่ ซึ่งเรียกว่า "กางเขน" ทำมาจากลำไม้ไผ่ นำมาเจาะรูเป็นระยะๆ ห่างพอปีน แล้วเสียบไม้ขนาดประมาณ 1 ศอก ที่หลาวมาจากต้นหมาก (ที่ใช้กินกับพลู) เป็นคล้ายบันไดลิง แต่มีแกนเดียว (ดูรูปประกอบ)

เวลาใช้งานก็นำไปพาดไว้กับต้นลิ้นจี่ โยงยึดป้องกันการล้มด้วยเชือกสองเส้นหรือสามเส้นตามแต่พื้นที่ แล้วคนสอยก็จะปีนกางเขนขึ้นไปเก็บผลลิ้นจี่

กางเขนนี้ จะมีผู้รับทำซึ่งเป็นชาวสวนด้วยกันเองที่มีฝีมือทางช่างไม้ แล้วชาวสวนก็จะมาสั่งซื้อไปเป็นของตัวเอง กางเขนบ้างก็ยาว 4 วา บ้างก็ยาว 5 วา แล้วแต่ว่าต้นลิ้นจี่นั้นจะสูงแค่ไหน ราคา 4 วาก็ประมาณ 500 บาท 5 วาก็ประมาณ 700 บาท

กางเขนที่ทำเสร็จแล้ว
สิ่งสำคัญของกางเขนนี้ก็คือ ความตรงของลำไม้ไผ่ และระยะห่างของปล้องไม้ไผ่แต่ละปล้อง หากแต่ละปล้องยาวเกินไปจะทำให้ผู้ปีน ต้องก้าวเท้ายาวขึ้น เพราะการเจาะรูสำหรับใส่ไม้หมากที่ใช้เหยียบต้องเจาะรูให้อยู่เหนือข้อของปล้องไม้ไผ่พอดี เพื่อจะได้แข็งแรง พอทำเสร็จแล้ว ก่อนที่ผู้สั่งจะมารับ ต้องเก็บกางเขนไว้ในร่ม หากตากแดดแล้ว ไม้ไผ่จะแห้งและแตก ความแข็งแรงก็จะลดลงไป

สมัยก่อนชาวสวนก็จะใช้กางเขนนี้สอยลิ้นจี่กันเอง สวนใครสวนมัน ระดมญาติพี่น้องมาช่วยกันสอย แขกกันไปมาระหว่างสวนของเครือญาติกันเอง แล้วนำมาคัดแยกมัดรวมเป็นกำเพื่อขายให้พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อต่อไป แต่เดี๋ยวนี้ สวนลิ้นจี่ที่อัมพวา เหลือแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มๆ สาวๆ ต่างทิ้งสวนไปทำงานในเมืองกันหมด บ้างก็ทำงานโรงงาน บ้างก็ทำงานบริษัทฯ การสอยลิ้นจี่ด้วยกางเขนนี้ต้องใช้ผู้ที่แข็งแรงพอสมควร ชาวสวนสมัยนี้จึงต้องใช้วิธีจ้างแรงงานมาสอย โดยเฉพาะแรงงานจากภาคอีสาน ค่าจ้างต่อวันสอบถามว่า ในปีนี้จะคิดประมาณ 450-500 บาท ต่อวัน นับว่าเป็นค่าแรงที่ค่อนข้างสูงพอสมควร

ปีนี้ร้อนจัด ลิ้นจี่ก็ไม่ดก บางต้นไม่ติดผลเอาเลย ไหนจะต้องจ้างค่าแรงแพงในการสอย ราคาที่พ่อค้าคนกลางจะมารับซื้อก็ไม่รู้ว่าจะได้ราคาสักเท่าไหร่ ....

ด้วยเหตุนี้เองกระมัง ที่บรรดาหนุ่มสาว
จึงพากันทิ้งสวนลิ้นจี่ หนีเข้าเมืองกันจนหมด















**********************
ชาติชาย คเชนชล : 17 มี.ค.2555







วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

ถึงเวลา "ทิ้งโรงงาน กลับสู่ท้องนา" หรือยัง

สองสามวันมานี้ ผมคิดว่ามีประเด็นสำคัญอยู่ 2 เรื่อง ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของคนไทยได้เป็นอย่างดี จากเรื่อง "การพึ่งพาผู้อื่น" กับ "การพึ่งพาตนเอง"  ทั้งสองประเด็น ทำให้ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะหันมานั่งทบทวนกันว่า "อนาคตประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร จะใช้เข็มทิศยี่ห้อไหนมานำทาง"

เรื่องแรก-พึ่งพาผู้อื่น
น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องเดินทางไปพบกับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เพื่อสร้างความมั่นใจให้เขากลับมาลงทุนในประเทศไทยอย่างเดิม ไม่ทิ้งไม่ย้ายโรงงานและฐานการผลิตอุตสาหรรมไปยังประเทศอื่น หลังจากที่ต้องเสียหายอย่างหนักกับมหาอุทกภัยเมื่อปลายปี พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา รัฐบาลต้องกู้งบประมาณหลายแสนล้านเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเหล่านี้ว่า "น้ำจะไม่ท่วมอีก"

เหตุการนี้แสดงให้เห็นถึง "ประเทศไทยต้องพึ่งพานักลงทุนต่างชาติ"  ไม่อย่างนั้นบรรดาคนไทยจะพากันตกงานและไม่มีงานทำกันอีกมากนับแสนคน อัตราคนว่างงานจะสูงขึ้น ตามมาด้วยผลกระทบด้านลบเชิงเศรษฐกิจและสังคมเป็นลำดับต่อมา

เรื่องสอง-พึ่งพาตนเอง
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยคุณพิภพ ธงไชย ได้เสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศไทยใหม่ (ในที่ประชุม พธม.เมื่อ 10 มี.ค.2555 ณ สวนลุมพินี) โดยเสนอให้น้อมนำ "พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งโครงการตามแนวพระราชดำริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ"  มาเป็นต้นแบบในการปฏิรูปประเทศ  แล้วจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทยขึ้นมายกร่างตามแนวทางของพระองค์ฯ ท่าน

แนวคิดเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า ในอนาคต "ประเทศไทยควรจะพึ่งพาตนเอง ด้วยรากเหง้าที่มีอยู่คือ เกษตรกรรม"   เพราะนั่นคือสิ่งที่ในหลวงฯ ทรงสอนและทรงกระทำไว้ให้พวกเรา ได้ดู ได้เห็นเป็นตัวอย่างจำนวนมากมายหลายประการ

ถึงเวลา "ทิ้งโรงงาน กลับสู่ท้องนา" หรือยัง
ผมว่ามันคงยาก เพราะหนุ่มสาวโรงงานเหล่านี้เคยตัวกับชีวิตสมัยใหม่ไปแล้ว หากจะหวนคืนกลับสู่ท้องไร่ ท้องนา ที่เป็นรากเหง้าของตนเอง คงไม่ง่ายนัก ความหวังของหนุ่มสาวเหล่านี้ แค่ต้องการหลีกหนีจากอาชีพ "เกษตรกร" มาเป็น "พนักงานโรงงาน" "พนักงานบริษัทฯ"  "เป็นมนุษย์เงินเดือน"  พวกเขาจึงมุ่งเข้าสู่เมืองกรุงมาหางานทำเพื่อต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น

แต่วันหนึ่ง หากนักลงทุนต่างชาติทั้งหลาย เขาไม่กลับมาตั้งโรงงานแล้ว คงจะเป็นเวลาที่หนุ่มสาวโรงงานทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องหวนคืนสู่ท้องไร่ ท้องนา สู้รากเหง้าของตัวเองดังเดิม 

"ในน้ำยังมีปลา ในนายังมีข้าว และกำลังรอพวกเจ้าอยู่"  

ในหลวงฯ ทรงสอนให้พวกเรารู้จักการพึ่งพาตนเอง รู้จักความพอเพียง รู้จักรากเหง้าของตนเอง  มานมนานแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อฟังและน้อมนำมาปฏิบัติฯ แม้แต่รัฐบาลปัจจุบันของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ เอง ก็ปฏิบัติสวนทางอย่างสิ้นเชิง 

ประเทศไทยจะรอดพ้นจากการล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจของบรรดาเหล่านายทุนสามาลย์ข้ามชาติได้นั้น เราต้องใช้เข็มทิศที่ชื่อว่า "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" มานำทางและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศไทย    


******************
จุฑาคเชน : 11 มี.ค.2555

รำพึงถึงรัฐบาลฯ ยิ่งลักษณ์

ผมไปอ่านบทความของคุณเปลว สีเงิน เขียนไว้ในไทยโพสต์ออนไลน์ ไว้เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2555 เรื่อง "ยิ่งลักษณ์ "ผู้แสนรัก-แสนสงสาร"" ในท้ายบทความมีท่านหนึ่งที่ใช้ชื่อเฟสต์บุ๊คว่า "Jirakanya Jalayana" โพสต์บทรำพึงเกี่ยวกับพฤติกรรมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ  อ่านแล้วมองเห็นภาพครับ เลยช่วยนำมาเผยแพร่ไว้ที่นี่อีกครั้ง ลองอ่านดูครับ เอาไว้แก้เซ็ง เวลาเบื่อรัฐบาลและนักการเมือง

เอานกแก้วมาเป็นนายก... เอาตลกมาเป็นเลขา
เอาหมามาเป็นองครักษ์... เอาขี้กลากมาเป็น รมช.
เอาพวกสอพลอมาดูแลประเทศ... เอาพวกเปรตมาบงการตลาดหุ้น
เอาพวกนายทุนมาล้วงฟลัดเวย์...เอาพวกเห้มาจัดการน้ำ
เอาพวกระยำมาหมิ่นในหลวง... เอาพวกหัวกลวงมาคุมงบประมาณ
เอาอันธพาลมาคุมตำรวจ... เอาปลาจวดมาคุมทีวี
เอาพวกอัปรีย์มาคุมวิทยุชุมชน... เอาพวกโจรมาเป็นใหญ่
เอาพวกเลียไข่มาเป็นผู้ช่วย... เอาพวกเฮงซวยมาบริหาร
เอาพวกจัณฑาลมาสร้างภาระ... เอาพวกสวะมาเป็นโฆษก
เอาพวกนรกมาทำแผ่นดินทรุด... เอาอมนุษย์มาหนักแผ่นดิน
เอาพวกโกงกินมาเป็นใหญ่...  เอานังจานไรมาคอยเอาอยู่
เอานังปู๋มาคอยเอ้ออ้า... เอาพวกสมองหมามานั่งหาว
เอาหงอกหัวขาวมาจัดค่าทริป...  เอาหน้าปี๊บมาบงการประเทศ
เอาพวกเด็จพี่มาคอยแก้ข่าว... เอา ดร.ขี้เมามาเขียนกฎหมาย
เอาพวกควายมากินงบ... เอาพวกประจบมาหาข้อมูล
เอาอสูรมาครองประเทศ... 
อาเพศเลยเกิดทั้งแผ่นดิน...
เคยโพสต์ครั้งนึงแล้ว...แต่คราวนี้เปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ค่ะ
(ข้อความของคุณ Jirakanya Jalayana ผู้โพสต์)



*******************************

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประเทศไทย...กับอาถรรพ์เลข 13

ผมชอบอ่านบทความในเฟสบุ๊คของคุณ Boon Palagap  ซึ่งมักโพสต์ต่อท้ายบทความของคุณเปลว สีเงิน ในไทยโพสต์ออนไลน์ให้อ่านเป็นประจำทุกวัน ซึ่งบทความที่ท่านเขียนมักให้แง่คิดมุมมองที่แปลกใหม่กับสังคมไทย

วันนี้ผมไปอ่านบทความที่ท่านเขียนตามปกติ ในตอนหนึ่งได้เขียนเกี่ยวกับ "อาถรรพ์เลข  13" ที่เผอิญสอดคล้องกับเหตุการณ์สำคัญหลายครั้งหลายคราของประเทศไทย จึงนำมาบันทึกไว้ในบล็อกนี้อีกทางหนึ่งเพื่อเป็นความรู้ประดับสมอง (แต่ก็อย่างเชื่ออะไรมากเกินไปนัก) ลองอ่านดูนะครับ

ความรู้ก่อนอ่าน
ผู้กำหนดให้ใช้จุลศักราช คือ พระยากาฬวรรณดิศ เมื่อคราวประชุมกษัตริย์ในล้านนา จุลศักราชถูกนำมาใช้แพร่หลายทั้งในอาณาจักรล้านนา อาณาจักรสุโขทัยสมัยหลัง และอาณาจักรอยุธยา ในสมัยของพระเจ้าปราสาททอง จุลศักราช 1 ตรงกับ พุทธศักราช 1182 ดังนั้น การเทียบเปลี่ยนจุลศักราช (จ.ศ.) กับพุทธศักราช (พ.ศ.) คือ
  • พ.ศ. = จ.ศ. +1181
  • จ.ศ. = พ.ศ. – 1181

เรื่องน่าสนใจของประเทศไทย...กับอาถรรพ์เลข 13
  • เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1  พ.ศ.2112 ตรงปีจุลศักราช  931  หากนำตัวเลข จ.ศ.มาบวกกัน จะได้เลข 13 พอดี (9+3+1=13)
  • เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ.2310 ถูกเผาบ้านเมืองย่อยยับพังพินาศ ตรงกับปีจุลศักราช 1129 หากนำตัวเลข จ.ศ.มาบวกกัน จะได้เลข 13 พอดี (1+1+2+9 =13)
  • กรุงเทพมหานครฯ เมื่อปี พ.ศ.2553 โจรไพร่ ใจอุบาทว์ ระดมไพร่พล มาเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง ซึ่งตรงกับปีจุลสักราช 1372 หากนำตัวเลข จ.ศ.มาบวกกัน จะได้เลข 13 พอดี  (1+3+7+2 =13)
  • และในรอบ 100 ปี ปี พ.ศ.2555 นี้ มีวันศุกร์ที่ 13 จำนวน 3 วัน คือ  13 มกราคม, 13 เมษายน, 13 กรกฎาคม พ.ศ.2555  ซึ่งวันที่ 13 เมษายน นี้ตรงกับวันมหาสงกรานต์พอดี  

ข้อคิดเกี่ยวกับเลข 9
ลองเอาตัวเลข จ.ศ.เหตุการณ์สำคัญที่กล่าวมาลบกันดูบ้าง
  • เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 (จ.ศ.1129 ) - เสียงกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 (จ.ศ.931)
    • 1129-931 = 198
    • เอาผลลัพธ์มาบวกกัน  1+9+8 = 18
    • เอาผลลัพธ์มาบวกกัน  1+8 = 9
  • ไพร่แดงเผาเมือง (จ.ศ.1372) - เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 (จ.ศ.1129)
    • 1372-1129  = 243
    • เอาผลลัพธ์มาบวกกัน 2+4+3 = 9
  • ไพร่แดงเผาเมือง (จศ. 1372) - เสียงกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 (จ.ศ.931)
    •  1372-931 = 441
    • เอาผลลัพธ์มาบวกกัน  4+4+1= 9

จะมีนารีสูงศักดิ์ มากอบกู้บ้านเมือง
บทความทิ้งท้ายของคุณ Boon Palagap กล่าวไว้ว่า ".... เราจะเห็นความบังเอิญ ที่ไม่ว่าจะเอาเหตุการณ์ใดมาบวกกัน ก็จะได้ 13 แต่เมื่อเอามา - ลบออกจากกัน ก็จะมาลงตัวเดี่ยวๆ ที่เลข(9) ...พระศาสดาของเรา ทรงสอนว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมาแต่เหตุ เกิดจากเหตุและผล ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้น โดยบังเอิญ ... ศาสนาพุทธเราจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด ... ผมไม่ทำนายหรอกครับ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ หรือภายในปีนี้ ....ที่พระท่านทำนายกันว่า  "จะมีนารีสูงศักดิ์ มากอบกู้บ้านเมือง" ... ผมทราบแต่เพียงว่า นารีผู้นั้นไม่ใช่คนที่ชื่อปู (POO= CRAB) คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างแน่นอน ... สวัสดีครับ ..."

เรื่องเกี่ยวกับทะเล
พ.ศ.2553 - ประเทศไทยผจญกับ "ทะเลเพลิง"
พ.ศ.2554 - ประเทศไทยผจญกับ "ทะเลสาบ"
พ.ศ.2555 - ประเทศไทยจะผจญกับ "ทะเลทราย"  (ความคิดของผมเองครับ) ประชาชนจะแห้งตายกับภาวะข้าวยากหมากแพงและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประชาชนจะถูกกดขี่ขูดรีดด้วยภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวงเพื่อส่งไปให้รัฐบาลและนายทุนพรรคการเมือง ผืนป่าจะถูกจุดไฟเผาผลาญจนเหี้ยนเตียน หมอกควันจะปกคลุมทั่วพื้นที่ ทรัพยากรของประเทศจะถูกแย่งชิงและยึดครอง ฝนจะแล้ง ประชาชนจะขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค  และทำเกษตรกรรม 
    

*******************************
จุฑาคเชน : 5 มี.ค.2555

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

สวนผึ้งกำลังร้อนและเจ็บจากเพลิงในใจของมนุษย์...อาสาคนสู้ไฟ


ที่มาของภาพ Wa Thetrekman










"ลูกจ๋าเดี๋ยวพ่อกลับ ลูกนอนหลับเป็นเพื่อนแม่
การบ้านอย่าเชือนแช  ผิดรีบแก้เดี๋ยวครูตี
พ่อไปในราวป่า  ดับไฟบ้าอย่างอแง
เข้มแข็งใจแกร่งแท้ มีเผื่อแผ่ถึงผืนไพร"

นี่คือบทกลอนของพี่โต้งบนเฟสบุ๊คส่วนตัว ในนาม "บุหลัน รันตี" นักเขียน และนักอนุรักษ์ชื่อดังแห่งผืนป่าดิบสวนผึ้งราชบุรี  ท่านได้เริ่มโพสต์เรื่องไฟป่าที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี มาตั้งแต่ประมาณวันอังคารที่  28 ก.พ.2555 ที่ผ่านมา และได้ระดมชาวบ้านกลุ่มรักษ์เขากระโจม รวมทั้งเพื่อนๆ  ที่มีจิตอาสา ช่วยกันดับไฟป่าเกือบทุกวันแต่เพียงลำพัง โดยไม่เห็นกำลังพลจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขุนทหารทั้งหลายที่อยู่ดูรักษาแลพื้นที่อยู่มาร่วมด้วยช่วยกันดับไฟป่าครั้งนี้ แต่เลยสักคนเดียว     

คืนวันที่ 29 ก.พ.2555 ที่พื้นที่ บ.ผาปก อ.สวนผึ้ง  เกิดไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ดูแล้วน่ากลัวมาก อั๋น..น้องชายคนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ ได้ถ่ายรูปไฟป่าโพสต์เอาไว้เฟสบุ๊ค เลยขออนุญาตเอามาแบ่งปันไว้ในบันทึกนี้อีกครั้งหนึ่ง



วันนี้...บุหลัน รันตี กำลังต้องการความช่วยเหลือ
ผมในฐานะที่เคยได้รับถ่ายทอดภูมิรู้จากพี่โต้ง (บุหลัน รันตี) เคยได้รับมอบหนังสือที่ท่านเขียนพร้อมลายเซ็นต์จากมือของท่าน  เคยได้เดินป่าและร่วมอนุรักษ์กับท่าน  และผมมีส่วนที่เปิดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวสวนผึ้งจนทำให้..สวนผึ้ง...เขาต้องเจ็บช้ำและถูกทำลายอยู่ในขณะนี้  บุหลัน รันตี ไม่เคยร้องขอจนกว่าจะถึงคราจำเป็นจริงๆ  แต่ครั้งนี้คงหนักหนาสาหัสนัก จนพี่โต้งต้องเขียนไว้ในเฟสบุ๊คว่า 

"เนื่องด้วยสถานการณ์ไฟป่า อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี มีความรุนแรงต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น พวกเรากลุ่มรักษ์เขากระโจม "อาสาดับไฟป่า" ได้ปฏิบัติภารกิจต่อเนื่องยาวนานมากว่า 10 ปี ซึ่งก็สามารถควบคุมไฟป่าได้ตลอด แต่มาปีนี้ปัญหาความยุ่งเหยิงในพื้นที่ เป็นสาเหตุหลักของการจุดไฟเผาป่าเพื่อยื่นเรื่องขอเช่าที่ดินเสื่อมโทรม ทำให้ไม่สามารถควบคุมไฟป่าจากฝีมือคนจุดได้ แต่พวกเราไม่ยอมแพ้ จะต้องปกป้องผืนป่าต้นน้ำผืนสุดท้ายนี้ไว้ให้สำเร็จ

แต่ภาระนี้ไม่อาจจะกระทำเพียงกลุ่มเล็กๆ ลำพังได้ จึงเรียนมาเพื่อขอการสนับสนุนจากทุกๆ ท่านที่เห็นว่าภารกิจนี้มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง ก็ขอเชิญชวนบริจาคเงินสนับสนุนภารกิจให้ลุล่วง และสานต่องานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อไป ตามหมายเลขบัญชีที่แนบมานี้

"หมายเลขบัญชี 729-0-21794-2
ชื่อบัญชี นายไชโย สุวรรณ์ (กลุ่มรักษ์เขากระโจม)
บัญชีออมทรัพย์ ธ.กรุงไทย สาขาสวนผึ้ง"

ขอแสดงความนับถือ
นายไชโย สุวรรณ์ (บุหลัน รันตี)
(ประธานกลุ่มรักษ์เขากระโจม,ประธานชมรมรักษ์เขากระโจม)
โทรศัพท์ 081-0165004"


"ดึกดื่นไม่เคยหลับ....มือต้องจับไม้ดับไฟ
ถาโถมโหมแรงไป...เพื่อพงไพรอยู่ยั่งยืน"
บุหลัน รันตี


ใครมีทรัพย์ ไม่มีเวลา..ช่วยทรัพย์สร้างและรักษาป่าได้ 
ใครไม่มีทรัพย์ แต่มีเวลา ...ช่วยด้วยกำลังอาสา
ใครไม่มีทั้งทรัพย์ ไม่มีทั้งเวลา ช่วยอาสาส่งกำลังใจ
แต่มันผู้ใด...มีทั้งอำนาจและหน้าที่....จงใช้อิทธิพลที่มี "ดูแลป่าของเรา"

ถั่งโถม โรมรัม เหนื่อยล้า อ่อนแรง
เปลวไฟทั่วทุกแห่ง แข่งแสงจันทรา
ดับเถิดหนา....ไฟป่า
พวกข้าอ่อนแรง เหนื่อยยากทุกหัวระแหง
แรงใจบ่มี....
Khwan Sarina



*************************
จุฑาคเชน : 2 มี.ค.2555

อ่านข่าวเพิ่มเติม
ไฟป่าใน อ.สวนผึ้ง วิกฤติหนักไหม้แล้วหลายหมื่นไร่ หน่วยงานรัฐไม่เหลียวแล

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.เวสเทิร์นนิวส์ โฟกัสราชบุรี ปีที่ 3 ฉบับที่ 15 เดือนมีนาคม 2555 หน้า 4 พิเศษ








ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 23 ฉบับที่ 394 ประจำเดือนมีนาคม พ.ศ.2555 หน้า 3