วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ในความไร้รูปแบบมันจะมีรูปแบบอยู่เสมอ

ฟังข่าวแล้วรู้สึกสงสารและเสียใจไปด้วยกับบรรดาพ่อแม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง ของเพื่อนทหารกล้าของผม  ที่ต้องเสียชีวิตในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ด้วยความไม่ใส่ใจอย่างจริงจังของผู้บริหารบ้านเมืองที่จะแก้ปัญหา ยิ่งช่วงเทศกาลรอมะฎอน (Ramadan) ประจำปี 2555 นี้ หนักขึ้นกว่าเดิม.......

ที่มาของภาพ
http://news.mthai.com/general-news/94341.html
พวกท่านผู้บริหารบ้านเมือง รวมถึงท่านผู้บังคับบัญชา  ก็ได้แค่แสดงความเสียใจ ส่งพวงหรีดไปเคารพ  นำธงชาติไปคลุมศพ  คลุมโลงศพ  ช่วยเงินทำศพ  ไปร่วมงานศพ  เลื่อนยศ เลื่อนขั้นให้ ให้เงินทำขวัญ แล้วส่งเสียลูกหลานให้ได้เรียนต่อสูงๆ  ขึ้น.....แค่นี้ก็จบเสร็จสิ้นพิธี แล้วอีกไม่นาน ทหารที่เสียชีวิตเหล่านี้ก็ถูกลืมเลือนไปจากสังคม ...และก็ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีเพื่อนทหารกล้า ต้องมาตายเยี่ยงนี้อีกกี่คน 

เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะวนเวียนอยู่เรื่อยไป
...ไร้ซึ่งความสงบสันติสุข...

ตราบใดที่องคาพยพต่างๆ ทั้งข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน นักการเมือง และพลเมืองดี ยังไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง  มัวแต่ถือทิฎฐิว่า ความคิดผมถูก ความคิดคุณผิด โครงการแก้ปัญหาแต่ละโครงการ จึงไม่สอดคล้องกัน ไปคนละทิศคนละทาง  ยิ่งเรื่องงบบประมาณด้วยแล้ว หวงกันเอง  ว่านี่เป็นส่วนของฉัน นั้นส่วนของเธอ ผู้ซึ่งก่อเหตุร้าย ก็ดูเหมือนว่า "เราจะไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร  หรือเรากำลังรบอยู่กับใคร"   แต่พอคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายท่านแล้ว กลับบอกว่า "เรารู้ แต่ทำอะไรเขาไม่ได้"  แล้วอย่างนี้ จะทำกันอย่างไรกันต่อไปละครับ

เขาอยู่ในที่ลับ  แต่เราอยู่ในที่แจ้ง
เขาอยู่ในที่มืด  แต่เราอยู่ในที่สว่าง 
เขาอยู่ในที่ใดไม่มีใครรู้  แต่เขารู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน 
เขารู้เรา  แต่เราไม่รู้เขา
เราต้องเฝ้ารอเหตุการณ์    แต่เขาเป็นผู้สร้างเหตุการณ์ 

คนที่ทำงานแก้ไขปัญหาอยู่ที่ภาคใต้ ที่ผมรู้จักนั้น....ล้วนเป็นคนเก่งทุกคน
แต่ยังมีอะไรบางอย่าง..ที่ทำให้เขาไม่สามารถทำงานได้เต็มที่
โดยเฉพาะเรื่อง "การขัดแย้งทางความคิด" ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกันเอง

ไม่มีอะไรไร้รูปแบบ...
การก่อเหตุร้ายในภาคใต้ดูเหมือนว่าจะไร้รูปแบบ  เพราะไม่รู้จะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่  อย่างไร รูปแบบก็แตกต่างกันไป  เดี๋ยวยิง เดี๋ยวระเบิด เดี๋ยวคาร์บอมบ์ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็แตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่สามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่จึงเป็นแค่ฝ่ายตั้งรับเท่านั้น  แต่ผมว่า "ในความไร้รูปแบบนั้น มันจะมีรูปแบบอยู่เสมอ แต่เรายังค้นหามันไม่พบ" 

ข้อมูล (Data) การก่อเหตุร้ายที่เรามี  หากนำมาประมวลผล มันจะกลายเป็นสารสนเทศ (Information)  เมื่อได้สารสนเทศแล้ว มันก็จะกลายเป็นความรู้ (Knowledge) ที่เราสามารถใช้แก้ปัญหาได้ และเมื่อมีความรู้หลายๆ อย่างมากขึ้น มันก็จะกลายสภาพเป็นภูมิปัญญา (Wisdom) ที่จะป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก ดังภาพปิรามิดแห่งความรู้ที่ผมหยิบยกมาด้านล่างนี้ 



เวลาเชือกมันพันกัน  ผมพยายามแก้มันด้วยตัวเอง แต่ยิ่งแก้ ดูเหมือนมันยิ่งยุ่งขึ้นกว่าเดิม  เพราะผมไม่รู้ตั้งแต่แรกว่าเชือกมันพันกันอย่างไร ผมเริ่มหงุดหงิด ใจร้อน หัวเสีย ขาดสติ จนผมต้องยอมแพ้มัน......ต่อมามีเพื่อนผมคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความมีสติ   เขาเริ่มศึกษาด้วยปัญญาว่าเชือกมันพันกันอย่างไร หลังจากนั้นไม่นานนักเขาก็แก้มันได้สำเร็จ 

เวลาที่เราอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง  เราสามารถมองเห็นได้ถึงแมลงที่กำลังกัดกินใบไม้อยู่
หากเราลองถอยออกมา เพื่อให้มองเห็นต้นไม้ได้ทั้งต้น  
เราอาจจะรู้ว่าแมลงที่กำลังกินใบไม้นั้น  มันบินมาจากไหน?  


*****************************************
จุฑาเคชน : 31  ก.ค.2555
  



วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ช่วยผมหน่อยครับ

ผมพยายามติดตามเรื่องพฤติกรรมของนักการเมืองไทยมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดมากครับ แต่ผมไม่รู้จะไประบายกับใคร จะพูดกับใครก็ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นเหมือนกับผมหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจเขียนลงในบล็อกของผมเองนี่แหละครับ ที่ดีสุด

ไอ้นักการเมืองพวกนี้มันทำกันได้อย่างไร ใช้อะไรคิด ใช้อะไรพูด สันดานมันเป็นอย่างไร ผมรู้สึกอึดอัดจริงๆ เวลานักข่าวไปสัมภาษณ์ไอ้คนพวกนี้ แล้วนำมาออกข่าว มันไม่เห็นมีอะไรที่จะสร้างสรรค์ประเทศไทยเลย รังแต่แสดงวุฒิภาวะถ่อยๆของ ส.ส. ผู้ทรงเกียรติ ที่มันให้สัมภาษณ์ออกมาแต่ละคำ ถ้าผมเป็นนักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ผมจะขอชกปากไอ้นักการเมืองพวกนี้สักครั้ง พวกนี้มันเหิมเกริม มันมีคนให้ท้าย มันนึกว่า มันใหญ่ มันเก่ง คนอื่นไม่มีอำนาจ คนอื่นไม่เก่งเท่ามัน หลงตัวเอง มันนึกว่าเวลามันตอบคำถามนักข่าว ทุกคนคงชอบมัน ฯลฯ ผมไม่รู้ว่าจะเขียนบรรยายอย่างไร จะอธิบายพฤติกรรมถ่อยของพวกมันเหล่านี้ได้หมด นักการเมืองที่ผมรู้สึกเช่นนี้ มี 3 คน คืิอ 



คนแรก นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ มันเป็นคนที่ขโมยวาทะและความคิดของคนอื่นมาพูดเสมอ มันจะเป็นพวกครูพักลักจำ แต่ถ้าถามความรู้ลึกๆ มันจะตอบไม่ได้ มันไม่มีความรู้ถึงขั้นเป็นรัฐมนตรี มันน่าจะเป็นได้แค่สุนัขเฝ้าหน้าห้องนายเท่านั้น เพราะมันจงรักภักดีแค่อาหารเม็ดที่เจ้านายให้มันกิน มันพูดโน้มน้าวเก่ง พูดแบบปีนเกลียวให้คนแตกแยก ดูถูกคนอื่น มันพูดเหมือนกับมันเป็นกูรู พูดแบบท้าทาย พูดแบบกูไม่สนใจว่าคนอย่างพวกมึงจะคิดอย่างไร โลกนี้มันคิดถูกคนเดียว คนอื่นผิดหมด ทะเยอทะยาน ทำงานด้วยปาก ไอ้นี่นะ..ถ้านายที่คุ้มกะลาหัวมันหมดอำนาจ มันก็คือ "สุนัขขี้เรื้อนข้างถนน" 


คนที่สอง นายจตุพร พรหมพันธ์ ไอ้นี่ที่เขาเรียก "คางคก" ก็สมควรแล้ว เหมาะกับบุคลิกและนิสัยของมันเหมือนคางคกจริงๆ แลบลิ้นกินเหยื่อแป๊บๆ มันมีนิสัยและพฤติกรรมคล้ายกับนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ทีวีเสื้อแดงที่เจ้านายมันสร้างขึ้นมา ก็เห็นว่ามีแต่มันคุยอยู่คนเดียว คุยแบบโคตรตะระไร้สาระ ไอ้นี่ชะตาขาด เพราะศาลเอาจริง หลังปล่อยให้มันเหลิงมานาน นึกว่าทำอะไรเพื่อนายแล้วจะปลอดภัย หวังว่านายจะคุ้มกะบาลมัน ไอ้นี่นะ..เมื่อนายมันหมดอำนาจ มันก็คือ "คางคกข้างคูน้ำคำ" (ในชุมชนแออัดด้วยครับ) 



คนที่สาม นายเฉลิม อยู่บำรุง ไอ้นี่มันเป็น ดร.แต่ไม่อยากบอกว่าจากสถาบันไหน สถาบันเขาคงคิดได้แล้วว่า "ไม่ควรให้มันจบเลย" แล้วมันก็เอาชื่อสถาบันมาขายว่ามันเป็น ดร. จนคนทั่วไปเกิดความเสื่อมศรัทธาต่อสถาบัน เพราะแต่ละเรื่องที่มันพูดออกมาโคตรตะระไร้หลักการ มีข้อ1 ข้อ 2 ข้อ 3...แต่มันพูดเหมือนกับคนที่ไร้การศึกษา แต่เสือกได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี แถมหน้าตาดำๆ สายตาก้าวร้่าว ข่มขู่ จิกพวกนักข่าว ดูถูกว่าพวกมึงกระจอกกว่ากู เพราะพวกมึงไม่รู้อะไร เหยียดหยามคนอื่นเขาไปหมด ช่างไร้มารยาทเสียจริงๆ ไอ้นี่เมื่อนายมันหมดอำนาจ มันก็คือ "สุนัขบ้าที่ระเห่เร่ร่อนหาคนเลี้ยงใหม่" 

ผมเขียนบทความนี้ ผมอาจจะถูกฟ้องร้องอะไรสักอย่างก็ได้ครับ แต่ขอความกรุณาให้ผู้อ่านช่วยกรุณา vote ด้านข้างบล็อกนี้นะครับ ว่าคุณเกลียดใครมากที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า แต่ก็ได้รู้ว่ามีใครคิดอย่างผมบ้าง เพราะผมไม่รู้ว่า ผมเกลียดใครมากที่สุด..เพราะมันเลวพอๆ กัน ขอบคุณครับ 

ผมเคยอ่านบทความแต่จำไม่ได้ว่าอ่านมาจากไหน ซึ่งกล่าวว่า "ก่อนจะชื่นชมใครสักคนจนกระทั่งตัดสินใจสร้างอนุสาวรีย์ให้เขา ต้องรอให้เขาตายเสียก่อน เพราะคนเราจะเปลี่ยนแปลงนิสัยและพฤติกรรมได้ตลอดเวลา วันหนึ่ง ขณะหนึ่ง เราอาจจะเห็นว่าเขาว่ามีคุณงามความดี แต่วันหนึ่งเราอาจจะเห็นความเลวร้ายสุดๆ ของคนๆ นั้นก็ได้ เหตุเพราะ เวลามันเปลี่ยนไป" 


อย่าหลงเชื่อว่าใครเป็นคนดี จนกว่าคนคนนั้นจะตาย 



***************** 
ชาติชาย คเชนชล : 25 ก.ค.2555

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีการลดต้นทุนในการซื้อเสียงของนายทุนพรรคการเมือง

กกต.อบจ.ราชบุรี กำหนดแบ่งเขตการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี (ส.อบจ.ราชบุรี) ออกเป็น 30 เขตเลือกตั้ง โดยแต่ละเขตเลือกตั้งเลือก ส.อบจ.ราชบุรี ได้ 1 คน กำหนดการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 5 ส.ค.2555 ผมได้ดูจำนวนของผู้สมัครที่ขันอาสาประชาชนชาว จ.ราชบุรี เข้าไปเป็นปากเสียงในแต่ละเขตแล้วรู้สึกแปลกๆ เลยลองมาสรุปวิเคราะห์อย่างง่ายๆ ดูว่า "มันจะได้ความคิดและมองเห็นอะไรขึ้นมาบ้าง" ลองดูกันกันนะครับ (บทความนี้อาจจะต้องใช้ตัวเลขมายกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ขอให้ผู้อ่านค่อยๆ คิดตามไปนะครับ อย่าเพิ่งเบื่อ) 

ผู้สมัคร 1 คน ใน 1 เขต  จำนวน 9 เขต คิดเป็นร้อยละ 30 


  • อ.เมือง 4 เขตจาก 7 เขต 
  • อ.บ้านโป่ง 1 เขตจาก 6 เขต 
  • อ.ดำเนิน 1 เขตจาก 3 เขต 
  • อ.บางแพ 1 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.วัดเพลง 1 เขตจาก 1 เขต 
  • อ.บ้านคา 1 เขตจาก 1 เขต 


ผู้สมัคร 2 คน ใน 1 เขต จำนวน 18 เขต ร้อยละ 60 
  • อ.เมือง 3 เขตจาก 7 เขต 
  • อ.บ้านโป่ง 4 เขตจาก 6 เขต 
  • อ.โพธาราม 3 เขตจาก 5 เขต 
  • อ.ดำเนินสะดวก 2 เขตจาก 3 เขต 
  • อ.ปากท่อ 2 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.จอมบึง 2 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.บางแพ 1 เขตจาก 2 เขต 
  • อ.สวนผึ้ง 1 เขตจาก 1 เขต 


ผู้สมัคร 3 คน ใน 1 เขต จำนวน 3 เขต ร้อยละ 10 
  • อ.บ้านโป่ง 1 เขตจาก 6 เขต 
  • อ.โพธาราม 2 เขตจาก 5 เขต 


ลดต้นทุนซื้อเสียงบนความขาดเขลาของประชาชน 
จากการดูผลสรุปผู้สมัครที่กล่าวมา อาจส่อเค้าให้เห็นเรื่องสำคัญ คือ วิธีการลงทุนของนายทุนพรรคการเมืองที่ชาญฉลาด คือ ต้องการประหยัดเงินลงทุนซื้อเสียงบนฐานความขาดเขลาของประชาชน อ.เมืองราชบุรี ดูเหมือนจะมีการลดจำนวนเงินลงทุนซื้อเสียงมากที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้ว อ.เมืองราชบุรี น่าจะเป็นอำเภอที่เป็นตัวอย่างของประชาชนที่มีความรู้ เพราะเปรียบเสมือนเมืองหลวงของ จ.ราชบุรี แต่กลับสู้ อ.บ้านโป่ง และ อ.โพธาราม ไม่ได้ เพราะนายทุนพรรคการเมืองต้องเสี่ยงเรื่องการลงทุนโดยใช้กลยุทธ์ที่แยบยลขึ้นกว่า อ.เมืองราชบุรี 

สมมติฐานของผู้เขียน 
  • ประชาชนใน 1 เขตเลือกตั้งมีผู้มีสิทธิ์ 20,000 คน 
  • การซื้อเสียงขั้นต่ำของนายทุนพรรคการเมือง เสียงละ 1,000 บาท 
  • การเลือกตั้งมีการซื้อสิทธิ์และขายเสียงจริง 
  • ประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนใหญ่จะเลือกเบอร์ที่จ่ายเงินซื้อเสียงมากที่สุด 
  • เสียงที่ได้รับการเลือกตั้งไม่นับรวมประชาชนที่มีอุดมการณ์ 

กรณีผู้สมัคร 1 คน 1 เขต 
ก็แค่ต่อสู้ให้ได้คะแนนเสียงเกินร้อยละ 10 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การสมัครคนเดียวจึงทำให้การจ่ายเงินซื้อเสียงน้อยลง จ่ายเงินแค่ 2,000 เสียง (ซึ่งเกินร้อยละ 10 แล้ว) เสียงละ 1,000 บาท ก็เป็นเงิน 2,000,000 บาท ดีกว่ามีคู่แข่งซึ่งหากสมัคร 2 คนต้องจ่ายขั้นต่ำ 10,000 เสียงๆ ละ 1,000 บาท เป็นเงินถึง 10,000,000 บาท ถึงแม้หากจะมีผู้สมัคร 3 คน เพื่อความแน่ใจก็ยังต้องจ่ายเงินซื้อเสียงอย่างน้อย 10,000,000 บาทเช่นกัน แล้วนายทุนพรรคการเมืองจะเลือกแบบไหน (ลอบบี้ครับ..คนเดียวพอ จ้างคนไม่ต้องลงแข่ง) 

กรณีผู้สมัคร 2 คน ใน 1 เขต อาจแยกเป็น 2 กรณี 
  • กรณีที่ 1 ถ้าเกิดการจ้างลงเพื่อเป็นคู่แข่ง เพื่อหลีกเหลี่ยงร้อยละ 10 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็ไม่ต้องคำนึงถึง 2,000 คะแนน อาจจะจ่ายเงินซื้อเสียงเพียง 1,000 เสียงๆ ละ 1,000 บาทก็ใช้เงินแค่ 1,000,000 บาทเท่านั้นเอง เพราะคู่แข่งที่จ้างลงนั้นเป็นแค่ไม้ประดับ อาจได้ไม่ถึง 100 เสียงด้วยซ้ำไป 
  • กรณีที่ 2 ถ้าเกิดการแข่งขันกันจริงๆ เป็นคนละขั้วสัมปทานอำนาจ อย่างน้อยแต่ละฝ่ายต้องจ่ายขั้นต่ำถึง ฝ่ายละ 10,000 เสียงๆละ 1,000 บาท ก็เป็นเงินฝ่ายละ 10,000,000 บาท หากต้องอัดฉีดเพิ่มคงต้องจ่ายเงินถึง 15,000,000 บาท (เสียงละ 1,500 บาท) 

กรณีผู้สมัคร 3 คน ใน 1 เขต อาจแยกเป็น 3 กรณี
  • กรณีที่ 1 หากเป็นการจ้างลงทั้ง 2 เบอร์ ผู้ชนะอาจใช้เงินซื้อเสียงขั้นต่ำแค่ 500 เสียงๆละ 1,000 บาท เป็นเงิน 500,000 บาท อีกเบอร์ซื้อเสียง 300 เสียงๆละ 400 บาทเป็นเงิน 120,000 บาท อีกเบอร์ซื้อเสียงๆละ 300 เสียงๆละ 300 บาทเป็นเงิน 90,000 บาท (เพื่อให้ดูเหมือนการแข่งขัน) นายทุนพรรคการเมืองรวมจ่ายซื้อเสียงแค่ 710,000 บาท 
  • กรณีที่ 2 จ้างลง 1 เบอร์ อีก 1 เบอร์ เป็นสัมปทานอำนาจที่สู้กัน ก็จะจ่ายเงินซื้อเสียงขั้นต่ำถึง 10,000,000 บาท 
  • กรณีแข่งขันกันอย่างจริงจังทั้ง 3 เบอร์ เพื่อความมั่นใจนายทุนพรรคการเมืองต้องจ่ายเงินลงทุนซื้อเสียงถึง 10,000,000 บาท (10,000 เสียงๆละ1,000 บาท) เช่นกัน แต่หากต้องการอัดฉีดเพื่อให้ชนะคู่แข่งอย่างมั่นใจ อาจต้องเพิ่มเงินซื้อเสียงเป็น 2 เท่า ก็คือ 20,000,000 บาทเลยทีเดียว 
นี่คือวิธีการสัมปทานอำนาจของนายทุนพรรคการเมือง โดยใช้กลยุทธ์การลดต้นทุนในการซื้อเสียงเลือกตั้ง ท่ามกลางความคิดที่ขาดเขลาของประชาชน ที่เลือกตั้งผู้แทนตามเงินขายเสียงที่ได้รับ 

เลือกตั้งคือประชาธิปไตย จริงหรือ? 

ที่ผมเขียนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดมาก จับผิด หรือเพ้อฝันไปเองนะครับ แต่มันเป็นเรื่องจริง เขาคุยกันเรื่องนี้จริงๆ เป็นความคิดของนายทุนพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นจริง เขาคิดแยบยลกว่านี้อีกมากนักแต่ผมอธิบายไม่หมด  ยังมีเรื่องการซื้อขายตัวผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.อบจ.ราชบุรี กันอีก...นี่แหละครับ หนทางเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง


(ขออภัย สำหรับผู้สมัคร  ส.อบจ.ราชบุรี บางท่าน ที่มีอุดมการณ์  และไม่ได้อยู่ในกรณีต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว) 


วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำไม? ไทยต้องถอนทหารจากพื้นที่ ABCD

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2555 ประเทศกัมพูชาจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่และเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก ในโอกาสฉลองครบรอบ 4 ปีการขึ้นมรดกโลกของปราสาทเขาพระวิหาร และครบรอบ 1 ปีที่ศาลโลกมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ไทยและกัมพูชาทำการถอนทหารออกจากพื้นที่ปลอดทหาร (Provisional Demilitarized Zone ; PDZ) สี่เหลี่ยมคางหมู ABCD (ตามภาพด้านล่าง) ซึ่งรัฐบาลไทยก็ยอมตกลงโดยดี 



ฝ่ายไทยส่งกำลังตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปทดแทนกำลังทหาร ฝ่ายกัมพูชาก็เอากำลังตำรวจไปทดแทนเหมือนกัน แต่ดูเหมือนตำรวจเหล่านั้นมีเงื่อนงำพอสมควร เช่น ตำรวจป้องกันพรมแดน (ตชด.ของเขมร) ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจมรดกโลก และกำลังเจ้าหน้าที่องค์การพระวิหาร (ซึ่งเรียกกันว่าตำรวจยูเนสโก) และอาสาสมัคร 

กัมพูชาประกาศว่า การปรับกำลังในครั้งนี้ เป็นข้อตกลงเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2555 ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับนายฮุนเซน ซึ่งในวันนั้นนายกไทยต้องคลานศอกคลานคืบไปเจรจาถึงประเทศกัมพูชา รมต.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบกของไทย ก็เห็นดีเห็นงาม ทำพิธีปรับกำลังทหารในส่วนของไทยในวันนี้ด้วย 

แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มประชาชนคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินออกมาชุมนุมและแสดงความเห็นคัดค้านการตกลงใจของรัฐบาลในครั้งนี้กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพราะเห็นว่าการกระทำของรัฐบาลและทหารไทยครั้งนี้เปรียบเสมือนกับว่า "ไทยได้ยกดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชาไปโดยปริยายแล้ว" 

นักวิชาการ นักกฏหมาย นักประวัติศาสตร์ และอดีตนักการทหารหลายท่าน ก็ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านในเรื่องนี้ แต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่ฟัง ดันทุรังในทุกวิถีทางที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก สนองตอบทุกอย่างตามที่กัมพูชาขอมา การกระทำของรัฐบาลที่ทำให้ประเทศไทยต้องตกเป็นเบี้ยล่างของประเทศกัมพูชามาโดยตลอด ส่อให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของรัฐบาล แต่ผมรู้สึกว่าการเป็นเบี้ยล่างเช่นนี้ รัฐบาลก็รู้ดีมาโดยตลอด แต่ว่าจงใจกระทำ แสดงว่างานนี้น่าจะมีผลประโยชน์อะไรซ่อนเร้นอยู่จริงตามที่หลายคนตั้งข้อสงสัย 

ศาลไทยคุณยังไม่เชื่อ แล้วทีศาลโลกทำไมคุณถึงเชื่อนักหนา 

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 190 วรรค 2 ระบุว่า "หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทย มีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอํานาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออก พระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือ สังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศ อย่างมีนัยสําคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว" 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตกลงอะไรสองคนกับนายฮุนเซน  พวกนักกฏหมาย นักวิชาการฝ่ายรัฐบาลทั้งหลายไม่ต้องตีความมากมายเกินไปนักว่า ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ทำไปไม่ใช่หนังสือสัญญา และประเทศไทยไม่ได้เสียอธิปไตยแต่อย่างใด คุณอย่าเป็นศรีธนญชัยจับผิดแค่คำพูด ต้องดูเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญที่เขียนเอาไว้เป็นสำคัญ 

ก็เห็นชัดๆ ว่าในพื้นที่เขตปลอดทหารสี่เหลี่ยม ABCD ในส่วนที่แรเงาด้วยสีเขียว มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนวาดภาพนี้  พื้นที่ของเราชัดๆ  ทำไม? เราต้องถอนทหาร นี่คือความเหนือชั้นในการเดินเกมของกัมพูชา ท่ามกลางความอ่อนด้อยของรัฐบาลไทย และกองทัพไทย ย้ำว่า : พื้นที่สีเขียว คือพื้นที่ของเรา 

ทำไมต้องเป็นวันที่ 18 ก.ค.2555 
คำถามต่อมาก็คือ ทำไมต้องถอนทหารในวันเดียวกันกับที่ประเทศกัมพูชาจัดพิธีเฉลิมฉลองฯ เราจะถอนทหารตอนปลายปีไม่ได้หรือ ทำไมต้องเป็นวันที่ 18 ก.ค.2555 นี่คือคำถามที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองก็ควรตอบ เช่นกัน 

เลิกพูดได้แล้วว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาระดับสูง เป็นการบริหารจัดการระดับสูง เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ระดับสูง ผมคิดว่าผมก็เรียนตำรามาเล่มเดียวกับท่านขุนทหารทั้งหลาย แต่วันนี้ ท่านเป็นอะไรไป หลายคนก่นด่าการกระทำของเจ้ากระทรวงกลาโหม และเจ้ากองทัพบกไทย หนาหูจนบางครั้งผมอายแทนท่านจริงๆ 

ผมไม่ใช่คนคลั่งชาติ บ้าสงคราม บ้าการสู้รบ แต่ผมเห็นว่า "ประเทศเรากำลังขาดกองทัพที่เข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ" ผนวกกับได้ "นักการเมืองชั่ว" ประเทศไทยจึงเจ็บช้ำอยู่ทุกวันนี้ ทั้งภาคใต้ที่ไม่มีวี่แววว่าจะสงบ และไฟอิสานใต้ก็กำลังจะลุกโชน 



**************************
จุฑาคเชน : 18 ก.ค.2555